ตอนที่ 99-3 ปรึกษาหารือกับตระกุลสวี

ชายาเคียงหทัย

เมื่อกลับถึงตำหนัก ก็มีจดหมายคารวะและจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงจากตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวง วางรอให้นางสะสางอยู่ถึงสองกองใหญ่ เยี่ยหลีพลิกดูเล็กน้อย ก่อนเลือกฉบับที่สำคัญขึ้นมาเขียนตอบ

 

 

นางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาหน่อยๆ บางทีนางอาจจำเป็นต้องมีผู้ช่วยคนหนึ่งที่คอยจัดการเรื่องเหล่านี้ สาวใช้ข้างกายนางตอนนี้ล้วนไม่เหมาะ ชิงสยาและชิงซวงก็ไม่ค่อยเป็นงานนัก ส่วนชิงหลวนกับชิงอวี้ ถึงแม้จะต่างเก่งกันคนละด้าน แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เอาเสียเลย หานหมิงซีถือเป็นตัวเลือกทีดี เพียงแต่เขาโดดเด่นและเป็นที่สะดุดตาเกินไป

 

 

เมื่อคิดถึงคนที่ตนสามารถใช้การได้จนครบทุกคนแล้ว ในที่สุดเยี่ยหลีจึงได้เรียกให้องครักษ์สองและสามเข้ามาพบ พร้อมโยนจดหมายกองใหญ่ให้พวกเขาจัดการ องครักษ์ลับสามถึงกับหน้าเสีย แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาเป็นเพียงองครักษ์ติดตามที่ไม่ต้องทำอันใดเลย เพียงลอบติดตามนายของตนอย่างลับๆ ต่อด้วยเป็นองครักษ์ข้างกายคุณชาย จากนั้นก็เป็นองครักษ์ข้างกายคุณหนูใหญ่ที่มีความสามารถรอบด้าน ต่อด้วยองครักษ์ข้างกายพระชายาติ้งอ๋องที่ความสามารถรอบด้าน จากนั้นก็กลายมาเป็นบ่าวที่ดูแลบัญชีของตำหนักติ้งอ๋อง รวมถึงคอยจัดการเรื่องอื่นๆ ทุกเรื่องอีกด้วย ซึ่งพวกเขามีอำนาจมากจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมาตะหงิดๆ จนนึกอยากร้องไห้ “พระชายา…พวกนี้ข้าน้อยอ่านไม่เข้าใจ….”

 

 

“ศึกษาดู” เยี่ยหลีขยับพู่กันเขียนลงบนกระดาษในมืออย่างรวดเร็วประหนึ่งลม ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

 

องครักษ์ลับสามสีหน้าหนักใจ “พระชายา พวกเราเป็นองครักษ์ลับนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบสายตาขึ้นมองเขาเรียบๆ “ข้าไม่ต้องการองครักษ์ลับ ต่อไปฉินเฟิงจะเป็นผู้ติดตามข้า”

 

 

“เขาเป็นหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามบ่นขึ้นอย่างไม่ยินดีนัก ต่อให้พระชายาต้องการคนช่วยสะสางเรื่องบัญชี ก็ควรเรียกใช้หัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือซุนหมัวมัวถึงจะถูก มิเช่นนั้นก็ให้ฉินเฟิงมาจัดการ เหตุใดถึงต้องให้เขาทำเรื่องที่ควรเป็นผู้หญิงมาจัดการเช่นนี้ด้วย หนำซ้ำยังให้ฉินเฟิงมาแย่งตำแหน่งของเขาไปอีก

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ก็เพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี่ล่ะ เวลาที่เขาช่วยงานข้าจะได้รับตำแหน่งองครักษ์ไปด้วยเลย พวกเจ้า…ก็สามารถควบตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของข้าได้ด้วย”

 

 

           “ผู้ช่วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามสีหน้ามึนงง องครักษ์ลับสองสีหน้าแข็งทื่อไป ผู้ช่วยนี่คืออันใดกัน ฟังดูไม่ขลังเท่าองครักษ์ลับเอาเสียเลย

 

 

           เยี่ยหลีมองลูกน้องสองคนที่ตนใช้จนคล่องมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก็คือคนที่ช่วยข้าจัดการทุกเรื่อง”

