บทที่ 160 แม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงมาถึงโรงพยาบาลในเวลาสี่ทุ่ม และยังเรียกศาสตราจารย์อาวุโสอีกเจ็ดแปดคนมาที่โรงพยาบาลด้วย ศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านี้ล้วนแต่มีบารมีสูงส่งในด้านฝีมืออันโดดเด่นทางด้านเวชศาสตร์ โดยปกติแล้วคนธรรมดาจะไม่ได้พบพวกเขาโดยเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาวินิจฉัยให้ผู้ป่วยคนหนึ่งถึงโรงพยาบาลในตอนกลางคืนเลย

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของเย่เทียนเฉิน หากว่าเขาไม่ออกหน้า เกรงว่าครอบครัวของเสี้ยวหยาคงจะถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว ไหนเลยยังจะสามารถเข้าพักในห้องผู้ป่วย VIP ได้ และยังมีศาสตราจารย์อาวุโสที่มีอำนาจบารมีมาตรวจให้แม่ของเธออีก

“ถ้างั้นก็ลำบากผู้อำนวยการหลินแล้วนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ที่ไหนกันครับ ได้ทำประโยชน์ให้นายน้อยเย่ก็เป็นเกียรติของผมแล้วครับ!” เหล่าหลินรีบพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่พูดคุยกันง่ายๆ หลายประโยค เหล่าหลินก็รู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ไม่ได้คุยเล่นกับเย่เทียนเฉินต่อไปอีก แต่เดินไปด้านข้างศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้น ร่วมทำการวินิจฉัยและหารือ วิเคราะห์อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาเฝ้ารออย่างร้อนใจ อาการปวดเอวของแม่เป็นมาหลายปีแล้ว ด้วยความที่ว่าครอบครัวจนมาก และต้องใช้จ่ายกับการเรียนหนังสือของตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณแม่จึงไม่เต็มใจที่จะมาตรวจที่โรงพยาบาล ยื้อเวลาไปกว่าห้าปีแล้ว แต่ในปีนี้ไป จู่ๆ อาการป่วยแม่ของเสี้ยวหยาก็ร้ายแรงขึ้นมาก ดูเหมือนว่าจะเจ็บเอวทุกวัน เจ็บอยู่นานจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ความจริงแล้วในตอนที่ทนไม่ไหวก็จะกินยาระงับปวดไปบ้างเพื่อผ่อนคลายความเจ็บลง

เย่เทียนเฉินเห็นเสี้ยวหยาจับมือของหลิงอวี่สวิ๋นอย่างเคร่งเครียดก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างเธอ แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นแน่!”

เสี้ยวหยาเงยหน้ามองเขา ทันใดนั้นเธอก็พบว่าผู้ชายที่ขี้เล่นคนนี้ ความจริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อนและจิตใจดีมาก เขาลงมือทำร้ายคน ก็ล้วนแต่เป็นคนเลว บางทีตระกูลอาจจะมีอำนาจอิทธิพล แต่ก็ไม่โอหังอวดดีเลยแม้แต่น้อย

“อืม!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้นจึงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย พวกเขาได้บอกผลการวินิจฉัยแก่ผู้อำนวยการหลินเรียบร้อยแล้ว และย่อมมีเหล่าหลินมาบอกพวกเย่เทียนเฉิน

ผู้อำนวยการหลินเดินมาเบื้องหน้าทั้งสาม พูดเสียงเบาว่า “พวกเราออกไปพูดกันเถอะครับ อย่ารบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเลย!”

เมื่อได้ฟังคำนี้ เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะกัดฟันตัวเอง ใครก็ดูออกว่าผลการวินิจฉัยอาจจะไม่ค่อยน่ายินดีนัก

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ตบไหล่ของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “พวกเราออกไปกันเถอะ ให้คุณน้าพักผ่อนเงียบๆ สักครู่เถอะ!”

เสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินส่งสายตาให้เธอ จึงสงบอารมณ์ของตนเองเล็กน้อยและพยายามฝืนยิ้มออกมา เดินไปข้างเตียงผู้ป่วยแล้วพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ ผลการตรวจยังต้องใช้เวลาอีกสักครู่ถึงจะรู้ผล แม่พักก่อนนะคะ หนูจะออกไปส่งเพื่อนทั้งสองคน!”

“อืม ขอบคุณพวกเธอมากจ้ะ!” แม่ของเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงจิตใจดีและซื่อตรงคนหนึ่ง แม้ว่าสีหน้าจะขาวซีด แต่ก็ยังยิ้มอย่างมีความสุขให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณน้าพักผ่อนให้ดีๆ นะคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณน้าครับ พรุ่งนี้พวกเราจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย VIP จนมาถึงห้องทำงานข้างๆ ห้องหนึ่ง ผู้อำนวยการหลินกำลังดูภาพเอกซเรย์อวัยวะภายในของแม่ของเสี้ยวหยาที่เพิ่งจะถ่ายเมื่อครู่ มีท่าทางเคร่งขรึมอยู่บ้าง

“ผู้อำนวยการหลินคะ อาการป่วยของแม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาร้อนใจเป็นอย่างมาก เดินเข้าไปเอ่ยปากถามอย่างกระวนกระวาย

ผู้อำนวยการหลินมองเธอครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปยังเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น พูดด้วยท่าทางเข้มงวดว่า “นายน้อยเย่ พวกคุณนั่งก่อนครับ ผมจะอธิบายให้พวกคุณฟังสักหน่อย!”

