ตอนที่ 102-2 ยุยง ไม่กังวลกับวัฒนธรรม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตามสามัญสำนึกของกุลสตรีในต้าเซวียน ใครอยากมีผิวขาวสวย ถ้าไม่ทาแป้งฝุ่น ก็ต้องอาบน้ำที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ น้อยคนนักที่จะรู้เหตุและผลที่ว่า ผิวขาวได้จากการปกป้องผิวจากแสงแดด

 

 

แต่ท่านหญิงหย่งจยากลับรู้ว่าต้องปกป้องตัวเองจากแสงแดด ผิวจึงจะขาวสวย ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน นางถึงต้องทาแป้งและหลีกเลี่ยงการตากแดด ยังรู้ทฤษฎีที่ว่า แสงแดดทำให้ผิวเ**่ยวย่นเร็วอีก เมื่อนางกลายเป็นผู้หญิงแถวหน้าแห่งยุคเช่นนี้ ก็ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่บ้าง

 

 

ทฤษฎีการปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่เป็นที่นิยมนักในต้าเซวียน โดยก่อนหน้านี้นางก็รู้จากหนังสือแปลเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าแปลจากต้นฉบับเวชศาสตร์ความงามของแคว้นใดในตะวันตกและอยู่ในยุคสมัยใด ตอนนั้นนางเคยเล่าทฤษฏีนี้ให้เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าฟัง ทั้งสองยังหัวเราะคิกคัก แบบไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่

 

 

ตอนนี้ ทฤษฎีนี้ กลับหลุดออกจากปากของท่านหญิงอายุน้อยที่อยู่แต่ในวัง อวิ๋นหว่านชิ่นย่อมเดาอะไรบางอย่างได้ แต่จะถามมากไปก็ไม่สู้จะดี

 

 

ก่อนหน้านี้ เฉินจื่อหลิงเคยได้ยินสนมเฉินพี่สาวพูดถึงท่านหญิงท่านนี้ว่า พูดและทำอะไรไม่เหมือนใครอยู่บ้าง ถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของฝ่าบาท จึงทรงประคบประหงมนางเสมอมา จนได้รับฉายาจากเหล่าสนมนางในประจำวังหลังว่า “ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ”

 

 

และยังได้ยินมาอีกว่า ท่านหญิงหย่งจยาเป็นนักวางแผนตัวฉกาจ ป้องกันตัวเองเก่ง แม้มีใครไม่ชอบขี้หน้า ก็อย่าได้หวังที่จะลอบทำร้ายหรือเอาเปรียบนาง ดังนั้น เฉินจื่อหลิงจึงได้แต่คิดว่า ท่านหญิงหย่งจยาไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้พอได้พบ แม้นางไม่ถึงกับมีท่าทีง่ายๆ สบายๆ กับตนและอวิ๋นหว่านชิ่น แต่เมื่อเทียบกับอวี้โหรวจวงที่มาด้วยกันแล้ว เห็นชัดว่า อ่อนโยน ใจดี และเข้าหาได้ง่ายกว่า

 

 

ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นนั้น พูดไม่ได้ว่ารู้สึกชอบหรือไม่ชอบท่านหญิงหย่งจยา เพียงรู้สึกว่านางทำอะไรแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง อย่างวันนี้พอได้พบหน้า ระหว่างนั่งเป็นเพื่อนคุย และหันมองนางเป็นระยะ ก็จะเห็นดวงตาคู่สวยของนางกลอกตามองตนไปมา โดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ บางครั้งก็มองนิ่งขณะคุยกันไปตามเรื่องตามราว แต่กลับ…ละเอียด สำรวจมองตนจากหัวจดเท้าอย่างละเอียด

 

 

ทุกคนนั่งกันอยู่สักพัก พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอีกไม่กี่คำ บ่าวของบ้านสกุลอวิ๋นก็วานให้บ่าวของสนามม้าสวินหลานมาบอกว่า สายมากแล้ว ขอเชิญคุณหนูกับคุณชายกลับบ้านได้

