แล้วเยี่ยหลีจึงได้เล่าเรื่องที่ตนไปยังหนานจ้าวรวมถึงเรื่องของชิงเฉินให้ฟังโดยละเอียด สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “พาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนั้น ชิงเฉินก็ทำอันใดเสี่ยงเกินไปหน่อย”
ส่วนสวีชิงป๋อดูจะไม่นึกเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ใหญ่เลยแม้แต่น้อย เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอารอง ท่านวางใจเถิด พี่ใหญ่เคยทำเรื่องที่ตนเองไม่มั่นใจตั้งแต่เมื่อใดกัน หลีเอ๋อร์ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าต่อให้นางไม่ไปชายแดนใต้ ก็มั่นใจว่าพี่ใหญ่จะหลบหนีออกมาได้”
สวีชิงเหยียนพยักหน้าติดต่อกัน “พี่สี่พูดถูก พี่หลี ธิดาเทพ. แห่งหนานเจียงผู้นั้นรูปร่างหน้าตางดงามมากหรือ เหตุใดนางจับพี่ใหญ่ไปแล้วกลับไม่ทำร้ายเขา แม้แต่จะทรมานเพื่อให้เขาพูดสักนิดก็ไม่มี คงมิได้นึกชอบพี่ใหญ่ขึ้นมากระมัง” มิอาจไม่กล่าวว่า บางครั้งบางคราสวีชิงเหยียนก็พูดถูกอยู่เหมือนกัน
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “ข้ามิได้พบธิดาเทพแห่งหนานเจียงหรอก แต่ข้าว่าน่าจะไม่เลวทีเดียว”
สวีชิงป๋อเลิกคิ้ว “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าองค์หญิงอันซีมีใจให้พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านว่าอย่างไร”
สวีชิงเจ๋อวางถ้วยชาลงก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้ พี่ใหญ่เห็นองค์หญิงอันซีเป็นเพียงมิตรสหายเท่านั้น”
สวีชิงเหยียนหลบอยู่หลังสวีชิงป๋อ พร้อมหันมาแยกเขี้ยวให้พี่รองก่อนพึมพำเสียงเบาว่า “ช่างไม่รู้จักความรักเอาเสียเลย ไม่รู้พี่ฉินทนท่านได้อย่างไร”
สวีชิงป๋อหันมาถามเยี่ยหลีด้วยความสงสัย “หลีเอ๋อร์หลอกองค์หญิงอันซีว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของพี่ใหญ่หรือ พี่ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของสวีชิงป๋อก็เป็นประกายขึ้นทันที หันจ้องเยี่ยหลีเขม็ง
เยี่ยหลีกัดฟันด้วยความเจ็บใจ นางควรรู้แต่แรกว่าตนถูกพี่ใหญ่หลอก เขาไม่ได้เขียนจดหมายมาบอกท่านลุงเรื่องของพวกนางแต่แรกแล้ว แต่เป็นนางเองที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางเหลือบมองท่านลุงรองด้วยความระมัดระวัง เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่มิได้พูดอันใด อีกทั้ง…พี่ใหญ่ยังใช้ข้าเป็นไม้กันหมาอีกด้วยเจ้าค่ะ”
สวีหงเยี่ยนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยปากสั่งว่า “ฐานะเจ้าไม่เหมือนกัน สืบเรื่องของพี่ใหญ่เจ้าถือเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องชื่อเสียงระมัดระวังหน่อยก็แล้วกัน”
“หลีเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” สวีหงเยี่ยนมิได้ต่อว่าเรื่องนี้ ทำให้เยี่ยหลีเบาใจไปมาก จึงหัวเราะเสียงใสขึ้นมาว่า “ใช่สิ ข้ายังมิได้แสดงความยินดีกับพี่รองเลย พี่สี่กับน้องห้าสอบติดอันดับมีชื่ออยู่ในประกาศด้วยนี่เจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนส่ายหน้า หันไปถลึงตาใส่สวีชิงเหยียนอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงแม้ปีนี้ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ผลิมา จะเกิดเรื่องขึ้นมิได้หยุด แต่การสอบเคอจวี่ที่จัดขึ้นทุกๆ สามปียังคงจัดขึ้นตามปกติ เดิมทีก็มิได้มีอันใด เพราะถึงอย่างไรคงไม่มีผู้ใดคิดว่าบุตรหลานของตระกูลสวีจะสอบตกได้ เพียงแต่การที่คุณชายตระกูลสวีทั้งสามคนสอบติดอันดับนั้นก็เป็นที่น่าสะดุดตาจนเกินไป
