Ep.166 ถุงสรรพสิ่ง

 

“ท่านฉินเหลยคงสับสนสินะขอรับ..”

 

ฉู๋หว๋ายเหมียนที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากอาอวี่ไม่รู้วิธีปรุงโอสถ เขาจะรักษาองค์หญิงฉินอินจากพิษของงมังกรในป่าล่ามังกรได้อย่างไรเล่า? โดยเฉพาะมังกรที่กลายร่างเป็นงูยิ่งมีพิษร้ายแรงกว่าสัตว์ร้ายอื่นๆ”

 

ฉินเหลยปาดหน้าผากพร้อมกับยิ้มและกล่าว “เรื่องเป็นเช่นนี้เองงั้นหรือ…ข้าไม่รู้มาก่อนทว่าอาอวี่…หากเจ้าปรุงโอสถฟื้นคืนสู่สูงสุดได้ ข้าจะขอให้เจ้าทําสิ่งหนึ่งได้หรือไม่?”

 

“สั่งการมาได้เลยขอรับ” หลินมูอวยิ้มตอบ

 

“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง…”

 

หลินเหลยวางดาบอัสนีทลายบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าน่าจะรู้ถึงความแข็งแกร่งขององครักษ์อวี้หลินดีอยู่แล้ว แม้ว่าในเมืองหลันเยี่ยนจะมีกองกําลังที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าเจิ้งอี้ฝานและชางไป๋เฮ่อที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตปราชญ่นั้นแข็งแกร่งกว่ากองกําลังของเรามาก ข้าในฐานะผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน อยากมอบโอสถฝันคืนสู่สูงสุดให้พวกเจ้าทุกคน ดังนั้นหากข้าขอให้เจ้าปรุงโอสถสองร้อยหกขวด เจ้าจะทําให้ได้หรือไม่อาอวี่”

 

“โอสถฝันคืนสู่สูงสุดจําเป็นต้องใช้วัตถุดิบต้องห้าม..ดอกบัวเจ็ดสี” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วมองไปยังจนเสียวถัง “ข้าอยากทราบว่าร้านค้าแห่งจักรวรรดิพอมีดอกบัวเจ็ดสีหรือไม่?”

 

จินเสี่ยวถังเม้มปาก “เรามีดอกบัวเจ็ดสีอยู่ในคลังสินค้า ทว่าให้ท่านพี่ไปหมดแล้วก่อนหน้า นี้หากหาซื้อเพิ่มเกรงว่าจะถูกทหารอวี้หลินหรือพวกเสินเวยตรวจพบเอาเสียวถังเป็นเพียง แม่ค้าไม่อยากเสี่ยงถูกสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงจับไปทรมานเจ้าค่ะ…”

 

ฉินเหลยหัวเราะ “มิใช่เรื่องยากแม่นาง..ในฐานะผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน แม้ข้าจะออกตัวตามหาวัตถุดิบให้เจ้าไม่ได้ ทว่าข้าเขียนคําสั่งให้เจ้าซื้อดอกบัวเจ็ดสีได้มากเท่าที่ต้องการโดยไม่ มีใครตรวจสอบได้”

 

“จริงหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นข้าก็ไม่ปฏิเสธเจ้าค่ะ!” จินเสี่ยวถังชอบใจ

 

ฉินเหลยเขียนคําสั่งประทับตราสีทองและเอ่ยขึ้น “ไม่มีปัญหาและโอสถฟื้นคืนสู่สูงสุดทั้งสี่สิบขวดเจ้าขายให้ข้าได้หรือไม่? ข้าจ่ายให้เจ้าได้ขวดละแปดพันเหรียญทองไม่มากไปกว่านั้น”

 

หลินมู่อวี่เอ่ยแทรก “หามิได้ขอรับ…หากท่านฉินเหลยต้องการจงรับมันไปเถิด ข้าได้เงินมามากโขจนไม่รู้จะใช้อย่างไรหมดแล้วขอรับ”

 

ฉินหล่ายส่ายหน้า “อาอวี่เจ้าทําเช่นนี้ไม่ถูกต้อง โอสถเหล่านั้นมีค่ามหาศาลนัก อีกทั้งเงินทองที่ข้าใช้จ่ายเป็นเงินจากองค์จักรพรรดิและกระทรวงการคลัง เป็นเงินภาษีที่เก็บได้ทุกปีเพื่อนำมาใช้ในการนี้ หากข้าไม่นามาใช้จ่าย พวกขุนนางคงเอาใช้บําเรอประโยชน์สุขส่วนตนเสียจนหมด ฉะนั้นเจ้าไม่จําเป็นต้องถ่อมตนเกินไปเลย”

 

“หากเป็นเช่นนั้นข้าขอน้อมรับคําสั่งขอรับ”

