บทที่ 109 เลือกอีกครั้ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 109 เลือกอีกครั้ง

 

เก็บกระบี่เงามืดคืนเข้าไปในฝัก หลัวซิวรวบรวมปราณแท้ออกมาเป็นเปลวไฟสีดำ ไม่นานก็เผาร่างไร่วิญญาณของโกวจินชวนและจอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งห้าคนนั้นจนสิ้นซาก

“พวกเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ฝังศพท่านพ่อของเจ้าเสร็จ พวกเราต้องรีบจากไปทันที”

หลัวซิวกล่าวไป พลางทำลายร่องรอย ขณะเดียวกันนั้นก็ได้เก็บสมบัติเก็บของของพวกโกวจินชวนลง

จากนั้น เขาและลู่เมิ่งเหยาก็ได้ช่วยกันขุดหลุม และเอาร่างไร้วิญญาณของลู่เฟยเฉินฝังลงไป และตั้งศิลาจารึก

ลู่เมิ่งเหยาโขกศีรษะคำนับน้ำตาไหลอาบแก้ม จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินทางกลับสู่เขตการปกครองหยุนหลง

หลังจากที่กลับมาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวเข้าใจดีว่าอีกไม่นานสำนักเซียวเหยาก็จะสังเกตพบว่าโกวจินชวนได้หายตัวไป จากนั้นก็สืบหาความมาตามเบาะแส และสงสัยถึงตนและลู่เมิ่งเหยาในที่สุด

บิดามารดาและพี่สาวมีองค์กรคอยดูแล หลัวซิวไม่ต้องเป็นกังวล เขาเตรียมที่จะไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก

สถานที่ที่เขาเลือกออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ ก็คือเทือกเขากวนเหลย ตั้งอยู่ที่เขตแดนติดต่อกันระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองโตว้ไห่

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

หลังจากที่หลัวซิวได้บอกความคิดที่จะออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ให้ลู่เมิ่งเหยาฟัง ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เรื่องทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นติดต่อกันมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นลุ่มลึกขั้นมาเล็กน้อย

“ข้าจะไปฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลย มันค่อนข้างจะอันตราย บิดาของเจ้าได้ทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้ให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เพียงแค่เจ้าใช้ค่ายวาร์ปจากที่นี่ไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็สามารถเดินทางไปที่สำนักเหลยหวู่ได้แล้ว” หลัววิวกล่าวเช่นนี้

“ข้า……ข้าอยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า” เบ้าตาของลู่เมิ่งเหยาแดงเล็กน้อย

“ก็ได้”

หลัวซิวได้แต่รับปาก เขาเองก็รู้ว่าลู่เมิ่งเหยาไร้ที่พึ่งพิง นอกจากนี้ในหัวใจของหลัวซิว เขาไม่ได้ปล่อยว่าความรู้สึกที่มีให้ลู่เมิ่งเหยาไปจนหมดสิ้น แม้ว่าตอนนั้นนางได้เลือกที่จะไปจากตน แต่ยังไงนั่นก็เป็นเพราะนางมีความลำบากใจของตัวเอง หลัวซิวสามารถเข้าใจได้

อีกอย่างเพียงแค่ข้ามเทือกเขากวนเหลยไปก็จะสามารถไปถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ พอถึงตอนนั้นค่อยพานางเดินทางไปที่สำนักเหลยหวู่ก็ได้เช่นกัน

ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาคือชี่ไห่ขั้น 5 และได้รับนักล่าอสูรตรา 2 ดาวมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เพราะเหตุนี้ทั้งสองใช้ค่ายวาร์ป วาร์ปจาก เขตการปกครองหยุนหลงไปที่ เมืองเกายี่

เมืองเกายี่ อยู่ใกล้ เทือกเขากวนเหลยที่สุด หลังจากที่ออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ทั้งสองได้ซื้อม้ามาหนึ่งตัว และออกจากตัวเมืองในทันที

ไม่นาน ข่าวการหายตัวไปของโกวจินชวนก็ได้กระจายไปถึงในสำนักเซียวเหยา และได้สืบหาไปตามเบาะแส และได้รู้ว่าโกวจินชวนได้สะกดรอยตามหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาออกไปจากเมือง

