ตอนที่ 102-3 ยุยง ไม่กังวลกับวัฒนธรรม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันพูดอะไร หงเยียนก็เรียกหาแล้ว จึงต้องรีบไปจัดการธุระให้เสร็จก่อน

 

 

นางถามหงเยียนเรื่องการค้าขายในเซียงหยิงซิ่วว่าล่าสุดเป็นอย่างไร สินค้าตัวไหนขายดีสุด ขณะฟังหงเยียนรายงาน ก็พลิกสมุดบัญชีดู พลันหยุดอยู่ที่หน้าๆ หนึ่ง ก่อนเลื่อนนิ้วเรียวยาว จิ้มไปที่รายการจำนวนหนึ่ง

 

 

“เอ๋ สองเดือนนี้มีรายการภาษีที่ต้องจ่ายอยู่ ทำไมไม่เห็นมีในบัญชีรายจ่าย”

 

 

เนื่องจากต้องเปิดร้านค้าขาย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงศึกษากฎหมายภาษีเบื้องต้นมาเป็นอย่างดี ต้าเซวียนกำลังกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนให้ผู้คนประกอบธุรกิจของตัวเอง แต่ผู้ประกอบการก็ต้องจ่ายภาษีการค้าไม่เบา นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้นางปวดหัวกับการเปิดร้านมากสุด จนซึ้งถึงคำว่า ‘ภาษีร้ายยิ่งกว่าเสือ’ ไปเสียแล้ว

 

 

ตอนร้านเพิ่งเปิดดำเนินการ กำไรยังมีไม่มาก ไม่ง่ายเลย กว่าที่ยอดขายจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย เพราะป้ายชื่อร้านลายพู่กันของหนิงซีฮ่องเต้ แต่กำไรเพียงน้อยนิดนี้ กลับต้องเอาไปจ่ายภาษีทั้งหมด ถ้าเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังอย่างนางไม่นำเงินออมมาทำเป็นทุนหมุนเวียนแล้วล่ะก็ ร้านคงอยู่ไม่ได้แน่ เป็นจริงดั่งคำที่ว่า ต้องมาเป็นแม่บ้านเอง ถึงจะรู้ว่าค่ากับข้าวนั้นแพงแค่ไหน

 

 

ทั้งๆ ที่ก่อนเปิดร้าน นางคิดคำนวณไว้ทุกอย่างแล้ว ยกเว้นรายการภาษีที่คิดไม่ถึงว่าจะมากมายถึงเพียงนี้ บ่นกับหงเยียนไปก็หลายรอบ จนเป็นปัญหาที่ทั้งสองพูดถึงกันบ่อยสุด

 

 

ด้วยมีภาษีการค้าหลายรายการที่ต้องจ่ายทุกๆ สิ้นเดือน ชนิดผ่อนผันไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้พวกสรรพากรหน้าโหดๆ มาหาถึงร้าน ก็ต้องไปจ่ายเองที่สำนักงานเขต ถ้าเลยเวลา ก็ต้องเสียค่าปรับเป็นสามเท่า ดังนั้นหงเยียนจึงพลาดไม่ได้ เพราะถ้าถูกปรับขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

 

 

แต่หงเยียนกลับกลอกตาแล้วยิ้ม พลางว่า

 

 

“เรื่องนี้ ไม่ทันได้บอกคุณหนูใหญ่ วันนั้นสรรพากรมาที่ร้านครั้งหนึ่ง บอกว่าสามารถรวบยอดแล้วจ่ายเป็นไตรมาสได้”

 

 

ราชสำนักออกกฎหมายดีๆ แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อวิ๋นหว่านชิ่นเคยบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์ไปคัดลอกประกาศราชกิจจานุเบกษาเป็นระยะนี่ แต่พอเห็นหงเยียนพูดอย่างเด็ดขาดแบบนี้ แม้ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ฟังไปก่อน เมื่อให้นางดูแลร้านแล้ว ก็ควรไว้ใจนาง…อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ

 

 

 

 

กลับมาดูสนามม้า พริบตาที่เงาของพี่สาวน้องชายสกุลอวิ๋นกับพี่ชายน้องสาวสกุลเฉินหายลับไปกับหัวเลี้ยวบนทางน้อย รอยยิ้มอย่างใจกว้างบนใบหน้าของท่านหญิงหย่งจยาก็จางหาย นางม้วนปลายแขนเสื้อลายลูกท้อแป้นดิ้นทองขึ้น ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

สาวใช้ข้างกายที่ตอบคำถามของอวิ๋นหว่านชิ่นเมื่อครู่เหลือบมองซ้ายขวา แล้วส่งสัญญาณให้บ่าวที่อยู่ในกระโจมทั้งหมดถอยออกไป จากนั้นก็โค้งตัวลง พูดเสียงต่ำ

 

 

“คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเจอคุณหนูสกุลอวิ๋นนะเจ้าคะ สวรรค์ทรงโปรดท่านหญิงจริงๆ ท่านหญิงปรารถนาอะไร ก็ล้วนสมความปรารถนา”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาหันไปยังทางออกสนามม้า คล้ายตรงนั้นยังมีเงาของอวิ๋นหว่านชิ่นทาบอยู่ ก่อนกระพริบตา ไม่พูดไม่จาไปพักหนึ่ง ก่อนขยับริมฝีปากบางๆ

 

 