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบอกให้คนเรียกน้องชายกลับมา ซึ่งพี่น้องสกุลเฉินก็กำลังจะกลับอยู่พอดี ทั้งสี่จึงขอตัวกับท่านหญิงหย่งจยา

 

 

พอท่านหญิงเห็นพวกเขาจะไป ก็ไม่ฝืนรั้งตัวไว้ เพียงลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้า จับมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ที่ได้พบเห็น ก่อนพูดเสียงอ่อนโยนลงกว่าเดิม

 

 

“เพิ่งจะคุยกันอย่างออกรสออกชาติกับคุณหนูอวิ๋นได้แป๊บเดียวเอง ไม่อยากให้คุณหนูอวิ๋นจากไปเลย

 

 

แต่ในเมื่อบ้านคุณหนูอวิ๋นเข้มงวด ข้าก็ไม่รั้งตัวไว้แล้ว อย่างไรอีกสองวันข้างหน้า เราก็ได้เจอกันที่ป่าฮู่หลงอยู่ดี

 

 

ถ้ามีโอกาส เราค่อยคุยกันใหม่ แบบลากยาวไปเลย”

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านหญิงวางตัวสนิทสนมด้วยเช่นนี้ ก็ตอบกลับอย่างอ่อนโยนไม่กี่คำ แล้วค่อยหันกาย เดินจากไปพร้อมพวกเฉินจื่อหลิง

 

 

ซึ่งท่านหญิงหย่งจยาก็ยังยืนอยู่กับที่ มิได้นั่งลงในทันที เพียงใช้สายตาและยิ้มบางๆ ส่งกลุ่มคน

 

 

บนทางน้อยไปยังประตูทางออก ซ่งลุ่ยเดินนำอยู่หน้าสุด เฉินจ้าวกับอวิ๋นจิ่นจ้งเดินอยู่ข้างๆ อวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉินจื่อหลิงรั้งอยู่หลังสุด ทั้งสองเดินไปคุยไป พอใกล้ถึงประตูใหญ่ เฉินจื่อหลิงค่อยยิ้มพลางว่า

 

 

“วันนี้ได้พบกับท่านหญิงหย่งจยาของเจ้าจนได้ ที่แท้นางก็เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ไม่เลวเลยทีเดียว สนิทได้มากกว่าที่ข้าคิด ดีกว่าคุณหนูบ้านท่านสมุหนายกนั่นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า”

 

 

“สนิทเกินไปหน่อยหรือเปล่า” อวิ๋นหว่านชิ่นถูกเฉินจื่อหลิงแขวะเช่นนี้ จึงตอบกลับเสียงเรียบ คล้ายพูดไปเช่นนั้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนว่า

 

 

“เจ้าเห็นท่าทีของนางตอนเดินเข้ามาในสนามม้าหรือเปล่า ไม่เหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่ายๆ เลย อีกทั้งพฤติกรรมของนางตอนอยู่ในวัง เจ้าก็รู้นี่ ขนาดเหล่าองค์หญิงก็ยังไม่ค่อยอยากคบหานาง บอกว่านางชอบเรียกร้องความสนใจมาแต่อ้อนแต่ออก ผู้ดีชั้นสูงที่ทะเยอทะยานแบบนี้ มาสนิทกับเราทำลิงอะไร”

 

 

เฉินจื่อหลิงขบคิด พลางว่า “เมื่อครู่ท่านหญิงก็บอกแล้วนี่ ว่าได้ยินเรื่องในงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะรู้ว่าเจ้าเป็นที่ชื่นชอบของไทเฮา โดดเด่นขึ้นมา จึงมีท่าทีเป็นมิตรด้วย”

 

 

ว่าแล้วก็กระทบไหล่อวิ๋นหว่านชิ่นเสียหน่อย ให้รู้ว่าพูดหยอก

 