ผู้อาวุโสโกวหงยี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ออกคำสั่งให้สืบหาร่องรอยของหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยา ได้ทราบว่าพวกเขาสองคนปรากฏตัวที่ เมืองเกายี่ และได้เดินทางมุ่งหน้าไปที่ เทือกเขากวนเหลย

……

ระยะห่างระหว่างเมืองเกายี่และเทือกเขากวนเหลยนั้น ความจริงแล้วก็มีระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลพอสมควร หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาขี่ม้าตัวเดียว เดินทางมาแล้วเจ็ดวัน ก็ยังคงไม่ถึงที่ตั้ง เทือกเขากวนเหลย

บางทีอาจเป็นเพราะการจากไปของลู่เฟยเฉิน ทำให้ลู่เมิ่งเหยากลายเป็นคนไม่ค่อยพูด ไร้ซึ่งความเบิกบานร่าเริงอย่างเมื่อก่อน

มีบางครั้งที่ทั้งสองคนได้พักผ่อนระหว่างทางหลัวซิวได้เข้าป่าหาล่าสัตว์ ลู่เมิ่งเหยาก็จะรู้สึกกระวนกระวาย มีเพียงตอนที่หลัวซิวอยู่ข้างกาย อารมณ์ของนางถึงจะสงบลง

สำหรับนางแล้ว หลัวซิวเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของนางบนโลกใบนี้ การตายของบิดา ส่งผลกระทบต่อจิตใจของนางเป็นอย่างมาก ทำให้นางพะวงในเรื่องต่าง ๆ นานา

ครึ่งเดือนต่อมา เดินตามแผนที่ที่ได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้มองเห็น เทือกเขากวนเหลยที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เลือนราง

ทันใดนั้น พลังกดทับอันแรงกล้าได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยน แผงขนของม้าที่อยู่ใต้เป้ากางเกงเหมือนกับว่าไม่อาจทนรับแรงกดทับนี้ได้เช่นกัน จึงร้องออกมาอย่างวิตกกังวล

ลู่เมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังกดทับที่ว่า ใบหน้างดงามได้ซีดเซียวลง

“จะเป็นยอดฝีมือของสำนักเซียวเหยาที่ได้ตามมาสังหารพวกเราหรือไม่?”

หลัวซิวได้พยายามฝืนทนกับแรงกดทับนี้ พบว่าที่บนฟ้ามีเงาร่างมนุษย์สายหนึ่งได้ลอยผ่านไป แรงกดทับอันทรงอานุภาพนี้ ได้กระจายออกมาจากร่างของเราร่างมนุษย์ที่ลอยผ่านไปนั่นเอง

เป็นชายสวมอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง สายตาของเขาเพียงแค่มองผ่านหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านล่างไปอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ลอยบินไป และหายลับขอบฟ้าไปไกลโพ้น

ภายในใจหลัวซิวรู้สึกเกรงขาม ชายสวมอาภรณ์สีม่วงผู้นั้นสามารถลอยในอากาศได้ อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนปรมาจารย์ฝึกจิต และดูจากรัศมีพลังแล้ว คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าลู่เฟยเฉินอีกมากนัก แม้กระทั่งไม่ด้อยไปกว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์

ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ พบได้ไม่มากนักใน เขตการปกครองหยุนหลง

“เป็น ราชายุทธ์เย่หยาง” จู่ ๆ ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวก็ได้กล่าวขึ้นมา นางดูออกแล้วว่าชายคนนั้นเป็นใคร

“ราชายุทธ์เย่หยางเป็นผู้แข็งแกร่งในกลุ่มฝึกตนโดยไม่มีสังกัด ในตอนที่ข้าอายุสิบสามขวบเคยได้เจอครั้งหนึ่งพร้อมกับท่านพ่อของข้า” ลู่เมิ่งเหยากล่าวออกมาเช่นนี้

หลัวซิวพยักหน้า สำหรับเรื่องที่ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ผู้หนึ่งได้มาที่บริเวณใกล้เคียง เทือกเขากวนเหลย เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด

เทือกเขากวนเหลยเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง มีเขตแดนกว้างใหญ่ แทบจะเป็นครึ่งหนึ่งของ เขตการปกครองหยุนหลง ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ หรือเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต หรือแม้กระทั่ง ผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ ต่างก็มักจะมาค้นหาสมบัติทรัพยากรต่าง ๆ ที่ เทือกเขากวนเหลย

