บทที่ 110 ต้นโหวหยาง
เข้าสู่เทือกเขากวนเหลย ในสมองของหลัวซิวได้ระลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ ของที่นี่ที่ได้รับมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์
จอมยุทธ์ที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยมีจำนวนมาก จอมยุทธ์ชี่ไห่นับเป็นการดำรงอยู่ที่มีระดับต่ำที่สุด ปกติแล้วต่างได้ฝึกล่าสัตว์อยู่ที่เขตแดนรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย ไม่กล้าก้าวเท้าเข้ามาเหยียบพื้นที่ที่ลึกเข้ามาหน่อยเลยสักนิด ไม่เช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิต
แม้ว่าจะอันตรายมากเพียงใด แต่จอมยุทธ์ที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยกลับมีนับไม่ถ้วน เพราะทรัพยากรของที่นี่ค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์ แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ ก็จะต้องเข้าไปตามหาสมบัติล้ำค่าในจุดที่ลึกเข้าไปของเทือกเขา
ปกติแล้วจอมยุทธ์ที่ออกมาฝึกฝนหาประสบการณ์มักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จอมยุทธ์ที่กล้าเดินทางเพียงลำพัง ล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่เชื่อมั่นในฝีมือของตน
พึ่งจะเข้ามาในเทือกเขากวนเหลยได้ไม่นาน หลัวซิวก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรระดับ 2 อยู่หลายตัว
แม้ว่าอาศัยกระแสสัมผัสพลังชีวิตจะสามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อสุรกายเหล่านั้นจำศีลไปได้ แต่หลัวซิวมาที่นี่เพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ เป็นธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องระมักระวังเช่นนี้
วัสดุที่อยู่บนร่างของอสุรกายเหล่านั้นเขาไม่ได้เก็บเอามาจนหมด เลือกเอาเพียงชิ้นที่มีค่าที่สุดเก็บเข้าไปยังแหวนเก็บของ
ทันใดนั้นเอง ภายใต้กระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิว ได้รับรู้ถึงพลังชีวิตของจอมยุทธ์สองสามคน
ไม่นานนัก เงาร่างมนุษย์สามสายก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของหลัวซิว เดินตรงเข้ามายังทางที่เขาและลู่เมิ่งเหยายืนอยู่
คนที่มานั้นเป็นชายสองหญิงหนึ่ง คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน สวมเกราะหนัง เหน็บกระบี่ไว้ที่เอง คนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม หน้าตาดุร้าย สะพายดาบยุทธ์เอาไว้บนหลัง สวมเกราะนักรบ
คนสุดท้ายนั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง สวมชุดนักรบรัดรูป รูปร่างนูนเว้าเป็นทรง พราวเสน่ห์อย่างที่สุด
ในตอนที่หลัวซิวพบกับทั้งสามคนนี้เข้า ฝ่ายตรงข้ามก็ได้สังเกตเห็นเขาและลู่เมิ่งเหยาเช่นกัน
ทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นนักล่าอสูรที่ได้ฝึกรบราฆ่าฟันที่ด้านนอกอยู่ตลอดทั้งปี กลิ่นความอันตรายที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย
ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ที่ข้างกายหลัวซิว และได้สัมผัสถึงความอันตรายนี้เช่นกัน มีท่าทางประหม่าเล็กน้อย นางขยับตัวเข้าใกล้หลัวซิว
จอมยุทธ์ที่เข้ามาฝึกฝนหาประสบการณ์อยู่ที่นี้นั้นมีมากมาย ดังนั้นได้พบกับจอมยุทธ์คนอื่นอยู่ที่นี่ หลัวซิวก็ไม่ได้แปลกใจเลย
อย่างไรก็ตามเขายังมองไปยังทั้งสามคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาด้วยความระมัดระวังที่อยู่ภายในใจเช่นกัน เพราะในที่ที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ การลงมือฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก
“น้องชายท่านนี้เชิญ”
ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันสิบกว่าเมตร ฝ่ายตรงข้ามทั้งสามคนก็ได้หยุดลง แสดงให้เห็นว่าพวกตัวเองทั้งสามคนไม่ได้คิดร้ายอะไร
คนที่กล่าวขึ้นมานั้นคือชายวัยกลางคนที่นำหน้า มีผลการฝึกตนในระดับชี่ไห่ขั้น 9 ทว่าหลัวซิวกลับรู้สึกว่าเขาร้ายกาจกว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 ที่เขาได้สังหารเมื่อตอนอยู่ที่เขตการปกครองหยุนหลงอีกมาก
หลัวซิวเองก็กุมหมัดโค้งตัว “ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านมาเรื่องอันใด?”