 

 

           “ทุกเรื่องหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           “ถูกต้อง ทุกเรื่องที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วย” องครักษ์ลับสองและสามฉลาดพอ ทั้งยังมีความจงรักภักดี ผีมือก็ใช้ได้ องครักษ์ลับสองเป็นคนสุขม องครักษ์ลับสามกระฉับกระเฉง ติดตามข้างกายนางมานานจึงไม่มีอาการเกร็งเช่นคนอื่น เป็นคนที่เกิดมาเหมาะจะเป็นผู้ช่วยอย่างแท้จริง

 

 

เมื่อคิดว่าตนจะสามารถปลดปล่อยตนเองออกจากเรื่องวุ่นวายเช่นนี้และสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้แล้ว ในใจเยี่ยหลีจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ไปหาอาม่อดูก่อน ภายในครึ่งเดือนเรียนรู้เรื่องที่ควรรู้มาเสีย มิเช่นนั้น…สามเดือนต่อจากนี้ ยอดเขาเฮยอวิ๋นจะเป็นที่ไปของพวกเจ้า ช่วฝนี้ข้ากำลังคิดอันใดใหม่ๆ ขึ้นมาได้พอดี”

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มใจดีของผู้เป็นนาย และนึกถึงเมื่อปีที่แล้วที่พวกเขาต้องไปหัวหกก้นขวิดกันอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ทั้งสองคนก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ รีบหมุนตัวเดินจากไปทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งไปด้วยความรวดเร็วของลูกน้องทั้งสองแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมส่ายหน้า

 

 

           “พระชายา คุณชายอวิ๋นถิงกับคุณชายฉินเฟิงขอเข้าเฝ้าเพคะ” ชิงหลวนเดินเข้ามารายงาน

 

 

           “ให้พวกเขาเข้ามา” บ้านของอวิ๋นถิงเองอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หลังจากเดินทางออกจากหย่งโจวแล้ว พวกเขาจึงแยกกันเดินทาง พวกเขาไปทางตะวันตกเพื่อไปยังกว่างหลิง ส่วนอวิ๋นถิงเดินทางขึ้นเหนือเพื่อกลับบ้าน ยามนี้เมื่อเขามาที่ตำหนักติ้งอ๋องพร้อมกับฉินเฟิง เยี่ยหลีจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

 

 

ไม่นาน ทั้งสองก็เดินคู่กันเข้ามาในห้องหนังสือ “ข้าน้อยอวิ๋นถิง ฉินเฟิง คารวะพระชายา”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ตามสบาย อวิ๋นถิงที่บ้านเจ้าเรียบร้อยดีแล้วหรือ”

 

 

อวิ๋นถิงแย้มยิ้มอย่างสดใส “ขอบพระทัยพระชายาที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนหันมองไปทางฉินเฟิง

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยรายงานด้วยความเคารพว่า “เรื่องที่พระชายาสั่งไว้ ข้าน้อยเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ รอเพียงให้พระชายาตรวจสอบดูเท่านั้น”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองสมุดบัญชีที่เหลืออยู่ไม่มากนัก แล้วจึงพยักหน้า “ยังมีเวลา พวกเราไปกันตอนนี้เลยก็แล้วกัน อวิ๋นถิง อีกเดี๋ยวจะมีคนมาพาเจ้าไปเข้าค่ายทหาร และท่านอ๋องได้แนะนำตำราพิชัยไว้ให้เจ้า เจ้าอ่านให้จบภายในสามเดือน หลังจากสามเดือนหากเจ้าสอบผ่านก็จะได้เป็นทหารประจำกองทัพตระกูลม่ออย่างเป็นทางการ เข้าใจหรือไม่”

 

 

           อวิ๋นถิงตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงใสว่า “อวิ๋นถิงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ ข้ารับประกันว่าจะอ่านให้จบภายในสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พยักหน้าด้วยความพอใจ ด้วยเพราะอวิ๋นถิงมัวแต่ตื่นเต้นยินดีกับการที่ได้รู้ว่าตนจะได้เข้าไปอยู่ในกองทัพตระกูลม่อ ทำให้เขาลืมถามไปว่า มีหนังสือกี่เล่มกันแน่ที่เขาจะต้องอ่าน รวมถึงช่วงเวลาสามเดือนในค่ายทหารเขาจะต้องทำสิ่งใดบ้าง ดังนั้นจึงทำให้ชีวิตของเขาสามเดือนต่อจากนี้ต้องเหนื่อยยากจนแทบอยากยอมตายเสียยังดีกว่า