ตามข้อมูลที่ได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ที่ เทือกเขากวนเหลยมีนักยุทธ์หลอมอาวุธอยู่มากมาย วัสดุล้ำค่าที่ใช้ในการสร้างสมบัติล้ำค่า และยังมียาวิเศษระดับต่าง ๆ อีกมากมาย นอกเหนือจากนี้แล้วยังมี อสุรกายที่ร้ายกาจ ชิ้นส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของพวกมันต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่า

ที่แห่งนี้เป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้แข็งแกร่ง หลัวซิวเข้าใจดีว่าอาศัยผลการฝึกตนในแดนชี่ไห่ของตัวเอง คิดจะตั้งรากฐานอยู่ที่นี่ มันไม่ง่ายเลย

มองดูลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลัง ตอนนี้นางได้ใช้ผ้าคลุมหน้าเอาไว้ เพราะใบหน้าของนาง ก็ค่อนข้างจะนำมาซึ่งปัญหาเอาได้ง่าย

ในเมื่อได้เดินมาถึงตรงนี้แล้ว ตามอุปนิสัยของหลัวซิวก็ไม่มีทางที่จะถอยหลังอย่างแน่นอน เส้นทางในการฝึกยุทธ์ หากไม่มีหัวใจที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกยุทธ์นั้นก็เป็นเพียงฝันเลื่อนลอย

บริเวณใกล้เคียงเทือกเขากวนเหลย เป็นเหมือนกับเขาปาฉีที่อยู่ใกล้กับเมืองชิงหยุน มีสถานที่รวมตัวของเหล่าจอมยุทธ์เช่นกัน จอมยุทธ์ไม่น้อยที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยต่างก็เลือกหยุดพักอยู่ที่นี่ อาจจะหยุดพักผ่อน หรืออาจจะแลกเปลี่ยนซื้อขายสมบัติของตัวเอง

สถานที่เช่นนี้ ไม่ได้มีสี่แก๊งใหญ่อยู่ และไม่ได้สร้างค่ายวาร์ปขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถวาร์ปมาได้โดยตรง

ทว่าหลัวซิวไม่ได้ไปยังสถานที่รวมตัวแห่งนั้น เพราะเขารู้ว่ามีสมบัติบางอย่างที่สามารถใช้ส่งข้อความได้ ภายในจุดรวมตัวของเทือกเขากวนเหลย จะต้องมีจอมยุทธ์ของสำนักเซียวเหยาอยู่แน่ ทันทีที่ตนและลู่เมิ่งเหยาปรากฏตัวขึ้น จะต้องกลายเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน

เดินอ้อมผ่านจุดรวมตัว หลัวซิวได้ผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นก็พาลู่เมิ่งเหยาเดินเท้าไปที่เทือกเขากวนเหลย

การฝึกตนในโลกยุทธ์ หากเพียงแค่ปิดขังฝึกตนทุกขเวทนายากที่จะประสบผลสำเร็จได้ ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ทุกคนแต่งก็ได้ผ่านความทุกข์ทรมานมามากมาย ผ่านการฝึกฝนด้วยความเป็นตาย ถึงได้ประสบผลสำเร็จ

เป้าหมายในครั้งนี้ของหลัวซิว ก็คือเดินข้ามเทือกเขากวนเหลยทะลุผ่านไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ การเดินข้ามเทือกเขากวนเหลยนั้นเดิมที่ก็เป็นการฝึกฝนตนเอง ในขณะเดียวกันหลังจากที่ได้ไปถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็สามารถพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่ได้

ระหว่างลู่เมิ่งเหยากับเขานั้น หลัวซิวบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร

แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบสี่ปี แต่หลัวซิวคิดว่าตัวเองได้ผ่านประสบการณ์ด้านความรักมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกคือการแอบชอบหลิวหยู่ซินในตอนที่อยู่สำนักยุทธ์ชิงหยุน ครั้งที่สองคือความรักที่มีใจตรงกันกับลู่เมิ่งเหยา

แต่ความรักในครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ไม่แน่นอน และทำให้เขาให้ความสำคัญกับเรื่องความรักน้อยลง สิ่งที่เขาต้องการนั้น คือก้าวขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุทธ์