บทที่ 182

ถังหยินอยากที่จะปฏิเสธ เผื่อว่าชายชราคนนี้จะสร้างปัญหาจนเป็นเรื่องแก่พวกเขาทั้งสอง ทำให้อู่เหมยต้องเสี่ยงตกอยู่ในอันตรายแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ก่อนที่เขาจะทันปฏิเสธ อู่เหมยก็ยิ้มหวานแล้วชิงพูดซะก่อน “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสอย่างยิ่ง !” ระหว่างที่พูด นางก็ดึงตัวถังหยินให้ตามไปด้วย

ชายชราเป็นเพียงพลเมืองธรรมดาของเมืองหลวง ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวย เครื่องเรือนทั้งหมดก็ดูทรุดโทรม หลังจากปล่อยให้ถังหยินและอู่เหมยเข้าไปในบ้านของเขา ชายชราก็พลันปิดประตูทันทีและถามอย่างกังวล “แล้วงานสำเร็จหรือไม่ ?”

ถังหยินระแวงไปตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เขาจะไม่มีทางลดความระแวดระวังลงอย่างเด็ดขาด มือที่เปลี่ยนเป็นใบมีดไม่ได้กลับสู่สภาพเดิม เขาซ่อนมันไว้ที่ด้านหลังเช่นเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าอีกฝ่ายแล้ว

เขาส่ายหัวแล้วสารภาพออกไปอย่าง่าย ๆ “ข้าทำพลาด อีกแต่ก้าวเดียวแท้ ๆ!”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชายชราก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาถอนหายใจยาวแล้วส่ายหัว “ดูท่าช่วงเวลาที่ซ่งเทียนจะได้ชดใช้คงยังมาไม่ถึง”

อันที่จริงชายชราไม่ใช่คนเดียวที่หวังให้ซ่งเทียนตายไปเสียที โดยพื้นฐานแล้วผู้คนในแคว้นเฟิงต่างก็เกลียดชังซ่งเทียนกันทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดออกมา ทำได้เพียงแค่ฝากความหวังไว้กับสวรรค์และรอการลงโทษอย่างเงียบ ๆ

ชายชราพูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าทั้งสองคงจะหิวมาก ข้ายังพอมีอาหารอยู่บ้างนะ….” โดยไม่รอคำตอบของถังหยินและอู่เหมย เขาก็รีบเดินไปที่ห้องครัวและหยิบซาลาเปาออกมา

เมื่อเห็นเช่นนั้นอู่เหมยก็ใจอ่อนและพูดกับถังหยินเบา ๆ “ดูสิ ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ต่างก็ต่อต้านจงเทียน” หลังจากพูดอย่างนั้นนางก็ยิ้มให้ชายชราและกล่าวว่า “ขอบคุณมากท่านผู้เฒ่า !” หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ยื่นมือไปรับซาลาเปา

ถังหยินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าอู่เหมยขาดระมัดระวังตัวมากเกินไป หรือนางไม่เข้าใจอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกัน ถึงได้กล้าที่จะรับของกินจากคนแปลกหน้า ? ชายหนุ่มรีบคว้าข้อมือของอู่เหมยที่กำลังจะหยิบซาลาเปา ก่อนจะส่ายหัวและพูดเบา ๆ “เขาคงจะมีไม่เยอะหรอก ให้เขาเก็บไว้กินเถอะ !”

อู่เหมยสะดุ้ง นางมองไปที่ซาลาเปาจากนั้นมองไปที่ถังหยินที่ยิ้มให้ ก่อนที่หญิงสาวจะเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากทว่าอู่เหมยกลับรู้สึกว่าถังหยินระแวงมากไปเอง

ในจังหวะเดียวกับที่นางกำลังจะแย้ง ก็พลันมีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอกซะก่อน

ทั้งสามที่อยู่ในบ้านต่างแตกตื่น หากแต่ชายชรากลับโบกมือให้ทั้งสองไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะพูด “ไม่เป็นไรหรอก ทานได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น !” แล้วก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ประตูนั้น พวกคนข้างนอกก็ได้พังประตูเข้ามาเสียก่อน ! เป็นพวกทหารหลายสิบคนที่บุกเข้ามา และเมื่อพวกเขาเห็นชายชรา คนหนึ่งในนั้นก็ได้ถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “หูหนวกหรือไง ! ทำไมไม่เปิดประตูให้พวกเรา ?”

