ตอนที่ 194 การคาดเดาของไท่โฮ่ว

ปฏิญญาค่าแค้น

วันนี้หลังฮ่องเต้เสร็จจากว่าราชกิจ จึงไปคารวะไท่โฮ่วภายในพระราชวัง

“วันนี้เสด็จแม่สีหน้าดีขึ้นเยอะเลยนะพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความพึงพอใจ

ไท่โฮ่วมองอู่หยางที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “หลายวันมานี้ต้องขอบใจอู่หยางที่มาอยู่ในวังเป็นเพื่อนเรา ทำให้เราสำราญใจอารมณ์ดีขึ้นมาก จึงเห็นประสิทธิผลดีกว่าการดื่มยาไหนๆ”

อู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนช้อย “ขอเพียงไท่โฮ่วมิรังเกียจเสียงโหวกเหวกของอู่หยาง อู่หยางก็ยินดีอยู่เป็นเพื่อนไท่โฮ่วชั่วชีวิตเลยเพคะ”

ไท่โฮ่วอมยิ้มและตรัส “อยู่เป็นเพื่อนเราชั่วชีวิต แล้วเจ้ามิคิดออกเรือนกับเขาบ้างหรือไร”

อู่หยางเผยท่าทีเขินอายขึ้นมา นางก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้าในมือขณะบ่นอุบอิบ “ไท่โฮ่วทรงหยอกล้อหม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ อู่หยางมิต้องการออกเรือนหรอกเพคะ”

ไท่โฮ่วหัวเราะขึ้นมา “มีสตรีที่ไหนกันไม่คิดจะออกเรือน”

ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้ม “อู่หยางก็ถึงวัยต้องออกเรือนกับเขาแล้วเช่นกัน อู่หยางมีคุณงามความดีที่คอยปรนนิบัติไท่โฮ่ว เราจะหาบุรุษที่สมดั่งปรารถนาเจ้าให้สักคนอย่างแน่นอน”

อู่หยางหน้าแดงก่ำหนักขึ้นกว่าเดิม นางบ่นอุบอิบด้วยท่าทีเขินอาย “กระทั่งฮ่องเต้ก็ทรงหยอกล้ออู่หยางด้วยเสียแล้ว”

ฮ่องเต้และไท่โฮ่วส่งเสียงหัวเราะลั่น “ต้องหาบุรุษที่มีความสามารถยิ่งให้อู่หยางของพวกเราสักคน และต้องเป็นบุรุษที่รูปงามหล่อเหลาด้วยถึงจะดี” ไท่โฮ่วกล่าว

เมื่ออู่หยางได้ยินสองประโยคนี้ ภายในสมองของนางก็ปรากฏเงาร่างของหลี่หมิงอวินลอยขึ้นมาโดยปริยาย น่าเสียดาย…เขาแต่งงานไปเสียแล้ว

ไท่โฮ่วเห็นประกายในดวงตาของนางที่ลุกวาวขึ้น ภายในใจจึงเกิดความสงสัย หรือว่าเด็กคนนี้มีผู้ใดในใจอยู่แล้ว?

เห็นคางของอู่หยางแทบจะจรดลงบนหน้าอก ไท่โฮ่วจึงตัดสินใจตัดบทประเด็นนี้เสียก่อนแล้วไว้ค่อยไต่ถามความนึกคิดของอู่หยางอีกที

ไท่โฮ่วหันมองฮ่องเต้ ฮ่องเต้เองกลับมีท่าทีแปลกประหลาดอยู่เช่นกัน แม้ว่าใบหน้าจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับเลื่อนลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงส่งเสียงตรัสถาม “ฮ่องเต้มีเรื่องราวอันใดในใจหรือ”

ฮ่องเต้ถอนหายใจเล็กน้อยและตรัสอย่างใจเย็น “หลายวันก่อนขุนนางฝ่ายตรวจการฟ้องร้องราชเลขาฝ่ายการก่อสร้างเรื่องการทุจริต วันนี้แต่เช้าตรู่ ขุนนางฝ่ายตรวจการร่วมกันเสนอชื่อฟ้องร้องใต้เท้าหลี่ราชเลขากรมคลังขึ้นมาอีกพะย่ะค่ะ”