สวีชิงเหยียนเบ้ปากด้วยความน้อยใจ “ข้าก็เพียงเขียนๆ ไปอย่างนั้นเอง ผู้ใดจะรู้ว่าหัวข้อการสอบปีนี้จะง่าย…” เมื่อถูกสายตาทุกคู่ภายในห้องจับจ้อง ในที่สุดสวีชิงเหยียนจึงแก้ตัวต่อไปไม่ออก ได้ใต้ก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ เขาจะบอกทุกคนได้อย่างไรว่าเขาถูกคุณชายตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งเอ่ยวาจาดูถูก ด้วยความไม่พอใจจึงทำเขียนตอบไปจนสุดความสามารถ
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดังนั้นครานี้…พี่รองจึงสอบได้เป็นทั่นฮวา [i]น้องห้าได้ที่สี่ ส่วนพี่สี่ได้ที่สิบเก้าอย่างนั้นหรือ”
สวีหงเหยียนเหลือบมองสวีชิงป๋อ ก่อนก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมด้วยความรู้สึกผิด เขาย่อมรู้ดีว่าความรู้ความสมารถของพี่สี่มีมากกว่าเขา พี่รองเองก็สามารถทำคะแนนทิ้งห่างคนที่ได้เป็นจ้วงหยวนและป๋างเหยี่ยน[ii] ไปได้หลายโยชน์ เพียงแต่ออมมือไว้ไม่อยากแสดงความสามารถที่แท้จริงออกไปเท่านั้น ส่วนตนเองนั้นทุ่มเทสุดฝีมือถึงได้ได้ที่สี่มาครอบครอง
เมื่อเห็นท่าทางเสียใจของสวีหงเหยี่ยน เยี่ยหลีจึงช่วยพูดว่า “ท่านลุงรอง เรื่องนี้ไม่มีอันใดหรอกเจ้าค่ะ หากน้องห้าสอบไม่ติดจริงๆ เกรงว่าจะยิ่งทำให้คนนึกสงสัยนะเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “เดิมทีปีนี้เขาไม่ควรที่จะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ครั้งนี้ด้วยซ้ำ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวีหงเยี่ยนก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี ชิงเหยียนเพิ่งอายุได้สิบสี่ปี ส่วนชิงป๋อก็อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เมื่อเกิดเป็นชาย ซ้ำยังเป็นบุตรชายของตระกูลสวี มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากสร้างผลงานให้ใต้หล้าได้ประจักษ์ บุตรชายสี่ห้าคนของตระกูลสวีนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่สุขุมนุ่มลึกอย่างสวีชิงเจ๋อ หรือคนที่กระโดกกระเดกอย่างสวีชิงเหยียน หากมิได้เกิดในตระกูลสวี ย่อมสามารถสอบเป็นจ้วงหยวนได้อย่างสบายๆ อนาคตในภายภาคหน้าคงสดใสจนยากจะคาดเดา แต่ในเมื่อเกิดเป็นคนตระกูลสวี จึงได้แต่กักเก็บความทะเยอทะยานของตนไว้ เป็นสุขอยู่กับชื่อเสียงลอยๆ ของตระกูลสวี แต่มิอาจทำสิ่งใดได้ ที่พวกเขาต้องเป็นเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะเกิดในตระกูลสวี น่าเสียดายที่ฝ่าบาทไม่ต้องการให้พวกเขามีความทะเยอทะยาน ราชสำนักเพียงต้องการให้เขาอยู่ในกรมผู้ตรวจการ ที่ดูยิ่งใหญ่แต่จริงๆ ไร้ซึ่งอำนาจโดยสิ้นเชิงนี้ เพื่อแสดงให้ทุกคนในใต้หล้าเห็นถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์เท่านั้น
“ในเมื่อพี่รอง พี่สี่และน้องห้าต่างมีชื่อติดอันดับ พวกท่านจะอยู่รับตำแหน่งที่เมืองหลวงหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
สวีชิงเจ๋อและกับสวีชิงป๋อยังพอว่า เพราะสวีชิงเจ๋ออายุยี่สิบปีแล้ว ทั้งยังเป็นคนสุขุม สวีชิงป๋อถึงแม้จะอายุน้อยไปสักหน่อย แต่เป็นคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่สุด แต่สำหรับสวีชิงเหยียนนั้น เรื่องอายุน้อยยังไม่เท่าไร แต่นิสัยยังกระโดกกระเดก เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่
สวีหงเยี่ยนส่ายหน้า “พี่รองพี่สี่ของเจ้าจะอยู่ที่เมืองหลวงนี่ ข้าได้ถวายฎีกาถึงฝ่าบาทแล้ว ชิงเหยียนอายุยังน้อย อีกทั้งบิดาของเขาอายุมากแล้ว จึงจำต้องกลับไปอวิ๋นโจวเพื่อดูแลผู้เป็นบิดา
“ฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ” เกรงว่าสำหรับม่อจิ่งฉีแล้ว การทิ้งสวีชิงเหยียนไว้ที่นี่คงดีกว่าทิ้งสวีชิงป๋อไว้ที่นี่มากนัก
