ตอนที่ 193 การต่อสู้อันดุเดือด (2)

ปฏิญญาค่าแค้น

หลี่จิ้งเสียนรีบร้อนกลับบ้านด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เรียกบุตรชายทั้งสองมายังห้องหนังสือทันที

ขนาดอยู่ไกลออกไปยังได้ยินเสียงคำรามของนายท่านใหญ่ประจำบ้านได้ชัดเจน

“เจ้าไปบอกกล่าวคนของตระกูลเยี่ยเสีย หากไม่ออกหน้าชี้แจงความจริงให้กระจ่าง ไม่กล่าวขอโทษและทวงคืนชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลี่มาให้ ก็อย่าได้โทษว่าข้าหลี่จิ้งเสียนผู้นี้ไม่ไว้หน้า…”

หลี่หมิงอวินยืนตัวตรงและก้มหน้าด้วยความละอายแก่ใจ หลี่หมิงเจ๋อเป็นฝ่ายเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อ ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะขอรับ ไม่แน่ว่าอาจมีความเข้าใจผิดอันใดกัน สองครอบครัวมานั่งลงพูดคุยกันให้ชัดเจนก็เป็นอันสิ้นเรื่องนะขอรับ”

“เข้าใจผิด? จะเข้าใจผิดอันใดได้หรือ ตระกูลเยี่ยพวกเขาจงใจใส่ความกันชัดๆ” หลี่จิ้งเสียนระเบิดอารมณ์ด้วยความเดือดดาล เขาเอาจริงเอาจังในการดำรงตำแหน่งขุนนางมาหลายปี ปกป้องชื่อเสียงในการเป็นขุนนางอย่างระมัดระวัง แต่กลับถูกตระกูลเยี่ยทำลายจนมืดมนลงในคราเดียว แล้วจะไม่ให้เขาร้อนรนใจได้อีกหรือ

หลี่จิ้งเสียนชี้หน้าหมิงอวิน ปลายนิ้วสั่นระริก “เจ้าพูดมาสิ เรื่องนี้ เจ้าเป็นตัวตั้งตัวตีใช่หรือไม่”

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าหวาดเกรง “ท่านพ่อ ต่อให้ลูกโง่เขลาเพียงใดก็ไม่มีทางทำเรื่องเลอะเทอะประเภทนี้ได้หรอกขอรับ ลูกเคยลังเลใจอยู่เช่นกันว่าควรจะบอกกล่าวตระกูลเยี่ยให้รับทราบไว้สักหน่อยหรือไม่ แต่ก็เกรงว่าด้วยนิสัยมุทะลุของท่านลุงจะอาละวาดขึ้นมาได้ จึงคิดว่าไว้ค่อยหาโอกาสเหมาะสมบอกกล่าวท่านลุงให้รับรู้สักครั้ง ใครจะรู้ว่าเมื่อวานบุตรชายคนโตของท่านลุงซื้อที่ดินแปลงใหม่จำนวนหนึ่ง จึงต้องไปดำเนินการ ณ ที่ทำการขุนนาง ใต้เท้าฝ่ายทะเบียนถือว่าสนิทสนมกับเขาพอสมควร จึงพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปถึงเรื่องของห้องแถวร้านค้าที่ตงจื๋อเหมิน…เช้าวันนี้พอลูกได้ยินว่าท่านลุงไปตงจื๋อเหมิน ก็รีบขอลางานเพื่อเข้าไปเกลี้ยกล่อม นอกจากลูกพูดจนปากเปียกปากแฉะเพื่อเกลี้ยกล่อมตระกูลเยี่ยแล้ว ยังถูกท่านลุงตำหนิด่าทอจนยับเยินมาด้วยขอรับ”

