บทที่ 159 คนที่เข้าใกล้เธอล้วนตายกันหมด?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ตงฟางเมิ่ง ชื่อนี้ยังคงมีความประทับใจอยู่ในสมองของเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะหยางอี้มอบภารกิจให้เขา แต่เป็นเพราะเธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ซึ่งชื่อนี้ดึงดูดเย่เทียนเฉินได้บ้างจริงๆ แน่นอนว่านอกจากสี่สุดยอดสาวงามแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือพรรควรยุทธโบราณ

ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินให้ความสนใจต่อเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณเป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลกผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษต่างก็ยืนเคียงข้างกัน ในหมู่คนทั้งสองประเภทนี้ ต่างก็ปรากฏยอดฝีมือเก่งกาจออกมามากมาย พวกเขาถึงขั้นครอบงำไปทั่วทั้งโลก รวมกับที่เย่เทียนเฉินต้องการรวมเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกันมาโดยตลอด เหมือนกับเซี่ยอวี่เหอที่แม้ว่าเดิมทีความสามารถที่แท้จริงของเธอจะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ว่าเมื่อนำพลังพิเศษรวมเข้ากับเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณแล้ว ความแข็งแกร่งของกระบวนท่าที่ปรากฏออกมาและพลังโจมตีต่างก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เย่เทียนเฉินอดทึ่งไม่ได้

ภารกิจที่หยางอี้มอบหมายให้เขาก็คือให้ดูแลผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ ไม่ใช่การคุ้มครองเธอ และไม่ใช่การทำร้ายเธอ คำพูดของหยางอี้พูดไว้อย่างชัดเจนว่าอย่าให้ผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ไปทำร้ายคนอื่น และไม่ให้คนอื่นมาทำร้ายเธอ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ว่าพวกหยางอี้ต้องการจะทำอะไร แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ไปยั่วยุเซวียนเยวี๋ยนเถิงอะไรนั่นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ชอบเข้าเรียนอยู่แล้ว วันเวลาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงจึงน่าเบื่อ เติมบทเพลงไปเล็กน้อยก็คงจะมีสีสันบ้าง!

เพียงแต่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า ตงฟางเมิ่งคนนี้จะถึงกับเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิงมาสามปีซ้อน เธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณและเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง นี่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ และช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจต่อตงฟางเมิ่งคนนี้ขึ้นมาทีละนิดว่าตกลงแล้วเป็นผู้หญิงหน้าตาแบบไหนกันแน่? และมีนิสัยอย่างไรกันแน่?

หลิงอวี่สวิ๋นบอกว่าตงฟางเมิ่งเป็นภูเขาน้ำแข็ง จะมากจะน้อยก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้จุดหนึ่ง นั่นก็คือนิสัยของผู้หญิงคนนี้จะต้องเย็นชาอย่างแน่นอน ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใกล้

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งซึ่งในตอนที่เย่เทียนเฉินตอบรับหยางอี้ก็พอจะมองออกแล้ว นั่นก็คือดูเหมือนว่าบุคคลระดับสูงของประเทศจะให้ความสนใจกับผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้เป็นอย่างมาก คงจะไม่ใช่เพราะเธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือเป็นเพราะเธอเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งมาสามปีซ้อน แต่คงจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังอยู่ ดูแล้วผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ จะมีฐานะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ตงฟางเมิ่ง ชื่อนี้เพราะมากจริงๆ หนูคิดว่าพี่สาวคนนั้นจะต้องสวยมากแน่ๆเลยค่ะ!” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สวยก็สวยอยู่หรอก แต่ว่าไม่มีใครที่สามารถสนิทสนมกับเธอได้เลย ได้ยินมาว่าเธอไม่มีเพื่อนเลยสักคน!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างช่วยไม่ได้

คนที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ประโยคนี้ทำให้เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกตะลึง ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ในชีวิตของคนๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อน และยิ่งจำเป็นต้องมีเพื่อนสนิทอยู่หลายคน ไม่ว่าจะสุขเศร้าเหงาซึมก็ต้องมีคนร่วมแบ่งปันกับคุณ มิเช่นนั้นชีวิตของคนๆ นี้ก็จะไม่สุขสมบูรณ์ และจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าโดดเด่นและสามารถได้ตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงสามปีซ้อน จะเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ต้องทราบว่า ข้างกายของผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ จะต้องมีแฟนคลับและคนตามจีบจำนวนไม่น้อยอย่างแน่นอน หรือว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำให้เธอใจเต้นได้?