“ข้าน้อยจางไห่เฟย สองท่านนี้เป็นผู้ร่วมทางของข้า เถียนกวงโหย่ว เหมียวเฟยเฟย” ชายวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามของหลัวซิวโดยตรง แต่ตัวแนะนำพวกตัวเองทั้งสามคนก่อน
เถียนกวงโหย่วก็คือชายหนุ่มที่สะพายดาบเอาไว้บนหลังผู้นั้น ใบหน้าแฝงไปด้วยความโหดร้าย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่นัก ส่วนเหมียวเฟยเฟยนั้นได้ยิ้มพลางพยักหน้ามองมาทางหลัวซิว
ผลการฝึกตนของทั้งสองคนนั้น ด้อยกว่าจางไห่เฟยเล็กน้อย ล้วนเป็นชี่ไห้ขั้น 8
ทว่าหลัวซิวกลับได้สังเกตเห็นว่า ตอนที่สายตาของเถียนกวงโหย่วมองลู่เมิ่งเหยานั้น พลันเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมา
เพราะหุ่นของลู่เมิ่งเหยานั้นสวยงามมาก รูปร่างสูงโปร่ง โดยเฉพาะรัศมีที่ไม่ธรรมดานั่นรวมเข้ากับแววตาเศร้าสร้อย ทำให้เถียนกวงโหย่วรู้สึกกระสับกระส่ายภายในใจขึ้นมาทันที
“ข้าชื่อหลัวซิว นี่คือเพื่อนร่วมทางของข้า แม่นางลู่” หลัวซิวเองก็กล่าวแนะนำ
เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของลู่เมิ่งเหยาออกมา เพราะไม่ว่ายังไงที่นี่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเขตการปกครองหยุนหลง มาแน่ว่าทั้งสามนี้อาจจะรู้จักนางก็ได้
“น้องหลัว แม่นางลู่ ที่ข้าเสียมารยาทเข้ามารบกวน ความจริงแล้วคืออยากขอเชิญให้ทั้งสองท่านมาร่วมกลุ่มกับเรา ไม่ทราบทั้งสองท่านมีความเห็นเช่นไร?” จางไห่เฟยกล่าวขึ้นมา
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวก็คือก็คือปฏิเสธ เพราะเขารู้ดีว่าการฝึกหาประสบการณ์ที่ด้านนอก จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ต่อให้ต้องรวมกลุ่มเดินทาง หลัวซิวก็ต้องเลือกคนที่พึ่งพาและเชื่อใจได้
แต่ทั้งสามคนนี้สำหรับเขาแล้ว ไร้ซึ่งความเข้าใจใด ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้นเข้ามาอีกฝ่ายก็จะร่วมเดินทางเลย ใครจะทราบได้ล่ะว่ามีจุดประสงค์ร้ายอะไรหรือเปล่า?
ทว่ายังไม่ทันที่หลัวซิวจะได้เอ่ยปากปฏิเสธ จางไห่เฟยคนนั้นก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง: “พวกเราได้พบต้นโหวหยางเข้าต้นหนึ่ง แต่ใกล้ ๆ กับต้นโหวหยางมีอสูรระดับ 3 จำศีลอยู่ พวกเราสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเดรัจฉานนั่น ดังนั้นก็เลยอยากเชิญคนเข้ามาร่วมด้วย”
“ต้นโหวหยาง?”
หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย เขารู้ว่าต้นโหวหยางเป็นยาวิเศษระดับ 3 ชนิดหนึ่ง ผลโหวหยางที่อยู่บนต้นนั้น เป็นยาหลักที่ใช้กลั่นยาจิ้นเทียน
ยาจิ้นเทียนเป็นยาระดับ 3 เป็นยาล้ำค่าที่จอมยุทธ์ชี่ไห่ใช้เพื่อทะลวงแดนพรสวรรค์ เนื่องด้วยผลโหวหยางนั้นหาได้อยาก ดังนั้นแม้ว่ายาชนิดนี้จะมีระดับที่ไม่สูงนัก แต่กลับมีค่ากว่ายาระดับสี่จำนวนมาก
แม้ว่าหลัวซิวจะได้รับคลังสมบัติของราชายุทธ์ปู้เฉิน ในนั้นก็มียาระดับห้าอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนใช้เพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตน ฟื้นฟูผลการฝึกตน รักษาอาการบาดเจ็บ ยาชนิดที่สามารถทะลวงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างยาจิ้นเทียน กลับไม่มีเลยสักเม็ด
หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่า ตนนั้นพึ่งจะมาถึงเทือกเขากวนเหลย กลับได้พบเบาะแสของต้นโหวหยางเข้าอย่างไม่คาดฝัน
แม้ว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ทะลวงแดนพรสวรรค์อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาจิ้นเทียน แต่ถ้าหากทานยาจิ้นเทียนเข้าไปเมื่ออยู่ในชี่ไห่ขั้น 9 ก็จะสามารถทะลวงได้โดยเร็ว แต่ถ้าหากไม่ใช้ยาจิ้นเทียน อย่าวน้อยก็จะต้องพยายามสะสมอยู่ในชี่ไห่ขึ้น 9 เป็นเวลาหลายปี ถึงจะสามารถทะลวงขั้นได้
โดยเฉพาะสำหรับพวกจอมยุทธ์ที่พรสวรรค์ไม่ค่อยจะดีนัก จะต้องใช้ยาจิ้นเทียนถึงจะสามารถทะลวงได้ ไม่อย่างนั้นละก็จะต้องอยู่ในแดนชี่ไห่ไปตลอดชีวิต
สามารถทะลวงสู่แดนพรสวรรค์ได้หรือไม่นั้น มีความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์มาก เพราะตราบใดที่ได้ทะลวงเข้าสู่แดนพรสวรรค์ อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว มีอายุขัยอยู่ที่ประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยปี!
เพราะเหตุนี้ มูลค่าของยาจิ้นเทียน สามารถจินตนาการได้
แต่ถ้าหากไม่มีผลโหวหยาง ก็จะไม่สามารถกลั่นยาจิ้นเทียนออกมาได้ แต่ให้เป็นในสำนักใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่าสำนักเซียวเหยา ยาจิ้นเทียนก็หาได้ยากมาก ต่อให้เป็นศิษย์ใจกลาง น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติใช้มัน
แต่ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะอายุยังน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องดี ๆ อย่างบุญหล่นทับ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีต้นโหวหยางอยู่จริง ๆ หรือไม่ หรือต่อให้มี เกรงว่าคงจะไม่สามารถเอามาได้ง่าย ๆ เช่นนั้น ไม่อย่างนั้นละก็พวกจางไห่เฟยทั้งสามรถคนจะยอมเอาผลประโยชน์ที่ดีเช่นนี้มาแบ่งปันได้ยังไง?
“น้องหลัว แม่นางลู่ ความล้ำค่าของผลโหวหยาง คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด ทั้งสองท่านก้คงจะทราบดี” จางไห่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามพูดประโยคนี้ออกมานั้น หลัวซิวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไอสังหารจากร่างของคนพวกนี้ได้รุนแรงขึ้นมาอีกหลายเท่า
เหมือนกับว่าถ้าหากหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธ พวกเขาก็จะลงมือฆ่าคนทันที