 

“อืม…เจ้าทําดีแล้ว”

 

ฉินเหล่ยโบกมือเรียกทหารให้นากระสอบใบใหญ่ที่บรรจุเหรียญเพชรจนเต็มมาจ่ายค่าโอสถ…โอสถฟื้นคืนสู่สูงสุดขวดละแปดพันเหรียญทอง รวมกันทั้งหมดเท่ากับสามแสนสองหมื่นเหรียญทอง หรือเท่ากับสามร้อยยี่สิบเหรียญเพชร “กริ๊ง…กริ้ง” เหรียญเพชรถูกเทลงบนโต๊ะ หลินมู่อวี่และ จินเสี่ยวถังรู้สึกลิงโลดเมื่อได้เห็น

 

เมื่อผู้จัดการทําการคํานวณเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้น ‘ท่านหลินมู่อวี่ขายของได้ทั้งหมดห้าแสนสี่หมื่นสองพันเก้าร้อยเหรียญทอง หักภาษีร้อยละสิบแล้วเหลือสี่แสนแปดหมื่นแปดพันหกร้อยสิบเหรียญทอง คุณหนูเสียวถึงให้ปัดขึ้นเป็นสี่แสนเก้าหมื่นถ้วน หักค่าสินเชื่อเก้าหมื่นเหรียญทอง ดังนั้นท่านหลินหมู่อวีได้รับเงินจากการขายสินค้าทั้งหมดสีร้อยเหรียญเพชรถ้วนขอรับ!”

 

สี่แสนเหรียญทอง!

 

หลินมู่อวี่ได้ยินดังนั้นก็ปลาบปลื้ม กระสอบเหรียญเพชรสี่ร้อยเหรียญวางอยู่ตรงหน้าเขา หลินมู่อรู้สึกราวกับว่ากําลังขึ้นสวรรค์

 

เว่ยโฉวที่ยืนอยู่ด้านข้างประสานมือคํานับ “ยินดีกับความสําเร็จขอรับท่านแม่ทัพ!”

 

หลินมู่อวีหัวเราะชอบใจก่อนจะแบ่งสิบเหรียญเพชรให้เว่ยโฉว “หมื่นเหรียญทองนี้คิดเสียว่าเป็นค่าสร้างฐานของเราแล้วกัน”

 

“ขอรับท่านแม่ทัพ!” เว่ยโฉวรับเงินแล้วยิ้มร่า

 

หน่วยองครักษ์อินทรีอยู่อย่างขัดสน ทหารหลายนายมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ํารวย เงินเดือนที่ได้ต้องส่งกลับไปให้ที่บ้านใช้จนแทบไม่เหลือเก็บและต้องกินอยู่อย่างประหยัด ด้วยหมื่นเหรียญทองนี้จะช่วยให้ทหารทั้งหนึ่งร้อยสิบนายของหลินมู่อวี่ที่มีชีวิตที่ดีขึ้น นี่เป็นข้อดีของการมีเงินทอง!

 

ขณะที่หลินมู่อวี่กําลังไล่แจกเงินอย่างมีความสุข ฉินเหลยจับบ่าเขาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้า เด็กน้อย..อย่าเอาแต่ยิ้มเหมือนคนโง่ทั้งวันเช่นนี้ ท่านชวี่ฉู่จะกลับตําหนักเจ๋อเทียนเช้านี้ เจ้าจะไปพบท่านหรือไม่? ข้าจะได้ตามเจ้าไปด้วย”

 

“ท่านปู่ชวีฉู่กลับเมืองหลวงหรือ?” หลินมู่อวี่ถามด้วยความปิติ

 

“ถูกต้อง”

 

“เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านตอนนี้เลยขอรับ”

 

“อืม”

 

เว่ยโฉวนำทหารหน่วยองครักษ์อินทร์ไปซื้อของใช้ต่างๆ ในขณะที่หลินมู่อวี่เดินทางไป ตําหนักเจ๋อเทียนกับฉินเหลยและฉู๋หว๋ายเหมี่ยน เขาออกจากตําหนักเจ๋อเทียนไปเพียงพริบตาเดียว เวลากลับล่วงเลยไปหลายวันจนแทบจํากําแพงตําหนักด้านหน้าไม่ได้แล้ว

 

หลินมู่อวี่มองเหรียญเพชรสามร้อยเก้าสิบเหรียญที่แขวนบนหลังม้าอย่างมีความสุข เขายิ้มร่า ดั่งคนเสียสติพร้อมกับเดินเข้าตําหนักเจ๋อเทียนไป

 