ไท่โฮ่วรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง นางขมวดคิ้วพลางตรัส “หรือว่าใต้เท้าหลี่ก็รับสินบาทคาดสินบนกับเขาเช่นกัน”

อู่หยางอดตื่นตกใจไม่ได้ จึงเงี่ยหูตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความประหลาดใจอีกครั้งและถอนหายใจเงียบๆ ก็คงหนีไม้พ้นเรื่องรับสินบาทคาดสินบนน่ะสิ! วันนี้เห็นหลักฐานที่ใต้เท้าหยางส่งขึ้นมา เขาไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเองด้วยซ้ำ ทว่าตามหลักฐานที่ส่งมาก็ทำให้เขาไม่เชื่อมิได้ เพื่อความรอบคอบ เขาจึงไม่เอ่ยถึงการติดสินบนขึ้นมาเป็นการชั่วคราว และสั่งการให้ขุนนางฝ่ายตรวจการเร่งไปตรวจสอบหาความกระจ่างโดยเร็วที่สุด

ฮ่องเต้ถือฝาถ้วยน้ำชาขึ้นแล้ววางมันลงอีกครั้งก่อนตรัสด้วยความอ่อนใจ “ลูกจำได้ว่า ปีนั้นที่ใต้เท้าหลี่ต้อนรับภรรยาที่เคยตรากตรำด้วยกันกลับมาใหม่อีกครั้งก็เกิดเรื่องราววุ่นวายมากมายเช่นกัน ลูกยังเคยชื่นชมเขาที่ได้ดิบได้ดีแล้วแต่ยังไม่ลืมผู้ซึ่งเคยตรากตรำมาด้วยกัน จะด้วยเห็นแก่สัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันหรือด้วยนิสัยของเขาก็ช่าง อีกทั้งใต้เท้าหลี่เป็นขุนนางมาหลายปี ดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียงดีงามมาตลอด ลูกคิดอยู่ตลอดว่าเขาเป็นขุนนางที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ใครจะรู้ว่า…เฮ้อ! คนเรานี่มันรู้หน้ามิรู้ใจจริงๆ! อีกทั้งเมื่อวานนี้ยังเกิดเรื่องดังบนถนนสายตงจื๋อเหมิน ใต้เท้าหลี่ซึ่งเคยเป็นบุตรเขยของตระกูลเยี่ยถูกโพนทะนาที่ถนนตงจื๋อเหมิน มีใจความว่าใต้เท้าหลี่และภรรยาของเขาบีบบังคับและทำร้ายบุตรชายคนรองของตระกูลหลี่ที่เกิดจากนางเยี่ย”

อู่หยางส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ “หมายถึงบัณฑิตหลี่เช่นนั้นหรือเพคะ”

ไท่โฮ่วชำเลืองมองอู่หยาง อู่หยางจึงรีบสงบเสียงทันที

ฮ่องเต้ตรัสด้วยความอึดอัดใจ “แล้วยังประสงค์ครอบครองทรัพย์สินที่นางเยี่ยทิ้งไว้ให้บุตรชายของนาง จากคำพูดของคนที่พากันกล่าวถึงในตอนนี้ ตระกูลเยี่ยกล่าวว่าตอนนั้นมิใช่เพราะใต้เท้าหลี่คิดว่านางฮานไม่มีชีวิตอยู่แล้วถึงได้แต่งงานใหม่กับนางเยี่ย แต่เป็นเขาที่ป่าวประกาศต่อหน้าตระกูลเยี่ยว่ายังมิเคยแต่งงานมาก่อน ใต้เท้าหลี่จึงเป็นฝ่ายหลอกแต่งงานและปอกลอกทรัพย์สิน”

