ตอนที่213 ฉันยกโทษให้นาย
หลังจากที่หลินชูวโม่จอดรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปิดประตูเดินถือกระเป๋าลงจากรถ พร้อมกับมองนาฬิกาข้อมือพลางพูดขึ้นว่า
“นี่ก็จวนจะสิบโมงแล้ว เราต้องรีบเข้าไปรอต้อนรับก่อน จะปล่อยให้แขกรอไม่ได้”
ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็มีรถสีดำสามคันขับตรงเข้ามาหาพวกเขา ตรงกลางเป็นรถRolls-Royceรุ่นปรับแต่งพิเศษ และมีรถ Mercedes-Benz สองคันขับประกบหน้าหลัง
ปัง.. ปัง…
ประตูรถ Mercedes-Benzสีดำที่ขับประกบหน้าหลังถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นบอดี้การ์ดชุดดำกลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ในมือถือปืนพกชักกระสุนพร้อมเตรียมยิงได้ทุกเมื่อ ในไม่ช้าพวกเขาก็ตั้งขบวนขนาดย่อมราวกับรอรับกำลังรอรับเสด็จอะไรเทือกนั้น
ฉีเล่ยที่เห็นภาพอันแสนจะอลังการอยู่ตรงหน้า พร้อมกับเบะปากก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ต้องทำตัวเวอร์ขนาดนี้เชียวเหรอ?”
หลินชูวโม่ใช้ข้อศอกกระแทกเข้ากับร่างของฉีเล่ยพร้อมกับทำเสียงดุ
“ถ้าถึงขั้นขับรถRolls-Royce Phantom Shadowแบบสั่งทำพิเศษได้ นั่นแสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องรวยมาก แต่อะไรที่มีค่าที่สุดสำหรับคนพวกนี้? ก็ชีวิตยังไงล่ะ! แล้วจะให้ไปเที่ยวเดินเล่นตัวคนเดียวแบบคนธรรมดาอย่างเราได้ยังไงล่ะ?”
ฉีเล่ยปรายตามองหลินชูวโม่แวบหนึ่ง สีหน้าท่าทางของเขาคล้ายว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เมื่อกลุ่มบอดี้การณ์ที่ตั้งแถวอยู่ด้านนอกยืนในท่าเตรียมพร้อมหมดแล้ว ประตูรถ Rolls-Royceคันหรูก็เปิดออก
คนแรกที่ปรากฏตัวสู่สายตาผู้คนก็คือเฉิงเจียซิน เลขาคนสวยของชูซินซู เธอยังคงดูดีในชุดสูทสีดำเรียบ เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาว พร้อมกับถุงน่องสีดำ วันนี้มาในแว่นทรงเหลี่ยมกรอบดำ พูดน้อยดูท่าทางสุขุม แต่ไม่ได้ถึงขั้นเมินเฉยต่อสิ่งใด แต่ดูเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งแรกที่เตะตาที่สุดดูเหมือนจะเป็นรองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่ง มีลวดลายสีทองสุกใสประดับอยู่ แม้จะดูไม่ค่อยโดดเด่นนัก แต่ใครเห็นเข้าต่างต้องทราบ ผู้ใดที่สามารถเป็นเจ้าของรองเท้าคู่นี้ได้ย่อมต้องเป็นคนมีฐานะ ส่วนท่อนร่างนั้นเป็นกางเกงเลกกิ้งสีดำ
และในเวลานั้นเอง บุคคลสำคัญของวันนี้ก็ปรากฏตัวออกมาเสียที
สิ่งแรกที่เผยปรากฏออกมาคือเรียวขายาวสีขาวสะพรั่ง ผิวเนียนละเอียดแนบกับถุงน่องตาข่าย เสริมด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเพิ่มราศีจับให้กับท่อนขาเรียวงามนั้นเข้าไปใหญ่
หลังจากที่เท้าของเธอสัมผัสพื้นดิน ชูซินซูก็ค่อยๆก้าวเดินออกจากรถ เธอสวมใส่กระโปรงยาวถึงเข่าสีม่วง มาพร้อมเข็มขัดเรียบหรูคาดเอวให้ดูสวยงาม ยิ่งมองก็ยิ่งดูคล้ายกับเจ้าหญิงในดินแดนลึกลับสง่างามมากผู้หนึ่ง
ทันทีที่ปรากฏตัว รัศมีสง่างามเปี่ยมด้วยพลังก็ฉายออกมาให้เห็น และเมื่อได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทันทีเมื่อปรากฏกายขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเฉิงเจียซินที่ยืนอยู่เคียงข้าง หรือแม้แต่หลินชูวโม่และถงเซียวเซียว แม้พวกเธอทั้งสามจะนับว่าเป็นความงามจากหนึ่งในล้าน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนี้แล้วล่ะก็ พวกเธอกลับถูกลดค่ากลายมาเป็นเพียงแค่ใบไม้แห้งตามข้างทางในทันที
สำหรับหญิงสาวคนนี้ เพียงแค่คำว่าสวยยังไม่เพียงพอ ต้องนับว่าเธอเป็นเจ้าหญิงสูงส่งที่เสด็จลงมาจากปราสาทหอคอยเลยก็ว่าได้
หญิงสาวคนไหนที่บังอาจเข้าไปอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเธอ จะต้องถูกรัศมีของเธอบดบังจนมืดมิด ทำให้ผู้อื่นที่มองมาเห็นหญิงสาวเหล่านั้นกลายเป็นสาวใช้ไปโดยปริยาย
หลินชูวโม่รีบดึงมือฉีเล่ยกับถงเซียวเซียวเดินตรงเข้าไปหาชูซินซูทันที หลินชูวโม่ยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นอย่างมีมารยาท
“ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งค่ะคุณผู้หญิง!”