หลี่หมิงเจ๋อช่วยพูดอีกแรง “ท่านพ่อขอรับ น้องรองไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอนขอรับ คงเป็นความเคียดแค้นจากฝั่งตระกูลเยี่ยที่มีต่อเรื่องราวมารดาของน้องรอง จึงอาศัยโอกาสนี้ลงมือกระมังขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนจ้องหมิงอวินเขม็งอย่างดุดัน “ปกติแล้วเจ้าเป็นคนมีความนึกคิดเป็นของตนเองนักมิใช่หรือ แล้วไยตอนนี้กลายเป็นใบ้ไปเสียได้” ตามจริงตอนแรกเขาเคยคิดเช่นกันว่า การขายทรัพย์สินของนางเยี่ยทิ้ง ตระกูลเยี่ยคงต้องไม่พึงพอใจอย่างแน่นอน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของตระกูลเยี่ยจะรุนแรงเพียงนี้ หลายปีที่ผ่านมา พี่เขยอาศัยอยู่ในเมืองหลวง มิใช่ว่าเขาไม่เคยไปแสดงมิตรไมตรีด้วย ทว่าทุกครั้งที่ไปล้วนถูกชักสีหน้าบูดบึ้งใส่ทุกครั้ง ตระกูลเยี่ยปฏิบัติต่อเขาด้วยความอคติอย่างยิ่ง เรื่องราวครั้งนี้ ต่อให้หมิงอวินไม่ได้พูดอันใด แต่เดาว่าภายภาคหน้าตระกูลเยี่ยรับรู้เข้าก็คงไม่ปล่อยเลยตามเลยอย่างแน่นอน เฮ้อ…ถึงอย่างไรก็เป็นเขาเองที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ!

หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าว “ลูกจะไปพูดกับท่านลุงอีกครั้งแล้วกันขอรับ”

หมิงเจ๋อกล่าว “เจ้านัดท่านลุงเจ้าออกมาพูดคุยกันได้หรือไม่”

หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าไปบอกลุงเจ้าว่า เรื่องราวใหญ่โตขั้นนี้แล้ว หาได้มีประโยชน์ต่อฝ่ายใดไม่ พ่อเห็นแก่ความรักของแม่เจ้า ไม่อยากทำให้สองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด จึงจะให้โอกาสพวกเขาแก้ไขสักครั้งหนึ่ง มิเช่นนั้น ความผิดฐานทำลายชื่อเสียงขุนนางแห่งราชสำนัก ไม่แน่ว่าตระกูลเยี่ยของเขาจะแบกรับได้ไหว”

ภายในใจของหลี่หมิงอวินอัดแน่นไปด้วยอารมณ์เคียดแค้น บิดายังมีหน้ามาเอ่ยว่าเห็นแก่ความรักของท่านแม่อะไรพวกนี้อีกหรือ หลอกนางให้แต่งงานด้วย ปอกลอกเงินทองของนางและทำร้ายความรู้สึกของนาง โกหกมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ แล้วยังมีหน้ามีพูดถึงความรักอะไรนี่อีก ท่านพ่อเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่คำนึงถึงตนเองผู้เดียวเท่านั้น คนรอบข้างในสายตาเขาล้วนเป็นแค่ตัวหมากที่ใช้ประโยชน์ได้และไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง

หลังหลินหลันรอคอยอยู่ด้านนอกห้องหนังสือเป็นเวลาพักใหญ่ ถึงเห็นหมิงอวินและหมิงเจ๋อพากันเดินออกมา

หมิงเจ๋อเอ่ยต่อหมิงอวินด้วยความเห็นอกเห็นใจ “น้องรอง ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้คนที่ลำบากที่สุดก็คือเจ้าซึ่งเป็นคนกลางที่ต้องแบกรับอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย ทว่าเพื่อหน้าตาของสองตระกูล เจ้าจึงจำเป็นต้องอดทนแบกรับเอาไว้หน่อย ทางด้านท่านพ่อนี่ข้าจะช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง เจ้าก็ไปพูดจาดีๆ กับทางด้านท่านลุงเจ้าเสีย”

หมิงอวินยิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจดี ขอบคุณมาก พี่ใหญ่”

หลินหลันยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอหมิงอวินเดินเข้ามาแล้วจึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้างหรือ”

หลี่หมิงอวินมองซ้ายมองขวา “พวกเราออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ทั้งสองเดินพ้นประตูออกไปแล้วขึ้นรถม้า หลี่หมิงอวินจึงเอ่ยถาม “แม่มดชรามิได้ทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่”

หลินหลันหัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ “นางจะทำอะไรข้าได้ ก็แค่ด่าระบายอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมาไม่กี่ประโยคก็เท่านั้น! ทว่า วันนี้ข้าเพิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วท่านย่าเจ้ามิใช่คนดีเด่อันใด”

ดวงตาของหลี่หมิงอวินฉายความสงบเยือกเย็น จ้องมองไปยังม่านหน้าต่างของรถโดยไม่พูดไม่จา

หลินหลันเข้าใจความรู้สึกของเขาในเวลานี้ เดิมทีคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเขามากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าถูกกดดันให้เขาต้องวางแผนการร้ายขึ้นมา ต่อให้แผนการสำเร็จ ภายในใจเขาก็ไม่ได้มีความสุขแต่อย่างใด

“หมิงอวิน เจ้าไม่ต้องรู้สึกละอายแก่ใจไปหรอก นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิดเลยแม้แต่น้อย” หลินหลันปลอบประโลม

หลี่หมิงอวินกอบกุมมือคู่น้อยของนางแล้วเอ่ยปากขึ้น ในน้ำเสียงสุขุมของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม “ข้าไม่ได้ละอายแก่ใจ การต่อกรกับแม่มดชรา ไม่เพียงเพราะนางกดดันจนท่านแม่ต้องหนีจากมา นางยังต้องการทำร้ายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงเพราะนางคิดจะฮุบทรัพย์สินของข้า…เมื่อยี่สิบปีก่อน นางเกือบทำร้ายชีวิตของท่านแม่ข้าและข้า”

หลินหลันตกตะลึง จ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนกปนประหลาดใจ เรื่องนี้นางไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาก่อน

“ปีนั้นตอนที่ท่านแม่ให้กำเนิดข้า เดิมทีตกลงกันไว้เสร็จสรรพแล้วว่าจะมีหมอตำแยมาสองคน แต่จู่ๆ พวกนางกลับหายไป คนที่อยู่ข้างกายท่านแม่ข้าก็ไม่ประสีประสาเรื่องทำคลอด สาวใช้ที่อยู่ในห้องด้วยความจนปัญญา จึงทำได้เพียงออกไปตามหาหมอตำแยมาใหม่ โชคดีที่ท่านแม่ข้าดวงแข็ง ทว่านับแต่นั้นมาก็ให้กำเนิดบุตรไม่ได้อีก ร่างกายก็อ่อนแอไปด้วยเช่นกัน ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ท่านพ่อข้าไปเฝ้าดูนางฮานอยู่หน้าเตียง พี่ใหญ่กับข้าเกิดในวันเดียวกัน วันนั้น เหตุใดจู่ๆ หมอตำแยถึงหายไปได้น่ะหรือ ก็เพราะนางฮานนับวันคลอดของท่านแม่ไว้อย่างแม่ยำแล้วยัดเงินให้พวกนางเป็นพิเศษเพื่อบีบบังคับให้ออกไป…” ขณะเอ่ยดวงตาของหลี่หมิงอวินค่อยๆ ฉายแววเย็นชาขึ้นมาจนเด่นชัด มือที่กอบกุมมือของหลินหลันสั่นเล็กน้อย