ไท่โฮ่วตรัสด้วยความตกตะลึงปนประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นใต้เท้าหลี่ก็แต่งงานใหม่ทั้งๆ ที่ยังไม่เลิกรากับภรรยาเก่าสินะ นี่เลวทรามต่ำช้าเกินไปเสียแล้ว”

“เฮ้อ…วันนี้ในท้องพระโรงตอนว่าราชกิจ ใต้เท้าขุนนางฝ่ายตรวจการหลายท่านเอ่ยถึงใต้เท้าหลี่ว่าใต้เท้าหลี่แต่งเรื่องขึ้นมา นี่เป็นสถานการณ์ความเข้าใจผิด บัณฑิตหลี่ก็ยืนกรานเช่นกันว่าคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปได้ เพราะเป็นเขาเองที่เต็มใจแบ่งทรัพย์สินให้กับพี่ๆ น้องๆ” ฮ่องเต้ตรัส

ไท่โฮ่วราวกับกำลังนึกคิดบางอย่าง “ด้วยความที่บัณฑิตหลี่เป็นบุตร ต่อให้มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง เขาก็พูดความจริงออกมาไม่ได้เช่นกัน”

“เช่นนั้นฮ่องเต้ตัดสินใจว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไรหรือ” ไท่โฮ่วตรัสถาม

ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากไม่มีอันใดที่เป็นเค้ามูลอยู่ เรื่องก็คงไม่แดงขึ้นมาได้ ปัญหานี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในยามนี้ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว ลูกให้เขากลับไปครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ ระหว่างรอการตรวจสอบให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากันอีกทีพะย่ะค่ะ”

ไท่โฮ่วพยักหน้า “ใต้เท้าหลี่เป็นถึงกระดูกสันหลังของราชสำนัก เป็นที่ได้รับความเคารพนับถือ เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบเข้าไว้ ”

“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้องยิ่งนักพะย่ะค่ะ…”

หลังฮ่องเต้เดินออกไป ไท่โฮ่วจึงเอ่ยถามอู่หยาง “เจ้าคิดเห็นเช่นไรต่อเรื่องนี้หรือ”

อู่หยางครุ่นคิดแล้วกล่าว “ครั้งงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านหญิงชราเก๋อ อู่หยางเคยเห็นแม่นางหมิงจูหลานสาวของตระกูลหลี่เพคะ ได้ยินนางพูดให้ร้ายสะใภ้รองตระกูลหลี่ต่อหน้ากลุ่มคนมากมาย และพูดได้อย่างหน้าตาเฉย ตอนนั้นอู่หยางก็คิดเช่นกันเพคะมันแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เป็นแค่หลานสาวของตระกูลหลี่ผู้หนึ่งไยถึงกล้าทะนงตนเพียงนั้น อู่หยางได้ยินแล้วไม่อาจทนฟังต่อไปได้ก็เลยตำหนินางไปสองสามประโยคเพคะ ตามจริงสะใภ้รองตระกูลหลี่ไม่เพียงแต่มีทักษะการรักษาล้ำเลิศ แต่ยังเป็นผู้ที่สุภาพอ่อนโยน นอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงอันดีงามในแวดวงสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงอีกด้วยเพคะ”

เมื่อได้ยินดังกล่าว ไท่โฮ่วก็พยักหน้าอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันภายในใจก็เกิดความนึกคิดบางอย่าง หลานสาวคนหนึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของคู่สามีภรรยาบัณฑิตหลี่ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ เห็นทีว่าเรื่องฮุบทรัพย์สินของบัณฑิตหลี่โดยคู่สามีภรรยาใต้เท้าหลี่จะมิใช่เรื่องโคมลอยแต่อย่างใด

“เราคล้ายได้ยินมาว่าสะใภ้รองตระกูลหลี่นั่นภูมิหลังเป็นชาวบ้านจากชนบท ด้วยเหตุนี้ ตอนแรกใต้เท้าหลี่จึงคัดค้านไม่อนุญาตให้นางเข้าไปอยู่ในบ้าน ทว่าบัณฑิตหลี่ดื้อดึงต้องการแต่งกับนางให้จงได้ หลังจากแข็งข้อกันอยู่สักพัก ใต้เท้าหลี่ก็เป็นอันยินยอม” ไท่โฮ่วตรัสระหว่างนึกย้อนกลับไป