ห้องโถงใหญ่ด้านข้างเต็มไปด้วยเหล่ารัฐมนตรีกําลังกางกระดาษขาวแผ่นใหญ่ให้องค์จักพรรดิ ฉินจิ้น ซึ่งกําลังเขียนคําว่า “ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด” ด้วยตัวอักษรอันประณีต กล่าวขานกันว่าฉินจิ้น นั้นมีความสามารถทั้งด้านการวาดและประดิษฐ์คํา แม้หลินมู่อวี่จะไม่เชี่ยวชาญมาก แต่ก็พอรู้ว่าดํารัสของฉินจิ้นนั้นมีพลังช่วยผลักดันผู้คนอย่างมาก

 

ชวีฉูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งานเขียนของพระองค์ทรงสง่างามยิ่งนักพะย่ะค่ะ”

 

ฉินจิ้นยิ้มจางๆ “ท่านชวีฉูเข้าใจที่ข้าเขียนด้วยหรือ?”

 

“ท่านเข้าใจว่าอย่างไร?”

 

“หามิได้…ชายแก่คนนี้เพียงกล่าวชมเท่านั้นพะย่ะค่ะ”

 

“…” ฉินจิ้นมิได้ตอบกลับอันใด

 

ข้าหลวงคนหนึ่งกราบเรียน “องค์จักรพรรดิ ผู้บัญชาการฉินเหลยพาท่านหลินมู่อวี่มาเข้าพบ ท่าชวี่ฉู ขณะนี้รออยู่ด้านนอกพะย่ะค่ะ”

 

ชวีฉูลูบเคราสีขาวของตนก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระองค์อยากไปพบเจ้าเด็กน้อยหลินมู่อวี่กับข้าหรือไม่พะยะค่ะ?”

 

ฉินจิ้นส่ายหน้า “ไม่เป็นไร…ท่านขวีฉูไปเถิด”

 

“พะยะค่ะ!”

 

ชวีฉูรู้สึกได้ว่าฉันจิ้นยังคงกังวลเรื่องที่หลินมู่อวี่ที่จะกระทําการต่อต้านตนอยู่ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไปพบหลินมู่อวีเพียงลําพัง

 

ด้านนอกโถงใหญ่ หลินมู่อวี่ลูบถุงย่ามของตนไปมาอย่างภูมิใจในความมั่งคั่ง

 

“อะแฮ่ม!” ชวีฉูกระแอม

 

หลินมู่อวี่หลุดจากภวังค์ก่อนจะหันมามองชวีฉูด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ชวีฉูกลับมาแล้วหรือขอรับ?”

 

ชวีฉูพยักหน้ารับ “เจ้าเด็กโง่ ถูกเนรเทศไปเจดีย์ทงเทียนแล้วยังกลับมาได้พลังใจของเจ้าช่างน่านับถือเสียจริง”

 

“ฮ่าๆ”

“ช่างเถิด แล้วสิ่งใดอยู่ในย่ามของเจ้ากัน ถึงได้ลูบถูมันไปมาด้วยหน้าตาแปลกๆ เช่นนั้น? เจ้าลักพาตัวสาวงามมาใส่ไว้ในย่ามอย่างนั้นหรือ?” ชวีฉูเอ่ยถามด้วยท่าทางฉงน

 

“หาใช่เช่นนั้นไม่ขอรับ…” หลินมู่อวี่เปิดย่ามออกแล้วยิ้ม “ดูเอาเถิดขอรับ…”

 

ชวีฉูตกตะลึง “นี่เจ้าขโมยสมบัติจากกองคลังมารึ?”

 

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าท่าน?” หลินมู่อวีเถียงกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านปู่เห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือขอรับ? เงินนี้ข้าได้มาจากนาพักน้ําแรงของข้าเองหาใช่ลักขโมยไม่…”

 

ชวิฉูเผลอยิ้ม “เช่นนั้นการที่เจ้าแบกย่ามใส่เงินไปทั่ว เจ้าไม่เกรงว่าผู้อื่นจะเห็นเข้าหรือ? ช่าง เถิด…ปู่ได้เอาสมบัติชิ้นหนึ่งที่เจอในส่วนลึกของป่าล่ามังกรมาให้เจ้า”

 

“มันคือสิ่งใดหรือขอรับ?” หลินมู่อวีตื่นเต้น

 

ชวีฉูนําถุงสีดําออกมาจากหน้าอกเสื้อ “สิ่งนี้คือ…”

 

หลินมู่อวี่พูดไม่ออกเมื่อเห็นถุงขนาดเล็กกว่าฝ่ามือของตนเสียอีก “นี่คงไม่ใช่ถุงใส่ผลไม่ธรรมดาใช่หรือไม่ขอรับ?”

 

“เจ้าโง่!”

 

ชวีฉูกล่าว “นี่คือถุงสรรพสิ่ง มันมีพื้นที่ด้านในมากพอที่จะใส่ได้ทุกอย่างบนโลกนี้ เจ้าสามารถ ใส่สัมภาระทั้งหมดไว้ในถุงเล็กๆ ใบนี้ได้”

 

“จริงหรือขอรับ?”