“ดังนั้น ข้ามิเคยรู้สึกแย่ใดๆ ต่อการเล่นงานนาง ส่วนท่านพ่อ เขาเป็นความหายนะที่เลวร้ายที่สุดของละครโศกนาฏกรรมนี้ วันนี้ทุกสิ่งที่เขาครอบครองล้วนได้มาด้วยวิธีการต่ำทราม ข้าจะส่งเขาให้กลับไปสู่จุดเดิม ทำให้ชีวิตของเขาที่เหลือหลังจากนี้จมอยู่กับความเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป การลงทัณฑ์เช่นนี้ นับว่าเมตตาปรานีแล้วด้วยซ้ำไป ทว่าท่านย่า ในเมื่อนางเหยียดหยันตระกูลเยี่ยเพียงนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองของตระกูลเยี่ยอีกต่อไปแล้วเช่นกัน”

หลินหลันพยักหน้าอย่างแรง “เจ้าพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ทั้งหมดล้วนเป็นผลของการกระทำที่พวกเขาทำไว้ แล้วจะโทษใครได้เล่า เพียงแต่…ตอนนี้พวกเราต้องไปบ้านตระกูลเยี่ยหรือไม่”

สีหน้าเย็นชาของหลี่หมิงอวินค่อยๆ คลายลง เขากล่าวอย่างหยามหยันเล็กน้อย “ท่านพ่อต้องการให้ข้าไปเจรจากับท่านลุง เขายังมีหน้าหยิบยกเรื่องความสัมพันธ์รักของท่านแม่มาเอ่ย เดาว่าเมื่อท่านลุงได้ฟังคงเป็นอันเดือดดาลขึ้นไปอีกเสียมากกว่ากระมัง”

หลินหลันคล้องแขนเขา “ก็ปล่อยให้พวกเขาบ้าคลั่งกันไปนี่แหละดีแล้ว พวกเราไปจิบน้ำชาที่ตระกูลเยี่ย อยู่อย่างสงบๆ ให้สบายใจกันเถอะ”

หลี่จิ้งเสียนระบายความเดือดดาลออกไปหนึ่งยก หลังจากนั้นจึงไปโถงหนิงเฮ๋อด้วยความอึดอัดใจ

เมื่อนางฮานเห็นหน้าเขาจึงเริ่มการร่ายใส่ความหลินหลันกับหลี่หมิงอวินชุดใหญ่ “ท่านพี่ ท่านอย่าได้ถูกหมิงอวินหลอกลวงอีกเชียวนะเจ้าคะ การกลับมาครั้งนี้คงเป็นการมาเพื่อแก้แค้นให้นางเยี่ยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ อะไรจะประจวบเหมาะปานนั้น เห็นชัดๆ ว่าเขาและตระกูลเยี่ยร่วมมือกันเล่นงานพวกเรา”

หลี่จิ้งเสียนส่งเสียงตะวาด “เจ้าช่วยพูดให้ร้ายหมิงอวินให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ข้าว่าเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องการทำร้ายข้า หากมิใช่เจ้าเสนอความคิดชั่วๆ อะไรนั่นออกมา มีหรือตระกูลเยี่ยจะอาศัยโอกาสนี้ลงมือได้”

นางฮานตระหนกตกใจ กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านพี่ เหตุใดท่านพี่ถึงโยนความผิดมาที่น้องล่ะเจ้าคะ ตอนแรกท่านเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยมิใช่หรือไร”

หลี่จิ้งเสียนแทบอดไม่ได้ที่จะเตะป้าบเข้าไปสักที เขากัดฟันแน่น สบถด่า “เจ้ายังปากดีอีกหรือ หากมิใช่เจ้ายกแม่น้ำทั้งห้ามาพูดเป่าหู แล้วข้าจะตอบตกลงหรือ วันๆ เจ้าเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะเล่นงานหมิงอวินอย่างไรและจะฮุบทรัพย์สินของนางเยี่ยมาไว้ที่ตนเองอย่างไร สมกับที่เขาว่ากันว่าคนโง่เง่ามักคิดอะไรตื้นๆ เสียจริง”