“ผู้อำนวยการหลิน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ ควรจะรักษายังไง ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญก็คือต้องรักษาให้หาย!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

“เอ้อ ได้ครับ…ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง มะเร็งลำไส้ครับ พวกคุณลองดูนะครับ ลําไส้ตรงช่วงเอวส่วนนี้ กลายเป็นสีดำทั้งหมดแล้ว ทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้…” ผู้อำนวยการหลินพูดแล้วถอนหายใจ

เสี้ยวหยาได้ฟังคำพูดของผู้อำนวยการหลิน น้ำตาก็พลันไหลออกมา โรคมะเร็ง ในโลกปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เป็นโรคมะเร็ง เมื่อเป็นโรคมะเร็งแล้วก็จะมีเพียงความตายเพียงเส้นทางเดียวจริงๆ ไม่มีทางรอดอะไรแล้ว เป็นโรคหนึ่งที่รักษาไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีคนมากมายพูดว่าโรคมะเร็งสามารถควบคุมได้ สามารถรักษาได้ หรือกระทั่งมีผู้ป่วยที่หายดี นั่นก็เป็นเพียงการให้ความหวังผู้คนเท่านั้น เป็นการปลอบใจผู้ป่วยก็เท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันนี้ ยังไม่มีประเทศไหนที่สามารถรับมือกับโรคมะเร็งได้

หลิงอวี่สวิ๋นเองก็กอดเสี้ยวหยาด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าคุณแม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับอีกฝ่ายได้ไม่นาน แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกว่าตนเองถูกชะตากับเด็กที่บริสุทธิ์คนนี้จริงๆ และยังพูดคุยกันถูกคอ ระหว่างทั้งสองไม่มีความห่างเหินเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเพื่อนที่คบกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคุณแม่ของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล

เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของหลิงอวี่สวิ๋น และยังไม่กล้าร้องไห้เสียงดังจนเกินไป ด้วยกลัวว่าแม่ของเธอจะได้ยิน ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นเองก็ดวงตาเปียกชื้น มีน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกเศร้าใจ เสี้ยวหยาที่เขาคิดอยากจะปกป้อง คิดอยากจะทำให้เธอมีความสุข ย่อมคิดไม่ถึงว่าแม่ของเธอจะจากเธอไปในเวลานี้ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ที่เข้าใจเรื่องราวคนหนึ่ง มีความรู้สึกรักลึกซึ้งต่อพ่อแม่มาโดยตลอดและกตัญญูเป็นอย่างมาก

“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? ต่อไปจะรักษายังไง?” เย่เทียนเฉินสงบอารมณ์ของตนเองแล้วเอ่ยถาม

ผู้อำนวยการหลินมองเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าเขาไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย และจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาล่วงเกินเย่เทียนเฉินไม่ได้ ด้วยอำนาจของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะสามารถโผทะยานได้ในเมืองหลวง ตระกูลเย่เอ็งก็จะถูกเขาทำให้รุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นหากเขาสามารถผูกสัมพันธ์กับเย่เทียนเฉินได้ ก็จะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาริษยา

“นายน้อยเย่ครับ ผมไม่ขอปิดบัง เมื่อดูจากปฏิกิริยาในภาพเอกซเรย์ปัจจุบันนี้ ผู้ป่วยได้เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วครับ ในตอนนี้มีวิธีการรักษาอยู่สองวิธี หนึ่งก็คือการรักษาแบบดั้งเดิม โดยการใช้ยาควบคุมเอาไว้ ทำให้อาการของโรคคงตัวแล้วจึงค่อยตัดสินใจอีกครั้ง วิธีที่สองก็คือการผ่าตัด ผ่าตัดเอาลำไส้ของผู้ป่วยออกทั้งหมด แต่ว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วดูเหมือนเซลล์มะเร็งจะมีแนวโน้มว่าได้กระจายตัวออกไปมากแล้ว ต่อให้ตัดลำไส้ออกก็ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายดีได้ แต่กลับจะเป็นการกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปเร็วยิ่งขึ้น อันตรายเป็นอย่างมากครับ!” ผู้อำนวยการหลินวิเคราะห์อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาในตอนนี้ให้พวกเขาได้ฟังอย่างละเอียด

