เดิมทีเฉี่ยวเย่ว์เป็นกังวลกับการใช้ชีวิตในวังหลังอยู่บ้าง เนื่องจากท่านหญิงของตนอย่างไรก็มีสถานะอิหลักอิเหลื่อ มิใช่พระธิดาของฝ่าบาท โดยมีองค์หญิงบางท่าน พอเห็นว่าพระบิดาทรงโปรดปรานญาติผู้น้อง ก็มีทีท่าไม่เป็นมิตรในทุกครั้งที่พบหน้ากัน
ดังนั้นเฉี่ยวเย่ว์จึงหวังว่า ถ้าสบโอกาส จะเข้าเฝ้าฝ่าบาทและวิงวอนร้องขอให้ทรงส่งพวกนางกลับไปอยู่กับซื่อจื่อในจวนอ๋องที่ภาคเหนือ
กลับคิดไม่ถึงว่า ท่านหญิงจะคลุกคลีอยู่กับคนในวังหลังได้อย่างเฉิดฉายและมีสีสัน
อย่างบางครั้งท่านหญิงไม่สบอารมณ์ ที่ได้ยินองค์หญิงกลุ่มหนึ่งซุบซิบนินทากัน ก็จะลอบสั่งสอนพวกนางให้ปรับปรุงแก้ไข และยังสามารถทำให้พวกนางไม่กล้าเอาไปฟ้องฝ่าบาทด้วย กดดันจนอีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้
ท่านหญิงที่ทั้งงดงามและรอบรู้เช่นนี้ สถิตอยู่กลางใจเฉี่ยวเย่ว์เสมอมา ใครยังจะเทียบเคียงได้อีก อย่าว่าแต่คุณหนูอวิ๋นที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกเลย กระทั่งนางฟ้าบนสวรรค์ก็ยังเทียบไม่ติด!
พอได้ยินคำชมจากใจจริงของเฉี่ยวเย่ว์ ท่านหญิงหย่งจยาก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ หลายปีที่ผ่านมา คำชมในลักษณะนี้ และสายตาอัศจรรย์ใจเช่นนี้ นางพบเห็นมาไม่น้อย จนชินไปนานแล้ว แต่ก็พยายามแสดงให้เห็นว่าชอบใจอยู่
พอยิ้มเสร็จ ก็รู้สึกโดดเดี่ยว จึงส่งเสียงทอดถอนใจออกมา ผ่านฟันซี่งามและริมฝีปากอมชมพู
แววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กสาวหายไปในทันที เห็นชัดว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ดวงตาสวยๆ จ้องมองไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล จนเข้าใกล้ความว่างเปล่าไปทุกที
“เจ้าว่าข้าเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร ใต้หล้าไม่มีหญิงใดสู้ข้าได้ แต่ทำไม เขาถึง…”
ดูเหมือนเฉี่ยวเย่ว์เข้าใจว่าท่านหญิงอยากพูดถึงเงื่อนไขในการพลิกชีวิต จึงรีบห้าม
“ท่านหญิง”
พอท่านหญิงหย่งจยารู้ตัวว่าเกือบจะหลุดพูดออกมา จึงไม่ได้พูดต่อ
ขณะสองนายบ่าวกำลังนั่งคุยกันในกระโจม อวี้โหรวจวงก็ขี่ม้ากลับมา
นางพลิกตัวลงจากหลังม้า กระโปรงสีแดงทับทิมสดพลิ้วขึ้น ก่อนเดินตรงมาที่กระโจม
พอเห็นว่าในกระโจมนอกจากท่านหญิงหย่งจยาแล้ว ไม่มีใครอื่นอีก จึงทำความเคารพท่านหญิง แล้วค่อยพูดเองตอบเองอย่างใจเย็น “อ้อ ไปกันหมดแล้ว”
ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าท่านหญิงจางหาย ยิ้มให้นาง แล้วว่า
“ไปกันหมดไม่ดีหรือ ถ้าพวกเขานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้าเห็นแล้วไม่อึดอัดใจแย่หรือ”
อวี้โหรวจวงมิได้พูดอะไร นั่งลง รับน้ำชาที่ลวี่สุ่ยรินมาให้ แล้วค่อยๆ ดื่มอย่างสง่างาม แต่คิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น
ดวงตาเรียวยาวของท่านหญิงหย่งจยาสัมผัสได้ว่านางชำเลืองมองอะไรอยู่ รอยยิ้มจึงยังไม่จางลง
“เมื่อครู่ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ ยังพูดได้ว่าเจ้าเหม็นขี้หน้านาง แต่ตอนนี้คนก็ไปกันหมดแล้ว ไม่เห็นหน้าก็ไม่น่าจะหงุดหงิดใจนี่ ทำไมยังมีอาการอยู่อีกล่ะ”
ลวี่สุ่ยเหลือบมองคุณหนูของตนเงียบๆ ก่อนพูดเสียงเบา “ท่านหญิงเพคะ คุณหนูของบ่าวในตอนนี้มิได้ไม่พอใจคุณหนูอวิ๋นเจ้าค่ะ แต่…ไม่พอใจคนอีกคนหนึ่งต่างหาก”
ท่านหญิงหย่งจยาหนังตากระตุก ยิ้มกว้างขึ้น “ใครกันล่ะ”
ลวี่สุ่ยกัดริมฝีปาก ก่อนพูดเสียงต่ำ