อู่หยางเผยรอยยิ้มหวาน “เรื่องนี้ อู่หยางก็มิทราบแน่ชัดแล้วละเพคะ”

แม่เฉาที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไท่โฮ่วทรงความจำเป็นเลิศยิ่งเพคะ มีเรื่องนี้จริงๆ เพคะ และเมื่อเดือนสาม สะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ก็บริจาคยาให้แก่กองทัพทหารที่มุ่งลงตอนใต้ด้วยนะเพคะ!”

ไท่โฮ่วเผยรอยยิ้ม มองไปยังอู่หยางแล้วตรัสถามอย่างมีนัยแอบแฝง “เจ้าคงเคยเห็นบัณฑิตหลี่แล้วสินะ”

อู่หยางหน้าแดงระเรื่อ “เคยเห็นครั้งหนึ่งเพคะ”

“แล้วคิดว่าอย่างไรหรือ” ไท่โฮ่วตรัสซักถาม เมื่อครู่ฮ่องเต้เอ่ยถึงตระกูลหลี่ อู่หยางเด็กสาวผู้นี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

อู่หยางก้มหน้าก้มตาพึมพำ “เขาเป็นจอหงวน ทั้งยังเป็นบัณฑิตแห่งฮ่านหลิน แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงและโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ผู้หนึ่งเพคะ”

“เช่นนั้น…หากเราจับบัณฑิตหลี่มาเป็นคู่ครองให้แก่เจ้า เจ้าจะชื่นชอบหรือไม่” ไท่โฮ่วตรัสถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

อู่หยางหน้าแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ไท่โฮ่วเพคะ ท่านอย่าได้ล้ออู่หยางเล่นเลยเพคะ บัณฑิตหลี่เขามีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว อู่หยางจะแต่งกับเขาได้อย่างไรอีกล่ะเพคะ…”

ไท่โฮ่วมองดูท่าทางเขินอายของนาง จึงมั่นใจในการคาดเดาของตนเองเข้าไปใหญ่

ภายในใจอู่หยางเกิดความตื่นตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน นี่ไท่โฮ่วทรงล้อกันเล่นหรือพูดจริงกันแน่

หลี่จิ้งเสียนเอนกายหมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องหนังสือด้วยความเศร้าสลด เขากำฝ่ามือข้างหนึ่งแล้วเขกลงบนหน้าผาก กายใจรู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก! เป็นขุนนางมาหลายปี ไม่เคยพบเจอเรื่องราวขายหน้าเช่นนี้มาก่อน พวกขุนนางฝ่ายตรวจการนั่นกำลังจับตามองเจ้าอยู่ตลอดทั่งวี่ทั้งวัน พอได้กลิ่นแปลกๆ เข้าหน่อยก็กระตือรือร้นกระโจนเข้าใส่ทันที เมื่อก่อนมักเป็นฝ่ายเห็นคนเขาถูกเล่นงานไม่เหลือชิ้นดีท่ามกลางท้องพระโรง ไม่อ้ำๆ อึ้งๆ ก็โวยวายหูดับตับไหม้ คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นคราของเขาบ้างเสียแล้ว หากมิใช่เพราะใต้เท้าติงส่งข่าวมาบอกกล่าวล่วงหน้าให้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ทั้งมีหมิงอวินช่วยเหลือเขาอธิบายอีกแรง ไม่รู้เลยว่าจะจัดการสถานการณ์วันนี้อย่างไรดี ทว่าท้ายที่สุดก็ยังสร้างความโกรธเคืองแด่ฮ่องเต้อยู่ดี…

“เหล่าเหยียขอรับ เหล่าไท่ไทให้ท่านไปพบนางหลังกลับมาถึงขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวกล่าวด้วยท่าทีลังเลใจ มองเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายก็รู้ได้เลยว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