“เฉี่ยวเย่ว์ เจ้าว่าคุณหนูอวิ๋นนั่นเป็นอย่างไรบ้าง” ชะงักเล็กน้อย “เทียบกับข้าแล้ว เป็นไง”

 

 

สาวใช้ที่ถูกเรียกว่าเฉี่ยวเย่ว์ ความจริงแล้ว เป็นทาสในเรือนเบี้ยของจวนลี่หยางอ๋อง โตกว่าท่านหญิงสิบปี ต่อมาได้รับการกำชับและไหว้วานจากซื่อจื่อหรือพี่ชายของท่านหญิง ให้อุ้มท่านหญิงที่อยู่ในห่อผ้าเข้าวัง และปรนนิบัติรับใช้ตั้งแต่เด็กจนโต ย่อมต้องปกป้องและรู้ใจท่านหญิง จึงหัวเราะเบาๆ แล้วว่า

 

 

“จะเป็นอย่างไรได้ ก็แค่สองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากธรรมดา เทียบกับท่านหญิงไม่ได้แม้ปลายเล็บ”

 

 

หย่งจยาหัวเราะ ก่อนค้อนสาวใช้ไปหนึ่งควับ

 

 

“เอาเถอะ ถามเจ้าก็เหมือนไม่ได้ถาม เจ้าต้องเยินยอข้าอยู่แล้ว”

 

 

 เฉี่ยวเย่ว์ส่ายศีรษะ น้ำเสียงภาคภูมิใจยิ่ง

 

 

“บ่าวมิได้ลำเอียงเข้าข้างนายตัวเองนะเจ้าคะ บ่าวพูดไปตามความเป็นจริง คุณหนูอวิ๋นนั่น ถึงสวยถึงฉลาดแค่ไหน ก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ท่านหญิงท่าน เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร หญิงใดในใต้หล้าก็สู้ท่านไม่ได้”

 

 

คำพูดนี้นางมิได้พูดประจบประแจง แต่พูดจากใจจริง

 

 

ในสายตาของเฉี่ยวเย่ว์ ท่านหญิงหย่งจยาเป็นดาวนำโชคมาจุติบนโลกใบนี้ สวยไปหมดทั้งตัว รอบรู้ไปหมดทุกอย่าง ร้ายกาจยิ่ง

 

 

จะว่าไป ตอนท่านหญิงเพิ่งถือกำเนิด ไม่ร้องไห้อยู่หลายวันเพราะคลอดก่อนกำหนดนั้น หมอตำแยก็ล้วนบอกว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน พอชายาลี่หยางอ๋องสิ้นใจได้ไม่กี่วัน ท่านหญิงก็หอบหายใจ และหมดสติไปพักหนึ่ง ฝ่าบาทรีบส่งหมอหลวงมาตรวจดูอาการที่จวนอ๋อง หลังตรวจชีพจร หมอหลวงต่างก็บอกว่าไม่รอด เกรงว่าท่านหญิงน้อยอาจต้องตามท่านอ๋องกับพระชายาไป กระทั่งซื่อจื่อก็ยังเตรียมโลงใบเล็กไว้พร้อม

 

 

คิดไม่ถึงว่า ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ท่านหญิงหย่งจยากลับลืมตากลมดั่งเม็ดองุ่นขึ้น พร้อมทั้งกลอกไปมา ฟื้นขึ้นได้ในที่สุด ขนาดหมอหลวงอาวุโสผู้มีประสบการณ์มานานหลายปีก็ล้วนบอกว่า นี่คือปาฏิหาริย์ชัดๆ เป็นหนึ่งชีวิตที่สวรรค์ประทานให้มาแท้ๆ

 

 

พอได้ดื่มน้ำนมจากแม่นมไม่กี่วัน ท่านหญิงก็สดใสเริงร่าขึ้น เฉี่ยวเย่ว์จำได้ว่า ตนในตอนนั้นต้องช่วยแม่นมเลี้ยงดูท่านหญิง ขณะมองดูท่านหญิงที่ยังคงเป็นทารกในเปล แม้เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน แต่หน้าตาท่าทางมีชีวิตชีวายิ่ง คล้ายรู้อะไรไปเสียหมด

 

 

รอจนนางอุ้มท่านหญิงเข้าวังตามรับสั่งฝ่าบาท และมองดูท่านหญิงเติบใตขึ้นวันแล้ววันเล่า ก็รู้สึกว่าท่านหญิงแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ตอนสามขวบก็เริ่มรู้หนังสือ คัดบทกวี ห้าขวบก็รู้จักแต่งโคลงกลอน ซึ่งจริงๆ แล้วเฉี่ยวเย่ว์งุนงงมากว่า ท่านหญิงรู้จักโคลงกลอนเหล่านี้ได้อย่างไร เด็กอายุแค่สามขวบห้าขวบ ไม่เคย

 

 

เห็นอ่านหนังสืออะไรเลยด้วยซ้ำ อาจารย์ประจำตัวท่านหญิงก็บอกว่าไม่เคยสอน และได้แต่พูดว่า ท่านหญิงหย่งจยาเป็นผู้มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด!

 

 

พอโตขึ้นอีกหน่อย ส่วนใหญ่แล้ว ท่านหญิงจะเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยปราศจากอาจารย์สอน ปากเล็กๆ มักท่องบทกวีหรือบทบรรยายในนิยายโบราณที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือไม่ก็สำนวนสุภาษิตที่แปลกๆ ใหม่ๆ ออกมา ทำให้ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญยิ่ง จนไม่อยากให้นางจากไปไหน