สวีหงเยี่ยนยิ้มน้อยๆ “เจ้าห้าเป็นน้องคนเล็กของตระกูลสวี ควรให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นอย่างแรก ฝ่าบาทคงจะไม่รับปากไม่ได้”
ในเมื่อท่านลุงรองคิดไว้อย่างถี่ถ้วนแล้ว เยี่ยหลีจึงมิได้สอบถามให้มากความอีก เปลี่ยนไปนึกกังวลเรื่องตำแหน่งของสวีชิงเจ๋อและสวีชิงป๋อแทน สวีชิงเจ๋อที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวา ถูกส่งไปทำหน้าที่เป็นเปียนซิว[iii]ของสำนักศึกษาฮั่นหลิน ส่วนสวีชิงป๋อที่ได้เป็นจิ้นซื่อ ได้เข้ากรมพิธีการเพื่อรอตำแหน่งว่าง ทั้งสองตำแหน่งล้วนเป็นตำแหน่งที่สบายๆ และมิได้มีอำนาจอันใด เมื่อเทียบกับจ้วงหยวน ป๋างเหยี่ยน และจิ้นซื่อในการสอบครั้งเดียวกันแล้ว ขั้นของพวกเขาสูงกว่าทุกคน แต่ก็มีอำนาจน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสวีชิงป๋อ การได้รับเบี้ยหวัดเพื่อรอให้ตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการว่างลงนั้นเป็นเพียงตำแหน่งหลอกๆ เท่านั้น ฟ้าดินเลยจะรู้ว่าปีใดเขาถึงจะได้ขึ้นมารับตำแหน่งนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ นิสัยของสวีชิงเจ๋อและสวีชิงป๋อ ต่างไม่เหมาะกับตำแหน่งที่พวกเขาได้รับ สลับกันยังอาจจะพอว่า “เช่นนั้นอย่างไรพี่รองก็ต้องรั้งอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนพี่สี่หากเป็นไปได้ ได้ไปอยู่ต่างเมืองจะดีที่สุดนะเจ้าคะ”
สวีชิงป๋อถึงจะดูอายุยังน้อย แต่กลับมีนิสัยอ่อนโยน มีความคิดความอ่านลึกซึ้ง เหมาะกับการรับราชการ เป็นราชสีห์ในคราบหมูอย่างแท้จริง หากมิใช่ด้วยเพราะมีความเกี่ยวพันกันตระกูลสวี ต่อให้เกิดในตระกูลธรรมดาทั่วไป เกรงว่าอายุไม่เกินสามสิบห้าสาบสิบหกปี คงได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางใหญ่ อันที่จริง สวีชิงป๋อต่างหากที่เป็นคนตระกูลสวีที่เหมาะจะเป็นขุนนางมากที่สุด
สวีหงเยี่ยนส่ายหน้า “ฝ่าบาทมีหรือจะวางพระทัยให้เขาไปอยู่ต่างเมือง”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว “ไม่แน่นะเจ้าคะ พี่สี่อายุยังน้อย บางทีฝ่าบาทอาจวางพระทัยกว่าก็เป็นได้ เพียงแต่…เกรงว่าคงจะลำบากพี่สี่สักหน่อย”
สวีชิงป๋อเพียงยิ้มเรียบๆ “ที่ที่ฝ่าบาทจะทรงยินยอมให้พวกเราไปคงหนีไม่พ้นสถานที่ทุรกันดานเหล่านั้น เพียงแต่อย่างไรคงดีกว่าต้องอยู่ในเมืองหลวงเฉยๆ ซ้ำยังต้องถูกจับตามองอีกกระมัง”
สวีหงเยี่ยนหันมองสวีชิงป๋อ เข้าใจว่าข้อคิดเห็นที่ตนให้เยี่ยหลีไปคงได้ผลจริงๆ ก็ถูก หากให้เขาเลือก เขายินดีให้ส่งเขาไปอยู่ต่างถิ่น ต่อให้เป็นขุนนางเล็กๆ ของเมือง ก็ดีกว่าต้องอยู่ในเมืองหลวงโดยไม่มีอันใดให้ทำซ้ำยังต้องทนฟังขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหลายพูดเรื่องไร้สาระกันมากนัก
เขานิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดสวีหงเยี่ยนก็พยักหน้า “เอาเถิด ยามนี้ฝ่าบาททรงยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่น พระองค์น่าจะยินยอมถอยให้ในก้าวนี้”
สวีชิงป๋อพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณท่านอารองขอรับ” สวีหงเยี่ยนโบกมือเป็นการบอกว่าเขาไม่ต้องพูดมาก
เยี่ยหลีอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมเดินทางกลับจวน ก่อนกลับสวีหงเยี่ยนได้เอ่ยสั่งการนางเสียงขรึมว่า “หลีเอ๋อร์ ต่อไปต้องระวังคนในวังไว้ให้มากนะ”
เยี่ยหลีอึ้งไป หันมองท่านลุงด้วยความตกใจ สวีหงเยี่ยนเพียงโบกมือแต่มิได้พูดอันใดอีก เยี่ยหลีจึงได้แต่คารวะอำลาท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ก่อนเดินทางกลับตำหนัก
[i] ทั่นฮวา หมายถึง คนที่ลับดับที่สามในการสอบเคอจวี่
[ii] ป๋างเหยี่ยน หมายถึง คนที่ได้ลำดับที่สองในการสอบเคอจวี
[iii] เปียนซิว ตำแหน่งเทียบเท่าบรรณาธิการในปัจจุบัน