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้คะ? พี่สาวคนนั้นไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงเลยเหรอ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“ไม่จริงน่ะ โลกนี้ยังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเองก็พูดขึ้นแล้วส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ

“นี่เป็นเรื่องจริง ข้างกายของตงฟางเมิ่งไม่มีเพื่อนผู้ชายแล้วก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิง เพราะได้ยินมาว่าคนที่ใกล้ชิดกับเธอทั้งหมด สุดท้ายก็จะตายอย่างลึกลับ…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดเสียงเบา บรรยากาศพลันเย็นยะเยือกถึงขีดสุด ราวกับกำลังเล่าเรื่องผีก็มิปาน

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เสี้ยวหยาก็ตกใจ ส่วนเย่เทียนเฉินกลับขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เพียงแต่ไม่กล้าจะมั่นใจ นี่เกรงว่าจะต้องเข้าใกล้ตงฟางเมิ่งคนนั้นก่อน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าเป็นเหมือนที่คิดหรือไม่

“นี่…พี่สาวอวี่สวิ๋น มีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรอคะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่นี้ไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธออีก ดังนั้นเธอก็เลยอยู่คนเดียวมาตลอด สาวงามภูเขาน้ำแข็งที่ทำให้คนคาดหวังและถอยห่าง!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างจริงจัง

จินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เดิมทีก็ควรจะมีเพื่อนมากมาย มีคนตามจีบมากมาย ชีวิตก็ควรจะดีเลิศเป็นอย่างมาก แต่กลับเป็นดาวเพชฌฆาต ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้เธอจะตายทุกคน เชื่อว่าในใจของผู้หญิงคนนี้คงจะรับไม่ได้เป็นอย่างมาก เธอคงโดดเดี่ยวมากนัก

ฝนตกพรำพรำ สถานที่เดิมแห่งนั้นมีต้นหญ้ารกขึ้นสูง ฉันได้ยินว่า เธอยังคงรออยู่อย่างเดียวดาย…

“น่าสนใจแฮะ ถ้ามีโอกาสฉันจะลองไปพบตงฟางเมิ่งคนนี้ดู จะไปดูสักหน่อยว่าเธอหน้าตาเป็นยังไงกันแน่!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? ตามที่ฉันรู้มา หลายปีมานี้คนที่เดินใกล้ตงฟางเมิ่งทุกคน ต่างก็ตายไปอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุ ทางตำรวจก็ไม่พบเงื่อนงำอะไร แปลกประหลาดจริงๆ ถ้านายคิดจะรนหาที่ตาย ฉันก็จะไม่ห้ามนายไป!”

“วางใจเถอะ ด้วยความสามารถของพี่ชาย ต่อหน้าเสน่ห์ของฉัน คำสาปทั้งหมดจะต้องถูกทำลาย!” เย่เทียนเฉินตบหน้าอกตนเองแล้วพูดอย่างมั่นใจ

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็กลับไปที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง จึงได้พบว่าในตอนนี้ภายในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา มีหมอที่สวมชุดคลุมสีขาวยืนล้อมอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนผมหงอก เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วคนที่อายุน้อยที่สุดอย่างต่ำก็อายุห้าสิบหกสิบปี นี่ทำให้เสี้ยวหยาพลันกระวนกระวายขึ้นมา คิดว่าคุณแม่ของตนเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว บางทีอาจจะอาการกำเริบกะทันหัน

รอจนกระทั่งทั้งสามคนเดินเข้ามาภายในห้องผู้ป่วยจึงได้พบว่า นายแพทย์อาวุโสเจ็ดแปดคนนี้ล้วนเป็นศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง และมีหลายคนที่ไม่ได้ออกตรวจรักษานานแล้ว แต่ครั้งนี้ถึงกับถูกเชิญมากลางดึก

ท่ามกลางนายแพทย์อาวุโสเหล่านี้ ยังมีชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าปีคนหนึ่ง สวมสูททั้งตัว รูปร่างค่อนข้างอ้วน เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นพวกมีมาด เมื่อเห็นทั้งคนเดินเข้ามา ก็เดินมาหาเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คิดว่ากลุ่มนี้คงจะเป็นเย่เทียนเฉินสินะครับ นายน้อยเย่ ได้พบกับคุณเป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ!”

ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นหน้าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แต่ตามคำโบราณกล่าวไว้ว่า ไม่ตบหน้าคนที่ยิ้มให้ คนอื่นเขาพูดกับคุณด้วยรอยยิ้ม คุณก็ไม่สามารถตบหน้าเขาโดยไม่แยกแยะถูกผิดใช่ไหม?

