บทที่ 111 ต้นโหวหยาง
เมื่อล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว จางไห่เฟยจึงไม่อยากกล่าวอย่างอ้อมค้อมอีกจึงพูดออกมาตามตรงว่า “หากข่าวของต้นโหวหยางแพร่ออกไป จะต้องดึงดูดเหล่าจอมยุทธ์พรสวรรค์มาอย่างแน่นอน ในเมื่อฉันบอกเรื่องนี้กับท่านทั้งสองแล้ว หากท่านทั้งสองไม่ร่วมมือล่ะก็……”
คำพูดหลังจากนี้จางไห่เฟยไม่ยอมพูดต่อ แต่ความกดดันที่ส่งออกมาจากร่างกายเขาและพรรคพวกก็พอที่จะอธิบายคำพูดต่อจากนี้ได้แล้ว
แน่นอนว่าหลัวซิวไม่กลัวอีกฝ่าย เพราะแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ขั้น 2 อย่างโกวจินชวน เขายังสังหารมาแล้ว หากต้องลงมือจริงๆ เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการคนทั้งสามคนนี้ได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อดูจากท่าทางของอีกฝ่าย เขาคิดว่าข่าวเรื่องต้นโหวหยางคือเรื่องจริง และหากสามารถเอาผลโหวหยางมาได้จริงๆ หลัวซิวเชื่อว่าตัวเองจะใช้เวลาไม่นานนักในการบรรลุแดนพรสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
“ได้ พวกเราตกลงร่วมมือด้วย” หลัวซิวยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ
แม้ว่าใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม ทว่าลึกๆ ภายในของเขากลับยิ้มไม่ออก เขามั่นใจว่า หากได้ผลโหวหยางมาครอบครองเมื่อไหร่ จางไห่เฟยและพวกจะต้องลงมือแน่ เพราะหากตัดคู่แข่งออกไปได้สักสองคน ทำไมพวกเขาจะไม่ลงมือทำล่ะ
ชัดเจนว่าเขากับลู่เมิ่งเหยาเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้า แต่จางไห่เฟยยังกล้าพูดเรื่องต้นโหวหยางออกมาอย่างหน้าตาเฉย แถมยังบังคับให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าร่วมทีมเดียวกันอีก นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้าอย่างพวกเขาอยู่ในสายตา
“ฮ่าๆ ดีมาก มีท่านทั้งสองมาร่วมทีม โอกาสที่พวกเราจะได้ผลโหวหยางก็จะยิ่งมีมากขึ้น ถ้าทุกอย่างสำเร็จ ฉันรับรองว่าจะไม่เอาเปรียบท่านทั้งสองแน่”
เมื่อเห็นหลัวซิวรับปาก จางไห่เฟยจึงหัวเราะออกมา ความพยาบาทที่แพร่ออกมาในตอนแรกได้มลายหายไป
แต่หลัวซิวกลับสังเกตเห็นความเยือกเย็นในดวงตาของจางไห่เฟยได้อย่างรวดเร็ว นี่ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
อีกฝ่ายคงคิดว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างอยู่หมัดแน่ แต่เมื่อถึงเวลาใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยากจะยืนยัน
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ลู่เมิ่งเหยาไม่ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว สำหรับเธอไม่ว่าหลัวซิวไปที่ไหน เธอก็จะตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วหัวใจของเธอคงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวไร้ที่พึ่ง
ในเรื่องแผนการชั่วร้ายของจางไห่เฟยและพวก ลู่เมิ่งเหยากลับไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะเธอเคยเห็นพลังของหลัวซิวมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ดูถูกเขาเพราะดูเพียงการฝึกตนของเขาเพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับรนหาที่ตายเอง
“สาวลู่เป็นคนเมืองไหนหรือ”
คนทั้งสามเดินทางไปด้วยกัน เถียนกวงโหย่วรุดขึ้นหน้ามาคุยกับลู่เมิ่งเหยา
ลู่เมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาลวนลามของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง ใครเลยจะไม่รู้ถึงเจตนาของเขา