เนื่องจากชูซินซูไม่ได้แนะนำชื่อของตัวเองกับหลินชูวโม่เมื่อครั้งก่อน ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องเรียกขานชูซินซูว่า ‘คุณผู้หญิง’ แทนไปก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
ผู้หญิงที่ฉลาดมักจะบริการทุกอย่างด้วยใจ
ชูซินซูพนักหน้าตอบพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณ นี่ฉันทำให้ทุกคนต้องรอรึเปล่า?”
เมื่อเห็นหลินชูวโม่ยืนรออยู่หน้าประตูคลีนิคก่อนแล้ว ชูซินซูก็เข้าใจผิดคิดว่า อีกฝ่ายน่าจะมายืนรอต้อนรับตนเองอยู่นานแล้วนั่นเอง แต่เธอก็ไม่เปิดดอกาสให้หลินชูวโม่ได้เอ่ยปากตอบ สายตาคมกริบคู่นั้นพลันเปลี่ยนไปจับจ้องอยู่ที่ฉีเล่ยทันที
ชูซินซูกระซิบบอกฉีเล่ยเสียงเบา
“พูดอะไรหน่อยสิ?”
ฉีเล่ยปั้นยิ้มพร้อมกับเอ่ยปากพูดออกไปว่า
“ยินดีต้อนรับครับ”
“ไม่ต้องฝืนปั้นหน้าก็ได้นะ ฉันรู้ว่าคุณไม่พอใจฉันนัก มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเลยจะดีกว่า?”
“ฮ่าฮ่า คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ทำไมผมต้องไม่พอใจคุณด้วยล่ะ?”
“ปลายคิ้วของคุณกระตุกเล็กน้อย องศาหน้าเบี่ยงขึ้น ดวงตาสะท้อนแววขุ่นเคือง ถ้าจะให้เดา…คุณคงจะไม่พอใจว่าทำไมฉันต้องพาบอดี้การ์ดมามากมายขนาดนี้สินะ? ออกจะดูเว่อร์วังไปหน่อยอะไรแบบนั้นใช่ไหม?”
ม่านนัยน์ตาดำของฉีเล่ยขยับขยายเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ ถูกอีกฝ่ายอ่านใจออกได้ถูกเผ็งขนาดนี้ เขาเองก็ถึงกับไปไม่เป็นเช่นกัน
ผู้หญิงคนนี้เป็นพยาธิในลำไส้ฉันรึยังไง? ถึงได้รู้ใจฉันทุกอย่างแบบนี้ หรือว่าฉันชักสีหน้าออกมาชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?
หลินชูวโม่เกรงว่าการเผชิญหน้าของคนทั้งสองจะทำให้บรรยายกาศตึงเครียด จึงรีบพูดขึ้นแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าทันที
“ฮะ-ฮ่า…ฉีเล่ยจะคิดแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะ? ดิฉันคิดว่าทางคุณผู้หญิงน่าจะกำลังเข้าใจผิด…”
ขนาดหลินชูวโม่ยังต้องแอบชื่นชมผู้หญิงคนนี้อย่างเงียบๆ ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งอะไรแบบนี้ เพิ่งลงจากรถได้ไม่เท่าไหร่ ก็สามารถคาดเดาความคิดความอ่านของฉีเล่ยผ่านสีหน้าที่แทบจะไม่แสดงอะไรออกมาให้เห็นได้ เหลือเชื่อจริงๆ!
นี่ถ้าฉันต้องกลายมาเป็นคู่แข่งของผู้หญิงคนนี้ ฉันควรต้องรีบตื่นจากฝันกลางวันได้แล้ว!