“เรียนท่านหญิง ก็คนไม่มีหัวใจอย่างองค์ชายสามนั่นไงเจ้าค่ะ วันก่อนนายท่านบังเอิญเจอฉินอ๋องในวัง จึงบอกอ้อมๆ ไปว่าคุณหนูป่วย แต่ฉินอ๋องเพียงบอกให้นายท่านไปเชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการ และพอนายท่านบอกว่าสองสามวันนี้คุณหนูจะมาขี่ม้าที่สนามม้าสวินหลาน พูดอ้อมๆ อีกว่าถ้าฉินอ๋องว่าง ก็มาเจอคุณหนูได้ คิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องยังคงไม่สนใจใยดี ท่านดูสิ คุณหนูของบ่าวมาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นคน ไม่น่าจะมาแล้วล่ะ…แล้วจะไม่ให้คุณหนูไม่พอใจได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ลวี่สุ่ย” อวี้โหรวจวงขัดจังหวะอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งได้ยินก็ยิ่งหงุดหงิด
ท่านหญิงหย่งจยาหยิบถ้วยชาบนชุดชงชาขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้าขึ้น แล้วถูไปมากับฝ่ามือช้าๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชา
“มิน่าเล่า วันนี้ตอนข้าชวนเจ้าไปเดินเล่นที่สวนหลวง เจ้าถึงต้องลากข้ามาสนามม้าให้ได้ ข้ายังนึกแปลกใจอยู่เลยว่า เจ้าร่วมตามเสด็จไปล่าสัตว์ทุกปี ยังต้องฝึกขี่ม้าอะไรอีก ที่แท้ก็ไม่ตายใจ อยากมาดูให้แน่ใจว่า คู่รักมาหรือเปล่า หึๆ คิดไม่ถึงว่า ไม่เห็นคู่รัก แต่กลับเห็นศัตรูหัวใจแทน ถึงได้อารมณ์ขึ้น”
“หย่งจยา” อวี้โหรวจวงเรียกชื่อตรงๆ พลางเลิกคิ้วขึ้น
ท่านหญิงหย่งจยาจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง ก่อนใช้ดวงตาใสๆ จ้องมองอวี้โหรวจวง ยิ้มแล้วว่า
“แต่จะว่าไป โหรวจวงมีใจให้เสด็จพี่สามของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าจำได้ว่า เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนเจ้าเข้าวัง ยังกระฟัดกระเฟียดอยู่เลย บอกว่าเสด็จพี่สามมีดีตรงไหน ทว่าตอนนี้ กลับทำได้ถึงขั้นเรียกนางโลมให้ไปก่อเรื่องวุ่นวายที่บ้านคู่กรณี เหตุเพราะเสด็จพี่สามเสียมารยาทกับกุลสตรีอย่างเจ้า”
ของที่มีคนมาแย่งด้วย ถึงไม่ดีอย่างไร ก็กลายเป็นของดีไปได้ นับประสาอะไรกับ อัญมณีที่ฝังอยู่ในก้อนหินมาแต่ดั้งเดิมเม็ดนี้
ตั้งแต่รู้ว่า ฉินอ๋องมีผู้หญิงอื่นในใจแล้ว อวี้โหรวจวงก็ไม่รู้ทำไม สนใจฉินอ๋องขึ้นเรื่อยๆ และได้วางตัวเป็นชายาเอกฉินอ๋องไปแล้วเรียบร้อย โดยนอกจากตน หญิงอื่นจะแตะต้องไม่ได้ และห้ามแม้แต่จะคิด
ขณะที่อวี้โหรวจวงอ้าปากแก้ต่าง
“อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อว่า กุลสตรีที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง มียศถาบรรดาศักดิ มีญาติและบรรพบุรุษเป็นฮองเฮามาหลายยุคหลายสมัย ที่สุดแล้วจะสู้คนแซ่อวิ๋นนั่นไม่ได้”
ท่านหญิงหย่งจยามองหน้าอวี้โหรวจวงนิ่ง ได้แต่หัวเราะเบาๆ ออกมา แล้วว่า
“อย่าพูดไป บางครั้ง ดอกไม้ประจำแคว้นที่สวยที่สุดอย่างดอกโบตั๋น ก็ยังต้องแพ้และตกอยู่ในเงื้อมมือ
ของดอกไม้ป่าที่เติบโตขึ้นตามร่องหิน ยิ่งอย่าพูดไป ดอกไม้ป่าที่อยู่ตามร่องหินนั่น ไม่ได้เป็นดอกไม้ป่านานแล้ว บิดาของคนเขา จะร้ายจะดีอย่างไรก็เป็นท่านเจ้ากรมกลาโหม ขุนนางชั้นสองแห่งราชสำนัก แม้บอกว่าตำแหน่งยังไม่มั่นคงดี แต่การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และได้รับการยกย่อง ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดตามมาไม่ช้าก็เร็ว ถึงตอนนั้น เขาก็จะค่อยๆ มีอำนาจบารมีขึ้นมา กระทั่งบิดาเจ้า ท่านสมุหนายกอวี้ ก็ไม่แน่ว่ายังต้องให้ความเคารพด้วย”
ท่านหญิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระและไม่เป็นทางการ เหมือนไม่ได้ตั้งใจพูด แต่กลับสะกิดเชื้อไฟในใจของอวี้โหรวจวงให้แตกดังเปรี๊ยะๆ จนต้องกรอกน้ำเข้าไปคำหนึ่ง จึงจะทำให้คิ้วสวยที่เลิกขึ้น คลายตัวลง และสีหน้าคืนสู่ปกติ