หลี่จิ้งเสียนพ่นลมหายใจออกมาและกล่าวอย่างรำคาญใจ “เข้าใจแล้ว”

หญิงชราแทบจะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะมากังวลใจให้มากมายอีกทำไมกัน

นางฮานคอยอยู่เป็นเพื่อนหญิงชราในโถงจาวฮุยตลอดเวลา อยากปลอบประโลมสักสองสามประโยค แต่ตนเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน พูดไปพูดมากลับยิ่งทำให้หญิงชรากังวลใจไปกันใหญ่

วันนี้เพราะหญิงชราล้มป่วย หลินหลันจึงต้อง ‘พยายามทำตนเป็นคนกตัญญู’ โดยไม่ไปร้านยาสักวันหนึ่ง “ท่านพ่อเป็นขุนนางมาหลายปีขนาดนี้ แต่ก็ผ่านพ้นมรสุมที่ประสบพบเจอมาได้นับไม่ถ้วน อีกอย่างหากเบื้องบนต้องการเอาผิดท่านพ่อ ก็ต้องมีหลักฐานมายืนยันความจริงด้วยเจ้าค่ะ ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ชาญฉลาด มีหรือจะเอาผิดท่านพอเพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของตระกูลเยี่ยที่ไม่ประสงค์ดีต่อท่านพ่อ ตราบใดที่หมิงอวินออกตัวชะล้างความเข้าใจผิดนี้ ก็คงไม่มีอันใดแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวปลอบประโลม

เวลานี้นางฮานไม่กะจิตกะใจหาเรื่องหลินหลันเช่นกัน และกลับหวังด้วยว่าเรื่องราวจะเป็นไปดั่งที่หลินหลันพูด นางเชื่อว่าต่อให้หลี่หมิงอวินมีความนึกคิดอื่นใดก็คงไม่กล้าพูดปดต่อหน้าฮ่องเต้เป็นอันขาด “หลินหลันพูดถูก ข้าก็กังวลใจจนสับสนไปหมดจึงไม่ทันคิดถึงส่วนนี้ เหล่าไท่ไท ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ! ท่านพี่จะต้องมิเป็นไรแน่นอนเจ้าค่ะ”

นางไม่รู้ว่าสามีของนางถูกฮ่องเต้สั่งการให้อยู่แต่ในบ้านเพื่อไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด

หญิงชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

แน่นอนว่าหลี่จิ้งเสียนเองก็ไม่กล้าระบายความกังวลออกไปเช่นกัน เกิดหญิงชราเดือดดาลขึ้นมานั่นอาจถึงแก่ชีวิตเอาได้ อีกอย่างเขาเองก็ลองนึกย้อนไตร่ตรองดูแล้วเช่นกัน ไม่แน่ว่าการที่ฮ่องเต้ทรงให้เขากลับมาไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เป็นเพราะอยากให้เขาหลบเลี่ยงข่าวลือหนาหูในตอนนี้ รอเวลาผ่านไปสักระยะ เมื่อเรื่องราวสงบลงก็เป็นจบไป

ภายในจวนหลี่เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดชวนให้รู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก ทุกคนล้วนรู้สึกกระวนกระวายใจ คนของเรือนหลั้วเซี๋ยจายอยู่ในเรือนของตนด้วยอารมณ์สงบนิ่ง เมื่อออกจากเขตเรือนถึงจะปั้นสีหน้ากลัดกลุ้มทุกข์ใจ เพื่อแสดงว่าพวกนางเป็นกังวลต่อเรื่องนี้เช่นกัน

หลินหลันรอจนกระทั่งหญิงชรานอนหลับไปแล้วจึงกลับมายังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย แล้วเรียกแม่โจวเข้ามาพบภายในห้อง

“ปล่อยข่าวลือออกไปแล้วหรือยัง”