เมื่อเห็นว่าลู่เมิ่งเหยาไม่สนใจตน เถียนกวงโหย่วก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว จึงแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก และไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในใจของเขาคิดไปแล้วว่าหากเขาได้ผลโหวหยางมาอยู่ในมือเมื่อไหร่ สตรีนางนี้ไม่มีทางหลุดลอดเงื้อมมือของเขาไปได้
และเขายังมั่นใจด้วยว่าจางไห่เฟยกับเหมียวเฟยเฟยไม่มีทางขวางตนอย่างแน่นอน เพราะบนเทือกเขากวนเหลยแห่งนี้มักจะมีอสูรกายปรากฏตัวออกมาไล่ฆ่าคนอยู่เป็นประจำ สถานการณ์จึงมักจะตึงเครียดเสมอ ดังนั้นหากจะออกมาจับผู้หญิงสักคนฆ่าให้ตายเล่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าเขาจะขึ้นเตียงกับเหมียวเฟยเฟย แต่เขาเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่าจางไห่เฟยเคยขึ้นเตียงกับเหมียวเฟยเฟยมาก่อนแล้ว เขาจึงจำใจต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
แม้ว่าเหมียวเฟยเฟยจะมีเรือนร่างที่ไม่เลว แต่หากเอาไปเทียบกับสาวลู่แล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก
“ไม่ทราบว่าอสูรกายที่เร้นกายอยู่บริเวณต้นโหวหยางคือตัวอะไร” หลัวซิวถามขึ้น
“อสูรงูปีกเขียว” สีหน้าของจางไห่เฟยนิ่งเฉย
“แล้วพวกเราห้าคนจะจัดการมันได้หรือ” หลัวซิวเลิกคิ้ว เพราะตามที่เขาเคยได้ยินมาอสูรงูปีกเขียวคืออสูรกายขั้นสาม แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงที่สุด แต่ก็นับได้ว่าอันตรายมาก พลังของมันเทียบเท่าได้กับพรสวรรค์ขั้น 4
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้อสูรงูปีกเขียวน่ากลัวที่สุดนั้นคือหมอกพิษของมัน หากไม่ทันระวังสูดดมเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 9 ก็มีโอกาสที่จะสิ้นชีพได้เช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลไป ฉันมียาแก้พิษระดับ 3 ที่สามารถถอนหมอกพิษได้ แถมฉันยังเป็นนักค่ายกลขั้น 3 อีก ถึงตอนนั้นขอแค่จัดเตรียมค่ายกลไว้ให้ดี ก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับอสูรงูปีกเขียวอีกแล้ว” จางไห่เฟยกล่าว
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าจางไห่เฟยจะเป็นถึงนักค่ายกลขั้น 3 ฐานะของนักค่ายกลน่ายกย่องมากกว่าจอมยุทธ์มากนัก ต่อให้เขาฝึกวิชาชี่ไห่ขั้น 9 ก็ตาม แต่ด้วยฐานะของนักค่ายกลขั้น 3 นั้นแม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ยังต้องสุภาพนอบน้อมกับพวกเขาเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันง่ายๆ
คนทั้งห้ามุ่งหน้าต่อไปข้างหน้า พวกเขาเดินผ่านสถานที่ที่รกร้างห่างไกล แต่ก็ยังจัดได้ว่าอยู่รอบนอกของเขากวนเหลย
เมื่อเดินทางผ่านหนทางที่มีหญ้าขึ้นสูงเท่าตัวคนมาได้แล้ว ก็ปรากฏถ้ำที่มีความสูงราวสองร้อยเมตรขึ้นตรงหน้าคนทั้งห้า
หน้าผาแห้งแล้งมีโพรงน้อยใหญ่ปรากฏอยู่มากมาย เสียงลมลอดผ่านส่งเสียงแหลม ในมุมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจมุมหนึ่ง มีต้นไม้เล็กๆ สีแดงเพลิงเติบโตอยู่บนกองหินระเกะระกะ ต้นไม้ต้นเล็กๆ นี้มีความสูงประมาณสามฉื่อ ใบของมันสีแดงเพลิงราวเปลวไฟ ตามกิ่งก้านสาขาของมันมีผลคล้ายพุทราห้อยอยู่สี่ผล
สถานที่แห่งนี้รกร้างห่างไกล ต้นโหวหยางมาเติบโตอยู่ในสถานที่แห่งนี้จึงไม่เคยมีใครพบเจอ กล่าวได้ว่าจางไห่เฟยและพวกมีโชคไม่น้อย