นางฮานกล่าวใส่อารมณ์ “ตอนนี้ที่ประสงค์ร้ายต่อท่านพี่คือหมิงอวินและตระกูลเยี่ย เหตุใดท่านพี่ถึงมาใส่อารมณ์กับน้องล่ะเจ้าคะ สิ่งที่สำคัญยิ่งคือควรคิดว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไรถึงจะถูกนะเจ้าคะ”

หลี่จิ้งเสียนกลั้นใจสยบอารมณ์โกรธเกรี้ยว เมื่อนึกถึงปัญหาชวนปวดหัวนี้ ภายในใจเขาก็เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ตระกูลเยี่ยก่อเรื่องราวใหญ่โตที่ถนนตงจื๋อเหมินขนาดนี้ คงส่งผลให้ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยข่าวลือแล้วอย่างแน่นอน หากแพร่งพรายไปถึงหูของฮ่องเต้จนพระองค์เอ่ยถามขึ้นมา เขาจะตอบกลับอย่างไรดี

นางฮานเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามีไม่สู้ดีจนน่าเกรงกลัว จึงกล่าวด้วยท่าทียำเกรง “ท่านพี่ พวกเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะเจ้าคะ หรือว่าจะหาคนออกไปปล่อยคำพูดว่า เรื่องในตอนนั้นเพราะตระกูลเยี่ยเกิดความเข้าใจผิดต่อท่านพี่ จึงจงใจให้ร้ายท่านพี่ในครานี้…ตระกูลเยี่ยสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะคิดอาศัยคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านมาต่อกรกับท่านพี่มิใช่หรือ พวกเราก็ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ถึงอย่างไรก็ดีกว่ามิได้ทำอันใดเลยนะเจ้าคะ”

หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะคิดว่าที่นางฮานพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน “นี่ก็เป็นอีกวิธีในกรณีที่ทำอันใดอื่นมิได้เช่นนี้”

เรื่องสร้างคำวิพากษ์วิจารณ์ประเภทนี้ เป็นความถนัดหนึ่งของหลี่จิ้งเสียน ความสำเร็จทางการเมืองของเขามาได้อย่างไร ชื่อเสียงอันใสสะอาดของเขามาได้อย่างไร ชื่อเสียงอันดีงามมาได้อย่างไร ก็มาจากการสร้างคำวิพากษ์วิจารณ์ท่ามกลางหมู่สาธารณะชนครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งนั้น

เมื่อเอ่ยว่าจะทำก็ลงมือทำทันที หลี่จิ้งเสียนเรียกผู้ดูแลจ้าวมาพบและสั่งการลงไปอย่างละเอียด

เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮูหยินรองของตระกูลเยี่ยและนายท่านใหญ่เยี่ยแสดงละครไว้ที่ตงจื๋อเหมินได้อย่างถึงพริกถึงขิงเกินไปหน่อย ผนวกกับสีหน้าอันแสดงให้เห็นถึงความกระวนกระวายใจและน้อยเนื้อต่ำใจของหลี่หมิงอวินซึ่งทิ้งความทรงจำไว้ให้บรรดาผู้คนอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งทุกคนต่างเห็นใจผู้อ่อนแอ และโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนต่างมีความนึกคิดตั้งมั่นว่าแม่เลี้ยงมักมีการกระทำและความนึกคิดอันชั่วร้าย การโต้กลับครั้งนี้ของหลี่จิ้งเสียนจึงยากแก่การเป็นผลสำเร็จ

ช่วงเวลาเย็น คู่สามีภรรยาหมิงเจ๋อรีบไปยังโถงจาวฮุย

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านพ่อตาให้คนมาส่งข่าวขอรับ” หมิงเจ๋อมีสีหน้าตื่นตระหนก

หลี่จิ้งเสียนถึงกับใจเต้นระรัว “ว่าอันใดหรือ”