 

“คนจะดังฉุดไม่อยู่ ใครไม่อยากกระทบไหล่บ้าง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มบางๆ จากนั้นก็ไม่คิดมากอีก

 

 

ทั้งสี่บอกลากันหน้าสนามม้าสวินหลาน แล้วแยกย้ายกันไปขึ้นรถม้าของบ้านตนกลับออกไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดในใจ เมื่อวันนี้มีโอกาสออกจากบ้านทั้งที และตนก็ต้องออกนอกเมืองหลวงไปสิบกว่าวัน จึงรีบบอกคนขับรถม้าให้ไปที่ถนนจิ้นเป่าก่อน แวะไปดูร้านเสียหน่อย บอกหงเยียนสักคำ เผื่อนางไม่รู้ แล้วไปหาตนที่บ้าน จะเสียเที่ยวเปล่าๆ

 

 

 

 

พอมาถึงเซียงหยิงซิ่ว ก็เห็นหงเยียนนั่งดีดลูกคิดอยู่ที่โต๊ะ ส่วนหงเยียนพอเห็นพี่น้องสกุลอวิ๋นมา ก็ดีใจและผ่อนคลายลง รีบเข้าไปต้อนรับ

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งมาเซียงหยิงซิ่วเป็นครั้งแรก รู้แต่เพียงเถ้าแก่เนี้ยเป็นเพื่อนพี่สาว ขณะหยิบโน่นจับนี่ กลับมีความเกรงใจอยู่บ้าง หงเยียนเดาว่าอวิ๋นหว่านชิ่นน่าจะยังไม่ได้บอกคุณชายน้อยถึงที่มาที่ไปของร้าน จึงยิ้ม

 

 

“คุณชายน้อย ถ้าร้านนี้มิใช่ของพี่สาวคุณชายล่ะก็ ข้าก็คงไม่ได้มาอยู่หน้าร้านเช่นนี้หรอก ท่านก็คิดเสียว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็กำชับอาหล่างให้พาอวิ๋นจิ่นจ้งเดินดูให้ทั่ว

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นบอกเรื่องที่ต้องออกนอกเมืองตามเสด็จไปล่าสัตว์ให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าหงเยียนรู้มาสองสามวันแล้ว จู้ป้าสี่ที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะแล้วว่า “คุณชายสวี่เป็นคนมาบอกเจ้าค่ะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดาว่า ญาติผู้พี่น่าจะรู้จากจดหมายที่ส่งไปบอกรัชทายาทว่าตนได้เข้าร่วมตามเสด็จในครั้ง

 

 

นี้ด้วย จึงมาบอกหงเยียนไว้ก่อน ทำให้เอะใจขึ้นมา จึงหันไปลากตัวจู้ป้าสี่ออกไปยืนอีกด้าน แล้วแอบถามเป็นการส่วนตัว

 

 

“เป็นไงบ้าง หงเยียนดีกับญาติผู้พี่ข้าแล้วหรือ”

 

 

จู้ป้าสี่ปิดปาก ก่อนตอบเสียงเบา “ไม่รู้เหมือนกันว่าดีกันไหม ก็หลังจากวันนั้นที่จู่ๆ คุณชายสวี่ผลุนผลันออกจากร้านไป พวกเรายังนึกว่าคงไม่มาแล้ว แต่ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ก็เดินเข้ามาหน้าตาเฉย และทุกครั้งก็จะนั่งจ้องหน้าเถ้าแก่เนี้ยอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทำเรื่องที่ควรทำไป พูดเรื่องที่ควรพูดไป คล้ายทำงานตามหน้าที่ของตัวเองไป แต่ทุกครั้งที่คุณชายสวี่กลับออกไป ก็จะ…”

 

 

“จะอะไร”

 

 

“จะหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกอย่างไรอย่างนั้น แต่พอวันต่อมา ก็เป็นเหมือนเดิม เฮ้อ…สองคนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่”