ทว่าบรรยากาศรอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด พื้นดินบริเวณรอบๆ นี้ยังมีรอยงูเลื้อยปรากฏอยู่อย่างชัดเจน อสูรงูปีกเขียวที่จางไห่เฟยพูดถึงคงจะเร้นกายอยู่ในถ้ำบริเวณใกล้ๆ กับต้นโหวหยางอย่างแน่นอน
หลัวซิวหรี่ตาลง สำหรับเขาขอแค่ยืนยันได้ว่ามีผลโหวหยางอยู่จริงก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
แววตาของจางไห่เฟย เถียนกวงโหย่วและเหมียวเฟยเฟยเริ่มปรากฏแรงปรารถนาอันแรงกล้าออกมา เพราะเมื่อได้ผลโหวหยางมาเมื่อไหร่ นั่นเท่ากับว่ามีสิ่งรับประกันการบรรลุแดนพรสวรรค์ได้แล้ว
“ฉันจะเตรียมวางค่ายกลเอาไว้ก่อน คนที่เหลือคอยช่วยฉันด้วย” จางไห่เฟยกล่าว จากนั้นนำธงค่ายขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือออกมาจากแหวนเก็บของ
หลัวซิวไม่เคยรู้จักวิธีการในสายค่ายกลมาก่อน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จางไห่เฟยกำลังเตรียมอยู่คือค่ายกลชนิดไหน
แต่จากที่หลัวซิวเคยรู้มา ค่ายกลสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภท นั่นคือ ค่ายสังหาร ค่ายยากเย็น ค่ายจิ่วเสวียน และ ค่ายคุ้มกัน
หากต้องการจะต่อสู้กับอสูรกายขั้น 3 อย่างอสูรงูปีกเขียวที่เทียบเท่าได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัวซิวเดาว่าค่ายกลที่จางไห่เฟยกำลังเตรียมอยู่นั้นจะต้องเป็นค่ายสังหาร ค่ายยากเย็นหรือไม่ก็ ค่ายคุ้มกัน
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามกว่าจางไห่เฟยจะเตรียมวางค่ายกลสำเร็จ แล้วกล่าวกับหลัวซิวว่า “ฉันจัดวางค่ายยากเย็นและ ค่ายสังหาร เอาไว้อย่างละหนึ่งที่ ค่ายกลระดับ 3 ทั้งสองอันนี้บวกกับการร่วมมือของพวกเราทั้งหมด มีความเป็นไปได้มากกว่าหกส่วนที่จะฆ่าอสูรงูปีกเขียวได้สำเร็จ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จางไห่เฟยจึงหยิบเม็ดยา เม็ดสีเขียวออกมาหนึ่งเม็ด “ในหมู่พวกเราจะต้องมีสักคนหนึ่งที่ไปล่ออสูรงูปีกเขียวออกมา ฉันจะต้องอยู่ตรงนี้เพื่อควบคุมค่ายกล ดังนั้นคงจะต้องรบกวนท่านอื่นๆ ด้วย”
หลังจากจางไห่เฟยกล่าวประโยคนี้ออกมา เถียนกวงโหย่วจึงมองไปที่หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาแล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งสองฝึกตนไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก การจะลงมือฆ่าอสูรงูปีกเขียวได้จำเป็นต้องอาศัยแรงของพวกเรา ดังนั้นให้พวกท่านรับหน้าที่ในการล่ออสูรงูปีกเขียวออกมาก็แล้วกัน”
“สาวลู่เป็นสตรีบอบบาง จึงเหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด เรื่องนี้ยกให้พี่หลัวเป็นคนจัดการ” เถียนกวงโหย่วกล่าวพลางหัวเราะออกมา
ได้ยินดังนั้นหลัวซิวก็ขมวดคิ้ว เขารู้แต่แรกแล้วว่าการที่คนทั้งสามลากตนกับลู่เมิ่งเหยาเข้ามาด้วยไม่ได้มีเจตนาที่ดีนัก การล่ออสูรงูปีกเขียวออกมาเป็นหน้าที่ที่เสี่ยงมาก อสูรงูปีกเขียวนั้นปราดเปรียวว่องไว บางทียังไม่ทันจะล่อออกมาได้สำเร็จ อาจจะเข้าไปอยู่ในปากของมันแล้วก็เป็นได้
“พี่เถียนกล่าวมีเหตุผล ในเมื่อทุกคนจะร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว ทุกคนต้องออกแรง พวกเรามีหน้าที่ฆ่าอสูรงูปีกเขียว ส่วนพวกของน้องหลัวก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม ดังนั้นก็ต้องออกแรงช่วยเหลือด้วยเช่นกัน”
จางไห่เฟยเองก็มองไปทางหลัวซิว สายตาของเขาแสดงความหมายข่มขู่ออกมาอย่างชัดเจน
ลู่เมิ่งเหยาจับแขนเสื้อของหลัวซิวเอาไว้แน่น แสดงว่าเธอเองก็รับรู้ถึงความอันตรายในตอนนี้แล้ว