ต่อหน้าคนพวกนั้น ชายชราก็เพียงแค่ตอบออกไปอย่างง่าย ๆ ว่า “ข้าก็ไม่ได้หนุ่ม ๆ แล้ว เชื่องช้าบ้างย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”

“หึ !” พวกทหารแค่นเสียงดัง ผลักชายชราให้พ้นทาง ก่อนจะพากันสำรวจไปรอบ ๆ และหันไปถามเจ้าของบ้าน “เจ้าทราบเรื่องหรือยัง พอจะเห็นพวกมือสังหารผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ ? ”

“ไม่”

“ไม่ ?” ทหารคนนั้นเลิกคิ้วในทันที “วุ่นวายกันขนาดนั้นยังจะไม่รู้อีกเหรอ นี่เจ้าไม่เห็นเลยงั้นหรือว่าพวกมันหลบหนีไปทางไหน ?”

“ข้าหลับอยู่ ไม่รู้เรื่องหรอก”

“ไอ้แก่เลอะเลือนนี่ !” ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ชอบใจในคำตอบนั้น ทำให้หัวหน้ากองสั่งการทหารที่อยู่ด้านไปว่า “ค้นให้ทั่ว !”

“รอก่อน !” ชายชรายื่นมือออกมาและขวางพวกทหารไว้ “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย มีเหตุผลอะไรที่พวกเจ้าจะมาค้นบ้านของข้า ? ตั้งแต่ที่ซ่งเทียนขึ้นเป็นใหญ่ พวกท่านก็ลืมหน้าที่ของพวกท่านแล้วอย่างนั้นเหรอ ? พวกท่านเป็นทหารนะ ไม่ใช่โจร !”

ไม่ต้องรอให้ชายชราพูดไปมากกว่านี้ ทหารนายหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธ “กล้าดียังไง !” ขณะที่พูด เขาก็ใช้ด้ามดาบฟาดที่ศีรษะของชายชรา จนอีกฝ่ายถอยหลังไปสองก้าว มีเลือดไหลออกมาจากหน้าผาก

เมื่อทหารผู้นั้นทำร้ายชายชราจนสลบแล้ว พวกเขาก็พากันเข้าไปสำรวจต่อ ทว่าห้องพวกนั้นกลับว่างเปล่าและไม่มีใคร หลังจากค้นหาอยู่อีกพักหนึ่ง พวกเขาก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

ไม่นานพวกทหารก็ออกไป ในจังหวะเดียวกันกับที่หน้าต่างบานใหญ่ด้านหลังเปิดออก เป็นถังหยินและอู่เหมยที่แอบเข้ามาจากหน้าต่างพร้อมกับซาลาเปาในมือ และหลังจากมั่นใจว่าทหารออกไปหมดแล้ว ถังหยินก็รีบกลับไปที่ลานเพื่อพาผู้อาวุโสที่หมดสติกลับไปที่ห้องของเขา

“ท่านผู้อาวุโสจะเป็นอะไรไหม ?” อู่เหมยถามด้วยความกังวลจากด้านข้าง

ถังหยินฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เขาจึงมีความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง เมื่อมองไปที่บาดแผลบนหน้าผากของชายชราและจับชีพจรของเขา ชายหนุ่มก็พูดว่า “แค่สลบไป ไม่น่าจะถึงชีวิตหรอก !”

“เฮ้อ !” อู่เหมยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นมองไปที่ถังหยินและถาม “คราวนี้ยังไงล่ะ ?”

ถังหยินหยิบเสื้อผ้าที่อู่เหม่ยเปลี่ยนใหม่ ก่อนจะฉีกออกมาใช้เป็นแถบพันศีรษะของชายชรา แล้วจึงถามหญิงสาวกลับไปด้วยความสับสนว่า “ที่พูดมาหมายความว่ายังไง ?”