ชูซินซูปรายหางตามองไปที่ใบหน้าของฉีเล่ย พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฉันเชื่อในสิ่งที่ตาของฉันเห็นเสมอค่ะ”
แม้จะเป็นประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่ากลับทำให้ทุกคนถึงกับเสียวสะท้านแผ่นหลังวูบ
ฉีเล่ยยืนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองชูซินซูพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เหอะ เหอะ ถูกต้องครับ! ผมคิดแบบที่คุณพูดมาทุกอย่าง แค่ออกมาคลินิกแถวนี้ก็ถึงกับต้องขนบอดี้การ์ดออกมามากมายขนาดนี้เชียวเหรอ? นี่กลัวตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยรึไง?”
หลินชูวโม่เอื้อมมือขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาเล็กน้อย พลางหัวเราะหึๆด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถูกอีกฝ่ายพูดจากระตุ้นอารมณ์ใส่สองสามประโยคแบบนี้ ฟังแล้วช่างน่าหงุดหงิดไม่น้อยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่สามารถทำให้ผู้มีพระคุณคนนี้ขุ่นเคืองได้เช่นกัน
แต่แล้วชูซินชูก็ทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด ไม่เพียงเธอไม่แสดงอารมณ์ขุ่นเคืองออกมาแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังยิ้มและตอบกลับไปว่า
“เมื่อไหร่ที่คุณประสบความสำเร็จเท่าฉันแล้ว เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่า ศัตรูที่แท้จริงมักจะไม่ออกมาสู้กันซึ่งหน้า แต่มักจะใช้วิธีลอบกัดไร้จรรยาบรรณมากกว่าที่คุณคิดมาก”
ระหว่างที่พูดนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็จับจ้องลึกลงไปในดวงตาของฉีเล่ย พร้อมกับพูดต่อว่า
“ต่อให้จะเหนื่อยมากแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่อยากตาย”
ฉีเล่ยถึงกับผงะ เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะยืดอกรับคำสบประมาท และคำประชดประชันของตนเองอย่างภาคภูมิใจขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังกล้ายอมรับเธอกลัวความตายด้วย
เฉิงเจียซินเปิดสมุดบันทึกที่พกติดตัวมา ราวกับต้องการเปิดหาหลักฐานพิสูจน์ให้ฉีเล่ยได้เห็นว่า สิ่งที่เจ้านายสาวของเธอพูดไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ
เธอไล่อ่านบันทึกการถูกลอบฆ่าอย่างละเอียดไล่ให้ฉีเล่ยฟังยาวว่า
’27 มีนาคม 2016 กลุ่มบอดี้การ์ดถูกมือปืนรับจ้างฆ่าตายสี่ศพ โชคดีที่ท่านประธานรอดชีวิตออกมาได้’
‘15ตุลาคม 2016 ถูกนักฆ่ารับจ้างกลุ่มหนึ่งปิดตึกจินเหมาในวันครบรอบสิบห้าปีเพื่อดักเก็บท่านประธาน’
’19 มีนาคม 2017 ท่านประธานถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ทราบชื่อลักพาตัวไป และขู่กรรโชกทรัพย์กว่าพันล้านหยวนกลางห้างปักกิ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกรุงปักกิ่ง และกลายเป็นข่าวดังทั่วประเทศอยู่พักใหญ่’
’27 พฤศจิกายนในปีเดียวกัน ระหว่างทางกลับบ้านได้ถูกรถตู้นับสิบคันกระหน่ำไล่ยิงระหว่างทางกลับ…’
ทั้งรายละเอียด วันเวลา สถานที่ และตัวบุคคลทั้งหมด ทุกอย่างได้ถูกบันทึกลงในตารางประวัติของชูซินซูจนแน่นเต็มทุกแผ่นกระดาษ
ฉีเล่ยกวาดสายตาอ่านตัวอักษรแต่ละบรรทัดด้วยสีหน้าตกใจและขนลุกไปทั่วทั้งตัว บางคดียังเกี่ยวข้องไปถึงการฆาตรกรรมนองเลือดที่ดูน่าสยดสยองอย่างมาก หลังจากที่อ่านจบ เขาก็ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกเห็นใจ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารอะไรขนาดนี้
เบื้องหลังความสวยและงี่เง่าของเธอ ใครจะไปคิดเล่าว่าจะเต็มไปด้วยภาพฉากนองเลือดมากมายขนาดนี้กัน?
ฉีเล่ยรีบเอ่ยปากขอโทษทันที
“ผมขอโทษครับที่สบประมาทคุณไปแบบนั้น”
ชูซินซูพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไร ฉันยกโทษให้ ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณเคยทำให้ฉันมาทั้งหมด เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”
“….”
หลินชูวโม่ดูประหลาดใจอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของชูซินซู
ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณเคยทำให้ฉันงั้นเหรอ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายคนนี้กับคุณหนูมหาเศรษฐีจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่มากกว่านั้น?