หมิงเจ๋อกล่าวตะกุกตะกัก “ท่านพ่อตาเอ่ยว่า…ขุนนางฝ่ายตรวจการหลายท่านร่วมมือกันเตรียมเสนอชื่อ ต้องการฟ้องร้องท่านพ่อ ท่านพ่อตาอยากช่วยยับยั้งแต่ยับยั้งไม่อยู่ ท่านพ่อตาเลยให้ท่านพ่อเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนถึงกับรู้สึกแทบล้มทั้งยืน

อย่างไรก็ตาม หลี่จิ้งเสียนยังคงพยุงตัวเอาไว้ได้ ทว่าหญิงชราที่นั่งอยู่ด้านในกลับล้มลงศีรษะฟาดกับพื้นเสียงดัง ‘ปึง’ ไปเสียแล้ว

ทุกคนต่างร้องขึ้นด้วยความตื่นตกใจ แล้วรีบเข้าไปประคองหญิงชราลุกขึ้น ก่อนจะเห็นว่าหญิงชราศีรษะแตกเลือดไหล ทั้งยังใบหน้าซีดเผือด

ทันใดนั้นเสียงร้องเรียกหมอ เสียงร้องไห้ระงมและเสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้น สร้างความปั่นป่วนภายในโถงจาวฮุยอย่างยิ่ง

เวลานี้คู่สามีภรรยาหลี่หมิงอวินกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในโถงรับแขกของบ้านตระกูลหลี่

นางฉีป้าสะใภ้รองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การด่าทอในวันนี้ช่างสะใจข้าเสียจริง ความโกรธแค้นที่อัดอั้นมานานหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ระบายออกไปเสียที”

ท่านลุงใหญ่สบถ ฮึ และกล่าว “นี่ยังเร็วเกินไป! กะอีแค่นี้ ยังไม่สาสมกับคนเลวทรามคู่นั้นด้วยซ้ำ”

นางหวังป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างเป็นกังวล “หลี่จิ้งเสียนผู้นั้นจะใช้ทางการมาต่อกรกับพวกเราจริงๆ หรือ”

ท่านลุงใหญ่ตวัดสายตามองไปและเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว “เขาหรือจะกล้า ข้ายังกังวลอยู่ด้วยซ้ำว่าเรื่องมันยังไม่ใหญ่โตพอ ข้าล่ะอยากให้โวยวายไปถึงที่ทำการขุนนางเสียจริง จะได้นำเรื่องที่แม่เลี้ยงสารเลวทำร้ายหมิงอวินเปิดโปงออกมาด้วยเสียเลย”

หลี่หมิงอวินกล่าว “ท่านพ่อเขามิกล้าหรอกขอรับ ก็แค่ทำท่าข่มขู่ไปเช่นนั้นเอง หากเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ วันนี้ขุนนางฝ่ายตรวจการก็คงรวบรวมรายชื่อฟ้องร้องกันแล้วล่ะขอรับ”

ท่านลุงใหญ่พยักหน้า “หลักฐานนั่น ข้าให้คนส่งไปถึงมือใต้เท้าหยางขุนนางฝ่ายตรวจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปีนั้นใต้เท้าหยางท่านนี้เคยฟ้องร้องหลี่จิ้งเสียน ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จ ครานี้ เขาจะได้สมใจปรารถนาอย่างแน่นอน”

นางฉีกล่าวด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายที่การฟ้องร้องครั้งนี้ถูกส่งขึ้นไปแล้ว เงินทองสกปรกๆ เหล่านั้นของหลี่จิ้งเสียนก็คงต้องตกสู่กรมคลังของบ้านเมือง หากเหลือไว้ให้หมิงอวินบ้างก็คงดีไม่น้อยทีเดียวเชียว”

หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะและกล่าว “นั่นมิใช่เงินทองที่ได้มาอย่างถูกต้อง หยิบไปก็แปดเปื้อนมือเปล่าๆ ขอรับ ในเมื่อรับมาจากประชาชน ก็นำไปใช้กับประชาชนจะดีกว่าขอรับ”