“ปัญหาของเจ้าคือระวังจนเกินเหตุ ! เจ้าน่ะไม่ยอมที่จะเชื่อใจคนอื่นแม้ว่าเขาจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม ! คราวนี้เป็นยังไงล่ะ !? เห็นแล้วหรือยัง !? ” อู่เหมยพูดตัดพ้อด้วยความโกรธ

“เฮ้อ… !” ถังหยินยิ้มและยักไหล่ เขาไม่อยากที่จะโต้เถียงไปมากกว่านี้ จึงทำเพียงพูดตอบเสียงแผ่วเบา “สันดานมนุษย์น่ะ…ไม่ใช่อะไรที่จะไว้ใจได้ หัดระวังตัวไว้ซะบ้าง อายุจะได้ยืน ๆ”

เมื่อได้ยินคำนี้ อู่เหมยก็ทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น ด้วยถังหยินเป็นคนที่หัวแข็งมากกว่าที่นางคาดการณ์ไว้

ถังหยินมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเจ้าตัวเริ่มอายและอดถามไม่ได้ “เจ้ามองอะไรกัน ?”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขายืดตัวของเขาให้ตรง ก่อนถอดหมวกบนศีรษะของอู่เหมย และดึงปิ่นปักผมทองคำออกจากผมวางไว้ข้างชายชรา จากนั้นพูดช้า ๆ “ท่านผู้อาวุโสต้องมาบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือพวกเรา สิ่งนี้ถือว่าแทนคำขอบคุณ !”

มันยากที่จะเข้าใจการแสดงออกถึงความเมตตาเช่นนี้ หากแต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ดวงตาของอู่เหมยส่องประกาย ทั้งยังเผลอส่งยิ้มให้กับถังหยินอย่างไม่รู้ตัว

ทั้งสองคนไม่ได้อยู่บ้านชายชราต่อ และเมื่อได้ยินว่าสถานการณ์ข้างนอกเริ่มวุ่นวายน้อยลง พวกเขาก็พากันออกจากบ้านหลังนั้นไป

ในเวลานี้อู่เหมยได้เปลี่ยนเป็นชุดทหาร พร้อมทั้งกดหมวกเกราะของนางลงต่ำ ซึ่งถ้ามองจากภายนอก นางก็ไม่ต่างอะไรกับทหารหนุ่มที่เดินอยู่ทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

เนื่องจากพวกเขาปลอมตัว ทั้งสองคนจึงสามารถเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีทหารคนไหนสงสัยเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเดินตามถังหยินมาเป็นเวลานาน อู่เหมยก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ “ตอนนี้พวกเราต้องไปที่ไหน ?”

“ออกไปจากเมืองนี้ !” ถังหยินตอบเรียบ ๆ

อู่เหมยตกใจ ต้องการจะถามให้กระจ่าง “ป่านนี้ประตูเมืองน่าจะปิดไปแล้ว มันคงยากเกินไปที่จะออกไปข้างนอกเมือง !”

เมื่อได้ยินคำนั้น ถังหยินกลับเพียงแค่หันมายิ้มให้แล้วตอบแบบง่าย ๆ “ข้ามีทางให้ไปแล้วกัน”

ในที่สุดถังหยินและอู่เหมยก็มาถึงบ้านครอบครัวเยว่อย่างปลอดภัย และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ถังหยินก็พลันอุ้มอู่เหมยขึ้น ก่อนจะปีนข้ามกำแพงและเข้าไปในบ้านที่ปราศจากผู้คนในช่วงเวลานี้ นี่มันอะไร ? ทำไมถึงมาที่นี่ ? ”

“ที่แห่งนี้มีอุโมงค์ที่จะพาเราออกไปนอกเมืองได้” ถังหยินกล่าวพร้อมกับจับมือของนาง ก่อนจะยิ้มและเอ่ยสัมทับอีกว่า “ไม่ต้องห่วง ครอบครัวของเจ้าปลอดภัยแล้ว”

“โอ้ !” เมื่อได้ยินคำพูดของถังหยิน อู่เหมยก็สบายใจขึ้นมาก

พวกเขาสองคนพากันเข้าไปในตัวบ้าน และเมื่อพวกเขามาถึงห้องนอนของจีเจีย ชายหนุ่มก็พลันได้ยินใครบางคนพูดจากข้างในนั้น “ข้าว่าแล้วว่าพวกท่านจะต้องอยู่ที่นี่ !”

เสียงนั้นไม่เพียงแต่ทำให้อู่เหมยสั่นสะท้าน หากแต่ยังทำให้ร่างกายของถังหยินสั่นเทาด้วยเช่นกัน

การที่จู่ ๆ ก็มีใครบางคนโผล่เข้ามาในบ้านเช่นนี้โดยไม่รู้ตัวนับว่าอันตรายยิ่ง !