 

 

           เมื่อเยี่ยหลีเปลี่ยนมาอยู่ในชุดอย่างชายหนุ่มแล้ว จึงพาฉินเฟิงออกจากตำหนักไปด้วยความคาดหวัง ระหว่างทางยังได้พบกับองครักษ์ลับสามที่กำลังเดินกลับมาจากหัวหน้าพ่อบ้านม่อพร้อมสมุดบัญชีเก่าๆ กองใหญ่ พร้อมส่งสายตาต่อว่าต่อขานไปยังฉินเฟิง ทำให้หัวหน้าองครักษ์ลับที่เพิ่งมาติดตามเยี่ยหลีใหม่ รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาด้วยความไม่เคยชิน

 

 

           ทั้งสองเดินทางออกนอกเมืองหลวง ฉินเฟิงมองชายหนุ่มหน้าตาดี ท่วงท่างามสง่าที่ขาดเพียงความสูงเล็กน้อยเท่านั้นด้วยความเลื่อมใส เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดพอพระชายาออกจากเมืองหลวงไป ถึงมิมีผู้ใดพบเห็นอีก แม้แต่องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องเองก็ยังหาร่องรอยของพระชายาไม่พบ ฝีมือการปลอมตัวเช่นนี้ ล้ำเลิศกว่าเจียงหูที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจด้านการปลอมตัวเสียอีก หากเขามิได้เห็นกับตา ต่อให้พระชายามายืนต่อหน้าเขา เกรงว่าเขาคงปล่อยผ่านไปด้วยคิดว่าเป็นเพียงคนที่เคยเห็นหน้าเท่านั้น

 

 

           เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาประหลาดของฉินเฟิง เยี่ยหลีจึงยิ้มออกมา “ไม่ต้องตกใจไป เพียงปลอมตัวเล็กน้อยเท่านั้น”

 

 

           ฉินเฟิงส่ายหน้า “ฝีมือการปลอมตัวของพระชายานี้ มิใช่ผู้ใดก็สามารถทำได้พ่ะย่ะค่ะ” ที่ว่าง่ายนั้น มิใช่เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ก็ได้แล้ว นักสะกดรอยตามฝีมือดี เวลาสังเกตคนนั้น ไม่เพียงมองหน้าหรือเครื่องแต่งกายที่สวมใส่อยู่เท่านั้น แต่ยังต้องสังเกตลักษณะท่าทางที่เคยชินของคนผู้นั้นด้วย รูปร่าง แผ่นหลังอันใดเหล่านี้สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย เพียงแต่เมื่อครู่ที่เขาเดินตามพระชายามานี้ ดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นความเหมือนในท่วงท่าของพระชายาเวลาแต่งกายเป็นชายและแต่งกายเป็นหญิงเลยแม้แต่น้อย พระชายาขณะที่แต่งกายเป็นชาย ท่วงท่า สีหน้า รวมถึงแววตานั้น ไม่มีเหมือนสตรีเอาเสียเลย ดูอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เพิ่งอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น

 

 

ฉินเฟิงไม่เข้าใจว่า พระชายาที่เกิดในตระกูลใหญ่ เหตุใดถึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ในเมื่อท่านอ๋องไว้วางพระทัยในตัวพระชายา และยามอยู่ที่เมืองหย่งหลินเขาเองก็ได้เห็นความสามารถของพระชายากับตาตนเองมาแล้ว ดังนั้นเขาย่อมยินดีปฏิบัติตามพระบัญชาของพระชายา

 

 