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยื่นมือขวาออกมา เย่เทียนเฉินก็ยื่นมือขวาออกไปจับอย่างเป็นการเป็นงาน จากนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “เกรงใจเกินไปแล้วครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร?”

“อ้อ เรียกผมว่าเหล่าหลินแล้วกันครับ ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ครับ!” ชายวัยกลางคนรีบพูด

“ที่แท้ก็เป็นผู้อำนวยการหลินนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าว

เหล่าหลินเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุห้สิบปี แต่ก็ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงแล้ว จินตนาการได้เลยว่ามีความสามารถสูงมาก และเป็นพวกมีสมองด้วย พอได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องของหวางจื้อลี่และเย่เทียนเฉิน ปฏิกิริยาแรกของเหล่าหลินก็คือ เย่เทียนเฉินคนนี้หาเรื่องไม่ได้ จำเป็นต้องต้อนรับเขาให้ดีๆ ถึงจะถูก

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็นับว่าเห็นแก่หน้าเย่เทียนเฉิน เหล่าหลินจำเป็นต้องทำการเคลื่อนไหว จะอย่างไรก็ห้ามล่วงเกินเย่เทียนเฉินจะดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงรีบโทรศัพท์ไปหาศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนภายในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเชิญพวกเขามาที่โรงพยาบาลใหญ่ถึงเมืองหลวงในตอนมืดให้ได้ ความจริงแล้วศาสตราจารย์อาวุโสที่อยู่ค่อนข้างไกลก็ยังส่งรถไปรับด้วยตัวเอง กระทั่งเหล่าหลินเอง หลังจากที่โทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบมาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงทันที

การกระทำของเย่เทียนเฉิน ในฐานะที่เหล่าหลินเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง และอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานานหลายปี อีกทั้งตรวจรักษาให้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย จึงทำให้สามารถรู้ถึงเรื่องบางเรื่องได้ เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็มากพอที่จะทำให้เขาสั่นสะท้าน หวางจื้อลี่คนนี้หยิ่งยโสมาโดยตลอด ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ขนาดหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะก็ยังเชิญมาแล้ว แต่กลับกลายเป็นการส่งตัวเองเข้าสำนักความปลอดภัยสาธารณะแทน นี่ก็เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าเย่เทียนเฉินในวันนี้ได้ไปถึงจุดที่มีไม่กี่คนในเมืองหลวงที่จะกล้าหาเรื่องแล้ว

“นายน้อยเย่ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผมได้ยินลูกน้องรายงานผมแล้วครับ ต้องตำหนิผมที่ไม่ได้จัดการลูกน้องให้ดี ผมต้องขอโทษคุณ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมรับประกันว่าจะไล่หวางจื้อลี่ออกในทันที หมอขยะภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ คนที่ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เลยแม้แต่น้อย ไม่สมควรที่จะได้เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงหรอกครับ พวกเราจะเห็นคนเป็นสำคัญ จะช่วยชีวิตคนและรักษาโรค!”  เหล่าหลินพูดด้วยท่าทางที่เป็นทางการอย่างมาก

“ครับ มีผู้อำนวยการหลินที่มีจรรยาบรรณแพทย์สูงส่งแบบนี้อยู่ ผมเชื่อว่าอาการป่วยของแม่ของเพื่อนผมจะต้องดีขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าวินิจฉัยโรคออกมาเป็นอย่างไรบ้างครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังต้องรออีกสักครู่นะครับ ศาสตราจารย์อาวุโสหลายท่านนี้กำลังวินิจฉัยอยู่!” เหล่าหลินพูดยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็ยืนอยู่ด้านข้าง พวกเธอย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ ไม่สามารถรบกวนศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้นที่กำลังวินิจฉัยโรคให้แม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินได้ทำให้พวกเธอตกใจและยินดีมากเหลือเกิน คนคนนี้ช่างร้ายกาจมากจริงๆ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนี้ได้? สามารถทำให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงต่อสายไปหาศาสตราจารย์อาวุโสแต่ละท่านให้มาวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาล คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมีอิทธิพล

ส่วนเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะไม่มีอำนาจและอิทธิพลเลย มีเพียงสองหมัดที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนต้องสั่นสะท้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่มีคุณธรรมเหล่านั้น ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ความหน้าด้านไร้ยางอายทั้งหลาย สิ่งที่จะพบก็มีเพียงกำปั้นเท่านั้น