ความจริงหากพูดให้ชัดเจน วิธีการรักษาทั้งสองวิธีนี้ต่างก็เป็นการรอความตาย ไม่ว่าจะทำการผ่าตัดหรือไม่ แม่ของเสี้ยวหยาก็อยู่ได้ไม่นาน เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปแล้ว เท่ากับว่าภายในร่างกายของเธอมีระเบิดฝังอยู่ทุกที่ ขอระเบิดขึ้นมาผู้ป่วยก็จะเสียชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็หลายเดือน อย่างมากที่สุดก็หลายปี

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะเคยคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนั้น ในช่วงยุคสิ้นโลก โรคมะเร็งไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นระยะสุดท้ายก็สามารถใช้ยารักษาได้ อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังเคยเห็นด้วยตาของตนเองว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาได้ทำการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจนหายดี เพียงแต่น่าเสียดายที่ในช่วงยุคสิ้นโลกนั้นผู้มีพลังสายรักษาล้ำค่าและหายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกแห่งนี้เลย

เทคโนโลยีด้านการแพทย์ในโลกปัจจุบันนี้ ยังคงห่างไกลระดับนั้นมาก เย่เทียนเฉินทำได้เพียงคิดอยู่ในใจว่าจะสามารถหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษามาสักคนและให้เขารักษาแม่ของเสี้ยวหยา รักษาโรคมะเร็งของเธอให้หายดีได้หรือไม่? ต่อให้ความเป็นไปได้นี้จะเลือนลางเป็นอย่างมาก แต่เย่เทียนเฉินก็ยังคิดที่จะลองพยายามอย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่อยากเห็นเสี้ยวหยามีท่าทางปวดใจจนน้ำตาไหลเลยจริงๆ

ผู้มีพลังพิเศษสายรักษา อยู่ในการแบ่งประเภทของสายพิเศษ ผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ พลังพิเศษของพวกเขาอาจจะอ่อนแอมาก แต่ว่าผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งทุกคนล้วนต้องการที่จะคบหากับพวกเขา เนื่องจากผู้มีพลังพิเศษสายรักษาสามารถรักษาความเจ็บปวดให้หายดีได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งลือกันว่าผู้มีพลังพิเศษสายรักษาที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถฟื้นคืนชีพคนตายได้ นี่เป็นความสามารถที่พวกเขาครอบครอง

ดังนั้นกล่าวได้ว่า อย่าได้ดูเบาผู้มีพลังพิเศษสายใดๆ ก็ตาม ก็เหมือนกับที่ไม่ควรดูถูกใครก็ตาม เพราะทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและจุดแข็งของตนเอง ทุกคนต่างก็มีจุดที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น เมื่อจุดเด่นของคนคนนี้ปะทุออกมาทั้งหมด ก็จะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน

“งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกันครับ ทำการรักษาแบบดั้งเดิมไปก่อน ใช้ยาควบคุมอาการ พยายามป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก

“ครับ!” ผู้อำนวยการหลินพยักหน้า

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินหันกลับไปมองเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆ พวกเธอต่างก็จมดิ่งอยู่ในความโศกเศร้า โดยเฉพาะเสี้ยวหยาพี่ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ในใจรู้สึกเสียใจมากจริงๆ เขาถามผู้อำนวยการหลินเสียงเบาว่า “วิธีการรักษาแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่ครับ?”

“อย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างมากก็สามเดือนถึงครึ่งปีครับ!”

“รู้แล้วครับ เรื่องนี้อย่าได้บอกคนอื่น ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการให้คุณทำก็คือบอกพวกเธอว่า ผลลัพธ์ของการรักษาแบบดั้งเดิมจะดีมาก อย่างน้อยก็สามารถรับประกันได้ว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้สิบปีขึ้นไป!” เย่เทียนเฉินมองผู้อำนวยการหลินแล้วพูดเสียงเบา

ผู้อำนวยการหลินพยักหน้า แล้วจึงเรียกเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเข้ามาอธิบายอาการป่วยในปัจจุบันนี้ของแม่ของเสี้ยวหยา  และยังนำคำพูดที่เย่เทียนเฉินต้องการให้เขาพูด พูดออกไปให้ทั้งสองคนฟัง นี่จึงทำให้ในใจของเสี้ยวหยาดีขึ้นบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็มีเวลาสิบปี สิบปีนี้เธอจะกตัญญูต่อแม่ให้ดีๆ จะคอยอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ

“หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ ฉันจะหาวิธีรักษาแม่ของเธอให้หายดี!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่หางตา เธอเป็นผู้หญิงที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง เธอจะไม่ให้แม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ของตนเองเด็ดขาด ท่าทางแบบนี้มีแต่จะทำให้แม่ต้องกังวลและเศร้าเสียใจ

เวลาห้าทุ่ม เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นออกมาจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เสี้ยวหยายังคงอยู่ในโรงพยาบาล คอยดูแลแม่ของเธอ เมื่อนั่งอยู่ในรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว นั่งสูบบุหรี่พิงอยู่บนเบาะ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า…