           ฉินเฟิงควบม้าเร็วตามเยี่ยหลีมายังตีนเขาเฮยอวิ๋นฉี คราก่อนเขาเคยมาสถานที่แห่งนี้กับท่านอ๋อง ตอนกลางภูเขาเดิมทีเคยเป็นรังโจร มาตอนนี้ได้ใช้ฐานนั้นในการสร้างเรือนเล็กๆ ขึ้นมาหลังหนึ่ง ช่วงตีนเขามีชาวบ้านกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานในไร่นา ดูเหมือนเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาทั่วไปที่อยู่นอกเมืองหลวงเท่านั้น

 

 

           ทั้งสองคนควบม้าขึ้นภูเขาก่อนอ้อมรังโจรที่อยู่ตอนกลางภูเขาไปยังหุบเขาอีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงยื่นหน้าไปมองสำรวจดูเห็นว่าไม่ลึกมากนัก “พระชายา จะลงไปไหมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองเขา “ได้ยินว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของพวกเจ้าต่างมีวิทยายุทธกันพอตัว หากไม่กลัวตายจะลองกระโดดลงไปก็ย่อมได้”

 

 

           ฉินเฟิงขมวดคิ้วจ้องมองหุบเขาเบื้องล่างด้วยความสงสัย ด้วยวิทยายุทธของเขา หากกระโดดลงไปจากตรงนี้ ถึงแม้จะไม่ง่ายนักแต่ก็คงไม่อันตรายถึงชีวิต นอกเสียจากที่ด้านล่างจะมีค่ายกลหรือกับดังวางอยู่

 

 

เมื่อได้ยินคำขู่ของเยี่ยหลี ฉินเฟิงจึงมิได้เสี่ยงใช้วิชาตัวเบากระโดดลงไปทันที แต่ใช้การไต่หน้าผาค่อยๆ ไต่ลงไปตามขอบภูเขานั้น เพียงแต่จุดที่สามารถวางพักขาได้บนภูเขาดูเหมือนจะถูกทำให้ราบเรียบไปหมดแล้ว โชคดีที่เขาพกกริชเล่มหนึ่งติดตัวมาด้วย เมื่อปักเข้าไปในหินแล้วจึงไม่ถึงกับจะไถลลื่นลงไปทันทีหากไม่ระวัง ในที่สุดเขาก็เจอจุดที่ยื่นออกมาจากหิน แต่ยังไม่ทันได้วางเท้าลงไป ก็พบว่าจุดที่ดูเหมือนเป็นหินยื่นออกมานั้น มีประกายเย็นเยียบของหัวลูกธนูโผล่ออกมา ฉินเฟิงไม่นึกสงสัยเลยว่า เพียงแค่เขาสัมผัสมันเพียงเบาๆ ตัวเขาคงถูกยิงจนพรุนอย่างแน่นอน

 

 

           เขาจึงได้แต่ใช้กริชในมือค่อยๆ หลบหลีกจุดอันตรายแต่ละจุดลงไปยังหุบเขาด้วยความระมัดระวัง ใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นทะเลสาบที่น้ำใสสะอาด บนผิวน้ำมีใบบัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ ทั้งยังมีดอกบัวเพิ่งขึ้นใหม่ซึ่งยังไม่บานลอยอยู่ด้วย เพียงแต่ประกายระยิบระยับที่อยู่บนผิวน้ำนั้น คงกำลังนึกหัวเราะเยาะเขาอยู่ ฉินเฟิงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามทะเลสาบนั้นไปโดยมิกล้าให้เท้าตนเองสัมผัสผิวน้ำเลยจนนิดเดียว

 

 

           “ไปทางซ้ายอีกสามก้าว”

 

 

           น้ำเสียงเจือแววขบขันของเยี่ยหลีดังขึ้นห่างไปไม่ไกลนัก ฉินเฟิงที่กำลังจะกระโดดลงที่พื้นรีบเคลื่อนตัวห่างออกไปทางซ้ายอีกสามก้าวทันที หันกลับมามองก็เห็นพระชายาที่ดูท่าว่าคงยืนรออยู่นานแล้ว

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาโยนไปยังจุดที่เขาจะกระโดดลงมาในตอนแรก สวบๆ…! มีลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง ฉินเฟิงนิ่งมองจุดที่ตนจะกระโดดลงเมื่อครู่ ที่ตอนนี้มีลูกธนูปักอยู่เต็มไปหมด แล้วอดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกออกมาด้วยความตกใจ