 

หลินมู่อวี่รับถุงมาและเปิดมันออกพร้อมกับลองยัดมือเข้าไป ทั้งมือของหลินมู่อวี่เข้าไปในถุง ได้อย่างน่าแปลกประหลาดภายในถุงนั้นทั้งเย็นและโล่งกว้างเหมาะสําหรับบรรจุของต่างๆ มันมีน้ําหนักที่เบาและใช้งานสะดวก ช่างเหมาะกับเศรษฐีหนุ่มอย่างเขาเสียจริง!

 

“เยี่ยมยอดมากขอรับ!”

 

หลินมู่อวี่ที่ตื่นเต้นดีใจเทเหรียญเพชรทั้งหมดใส่ถุงสรรพสิ่ง เขาเทเข้าออกอยู่หลายคราเพื่อพิสูจน์ว่าของด้านในมิได้หายไป แม้จะดูเล็กทว่าด้านในนั้นกว้างใหญ่พอๆกับห้องเก็บของขนาดใหญ่

 

หลินมู่อวี่เหนีบถุงสรรพสิ่งที่บรรจุสามร้อยเก้าสิบเหรียญเพชรด้านในไว้ที่เอวด้วยความปลื้มปิติ เขาประสานมือคํานับ “ขอบพระคุณมากขอรับท่านปู่ชวีฉู ข้าพอใจกับสมบัติชิ้นนี้มาก”

 

“เห็นเจ้าขอบข้าก็ดีใจ…เช่นนั้นจ่ายเงินค่าของมาด้วย!” ชวีฉูแบมือ

 

“ หมายความว่าเช่นไร?”

 

“ของวิเศษเช่นนี้เจ้าจะไม่มีค่าเหนื่อยให้ข้าบ้างหรือ?” ชวีฉูน้อยใจ “ถุงสรรพสิ่งนั้นหายากยิ่ง หากข้าเอาไปประมูลคงได้ไม่น้อยกว่าพันเหรียญทอง! ปู่ของเจ้ามีชีวิตน่าอดสู ได้เงินเดือนประทั้งชีพเพียงน้อยนิด เจ้าควรจะตอบแทนบุญคุณปู่เจ้าบ้าง!”

 

หลินมู่อวี่หยิบเหรียญเพชรให้ชวีสิบเหรียญอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “โปรดใช้จ่ายอย่างประ หยัดนะขอรับ…”

 

ชวีฉูรีบเก็บเหรียญไปโดยไวก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม…ข้ารู้แล้ว”

 

ฉินเหลย เพิ่งจี้สิง ผู้หว่ยเหมียนและคนอื่นๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ไม่รู้จะตลกหรือสงสารหลินมู่อวี่ดี

 

ถึงกระนั้นหลินมู่อวก็สบายใจเมื่อรู้ว่าชวิฉูกลับมาแล้ว

 

กองกําลังเสินเวยผนวกกําลังกับเจิ้งอี้ฝานและยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สมดุลอํานาจเริ่มเอียงไปทาง ตําหนักเจิ้งอี้ฝาน ทว่าการกลับมาของขวฉทําให้สมดุลอํานาจเปลี่ยนไป ด้วยสมญาเพลิงหลอมชวีฉูแห่งเมืองหลวง เจิ้งอี้ฝานจึงทําได้เพียงสงวนท่าที่และรอเวลาที่ขั้วอํานาจจะเอียงกลับไปหาตนอีกครั้ง

 

ฉินเหลยเข้าไปกระซิบชวีฉู “ท่านชวีฉูทางสํานักอัศวินเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

 

ชวีฉูส่ายหัว “สํานักอัศวินแห่งหลิงหนานตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าสํานักที่อยู่ใกล้กับเมืองหลันเยี่ยนดูเหมือนพร้อมจะก่อปัญหาได้ทุกเมื่อ ด้วยชื่อเสียงของข้าจึงยากที่จะสืบค้นข้อมูลมาได้ ข้ามีเพียงแค่ลางสังหรณ์เท่านั้น”

 

“เช่นนั้นคงจะเป็นลางร้ายขอรับ” เฟิ่งจี้สิงลูบดาบสะบั้นวาโยและกล่าวต่อ “การลอบโจมตี องค์หญิงซีและองค์หญิงฉินอิน ป่าล่ามังกรล้วนมีสํานักอัศวินอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เป็นการกระทําที่ส่อให้เห็นถึงการก่อกบฏต่ออาณาจักรอย่างชัดเจน!”

 

ชวี่ฉูสูดหายใจ “ใช่…ทว่าเรายังไม่มีหลักฐานเอาผิดพวกมัน”