แม่โจวกล่าว “ปล่อยออกไปแล้วเจ้าค่ะ เพื่อความรอบคอบปลอดภัย บ่าวไม่กล้าให้อวี๋อี๋เหนียงรู้ว่าเป็นคนของพวกเราที่ปล่อยข่าวลือเจ้าค่ะ เพียงแต่…อวี๋อี๋เหนียงจะนำคำพูดไปบอกกล่าวถึงหูเหล่าเหยียจริงๆ หรือเจ้าคะ”

หลินหลันขมวดคิ้วขณะกล่าว “หากนางไม่โง่เขลาจนเกินเยียวยาก็คงรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสทองที่ไม่ควรพลาด นางน่าจะรู้ดีว่าตราบใดที่มีนางฮานอยู่ นางจะไม่มีวันอยู่อย่างเป็นสุขไปได้”

ในคืนเดียวกัน ตามระเบียบปฏิบัติ หลี่จิ้งเสียนควรไปห้องของอนุภรรยาหลิว ทว่าด้วยภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล ไม่อยากให้สภาพอารมณ์ในตอนนี้ส่งผลกระทบไปถึงอนุภรรยาหลิวเพราะอนุภรรยาหลิวยังคงต้องผดุงครรภ์ให้มากๆ เข้าไว้ ทางด้านนางฮานนั่น เขายิ่งไม่อยากไปเข้าไปใหญ่ เห็นหน้านางฮานยิ่งมีแต่จะรู้สึกรำคาญใจ ดังนั้นหลังเดินทอดน่องวนเวียนไปมาอยู่หนึ่งรอบ จึงไปเรือนที่ตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกของจวน อันเป็นที่พักของอนุภรรยาอวี๋

อวี๋เหลียนเห็นนายท่านดูอารมณ์ไม่ดีนัก จึงปรนนิบัติอย่างระมัดระวังกว่าปกติ นางถือน้ำชามารินให้แล้วช่วยบีบนวดแขนขา

อารมณ์ตึงเครียดของหลี่จิ้งเสียนในตลอดทั้งสองวันหนึ่งคืนถึงเป็นอันผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดเข้าหากันค่อยๆ คลายออก เขาเอนกายลงบนเตียงนอนและปิดเปลือกตาลง

“เหล่าเหยีย…” อวี๋เหลียนเอ่ยเรียกเสียงบางเบา

หลี่จิ้งเสียนส่งเสียง ‘อือ…’ อย่างเหนื่อยหน่าย

“เหล่าเหยีย เมื่อไม่นานมานี้น้องได้ยินเรื่องราวบางอย่างเข้าเจ้าค่ะ”

“เรื่องอันใดหรือ หากเป็นเรื่องชวนให้วุ่นวายใจก็มิต้องพูดแล้ว ตอนนี้เราวุ่นวายใจมากพอแล้ว” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อวี๋เหลียนจึงกลืนคำพูดลงไป ทว่าจะไม่พูดก็ไม่ได้ จึงกล่าวออกไปอย่างอ้ำอึ้ง “น้องคิดว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองวันนี้เจ้าค่ะ”

หลี่จิ้งเสียนลืมตาขึ้นทันใด เขาจ้องมองไปที่อวี๋เหลียนแล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ว่ามาสิ…”

อวี๋เหลียนรู้สึกดีใจ แต่ยังคงกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “เป็นเรื่องของเดือนที่แล้วเจ้าค่ะ วันนั้น ฮูหยินให้น้องไปช่วยนางทำงานเย็บปักถักร้อยช่วงบ่าย ชุนซิ่งเอ่ยว่าฮูหยินกับนายซุนกำพูดคุยธุระกันอยู่ ระหว่างนั้นน้องก็เลยรออยู่ด้านนอก…ต่อมาได้ยินฮูหยินพูดคุยกับนายซุนว่า ‘เจ้าให้พวกเขาวางใจได้ เงินกู้นี้ข้าจะคืนให้ตรงตามกำหนดอย่างแน่นอน ส่วนดอกเบี้ยก็จะจ่ายให้พวกเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน เลิกเอาแต่เร่งรัดกันเช่นนี้ได้แล้ว’ เจ้าค่ะ”