ถังหยินเอาตัวเองปกป้องอู่เหมยและมองเข้าไปในห้อง พร้อมทั้งชักกระบี่ออกมา ทำสีหน้าบึ้งตึง ทว่าใครบางคนในห้องนอนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหยวนยู่

“เจ้ายังไม่ออกจากเมืองไปอีก ? จะกลับมาทำไม ? ” ถังหยินถามในขณะที่เขาดึงอู่เหมยให้เดินเข้าไปใกล้ ๆ

“ข้าเห็นว่าร่างจริงของเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็เลยสบโอกาสมาช่วยเหลือ” ในขณะที่พูดเขาก็มองไปที่อู่เหมยซึ่งอยู่ข้าง ๆ ถังหยิน ซึ่งเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของนาง ดวงตาของหยวนยู่ก็พลันวาววับและคิดกับตัวเองว่านางช่างเป็นผู้หญิงที่งดงามยิ่ง เพราะเย้ายวนแบบนี้เหรอ ที่ทำให้ถังหยินเต็มใจจะเสี่ยงลอบเข้าวังหลวงเพื่อช่วยนาง ?

“ท่านหญิงอู่ ข้าคือฉางกวง หยวนยู่ เป็นองครักษ์ของชายที่อยู่ข้างท่าน !” หยวนยู่กล่าวพร้อมกับเข้าหาอู่เหมย ยื่นหน้าเข้าไปและหัวเราะเบา ๆ ให้นาง

ในห้องนอนที่ไม่มีแสงไฟเช่นนี้ มันก็ทำให้ใบหน้าขนาดใหญ่ของเขาดำทะมึน จนรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันขาวสองแถวดูสะดุดตายิ่ง ดูแล้วไม่น่าไว้ใจอย่างถึงที่สุด

ร่างกายที่บอบบางของอู่เหมยสั่นสะท้าน รีบถอยกลับไปด้านหลังถังหยิน หลังจากนั้นก็กลอกตาของนาง ก่อนยื่นมือไปผลักใบหน้าของหยวนยู่ให้ออกไปและกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “หยุดพูดอะไรไร้สาระเถอะ หนีกันก่อนดีกว่า !”

หยวนยู่ที่ได้ยินดังนั้นก็ยักไหล่ เดินไปที่เตียงแล้วเปิดทางเข้า โดยให้ถังหยินเดินนำ อู่เหมยตาม ส่วนตนก็ปิดท้าย

หลังจากผ่านอุโมงค์ยาว ทั้งสามคนก็ออกจากเมืองได้สำเร็จ และเมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก มันก็เผยให้เห็นผู้คนมากมาย ทั้งคนของตระกูลเหลียง ตระกูลอู่และ ตระกูลจี้หยาง ที่ต่างมารวมกันที่บ้านของจีเจียด้านนอกเมือง

เมื่อเห็นถังหยินช่วยอู่เหมยให้พ้นอันตรายมาได้ ผู้คนในตระกูลอู่ต่างก็โล่งอก โดยเฉพาะสมาชิกหญิงในตระกูล ที่ต่างเข้าช่วยปลอบขวัญและร้องไห้ขณะกอดนางเอาไว้แน่น ก่อนที่ในเวลานั้นร่างเงาของชายหนุ่มจะค่อย ๆ จางหายไป และกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำหนาแน่นกลับเข้าสู่ร่างของถังหยิน

แม้ว่าพวกคนในตระกูลอู่กำลังยินดีกับช่วงเวลานี้ หากแต่ถังหยินก็ไม่อาจให้เวลาพวกเขาพักหายใจได้นานนัก จึงร้องสั่งให้ทุกคนขึ้นรถม้า บอกให้รีบกลับไปที่มณฑลเทียนหยวนทันที

จริง ๆ แล้วตำแหน่งของชายหนุ่มไม่อาจที่จะเทียบได้กับผู้นำทั้ง 3 ตระกูลได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่ตอนนี้สถานการณ์มันแตกต่างกัน ทำให้ไม่มีใครใน 3 ตระกูลใหญ่กล้ามีข้อเรียกร้องใด ๆ เกี่ยวกับคำสั่ง พร้อมทั้งพากันปฏิบัติตามคำสั่งของถังหยินอย่างเคร่งครัด เข้าไปในรถม้าทีละคน เพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่มณฑลเทียนหยวน