ถังหยินอุ้มอู่เหมยขึ้นมาแล้วกระโดดลงไปจากกำแพงของวัง ในจังหวะเดียวกันกับที่กลุ่มทหารม้ามุ่งหน้าเข้ามา และเมื่อชายหนุ่มลงมายืนอยู่กับพื้น เขาก็ฉวยโอกาสบิดลำตัว ส่งลูกเตะออกไป

ลูกเตะที่ส่งออกมากระแทกเข้ากับหน้าอกของทหารบนหลังม้า ทำให้อีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนตกลงจากหลังม้า เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มขึ้นควบขี่บนหลังม้าแทน พร้อมทั้งพาอู่เหมยที่เขาแบกอยู่มาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเตะม้าที่ท้องอย่างแรง จนมันส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด แล้วพาทั้งสองตะบึงพาไปไกล

ทางด้านเฉิงจินที่กำลังตามถังหยินติด ๆ เขาก็ได้ใช้วิชาสลับเงามาปรากฏตัวที่ด้านหลังของหนึ่งในทหารม้าในชั่วพริบตา ก่อนจะเด็ดหัวทหารนายนั้นด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว แล้วคว้าบังเหียนควบไปทางที่ถังหยินมุ่งหน้าไป

เมื่อทั้งสองพยายามหลบหนีไปด้วยม้าที่แย่งชิงมา มันก็ทำให้พวกทหารที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงกันไปชั่วครู่ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้สติอย่างรวดเร็วแล้วกระตุ้นม้าไล่ล่าพวกคนที่หลบหนีในทันที

เฉิงจินหันกลับไปมองพวกคนที่กำลังไล่ตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมามองทางถังหยินแล้วพูดขึ้นว่า “นายท่าน ร่างเงาของข้าคงต้านมันเอาไว้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ข้าจะคอยสกัดพวกมันเอาไว้ให้นายท่านเอง รีบพาท่านหญิงอู่ออกไปจากเมืองให้เร็วที่สุดเถอะ !”

ถังหยินมองอีกฝ่ายคล้ายจะพูดอะไร หากแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยักหน้ารับคำ

เมื่อชายหนุ่มอนุญาตแล้ว เฉิงจินก็กระชับบังเหียนแน่น ค่อย ๆ ลดความเร็วลง แล้วจึงหันกลับมายืนคอยอยู่กลางถนน มือกำดาบในมือแน่นเพื่อเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

สำหรับถังหยินแล้ว ถึงจะได้เฉิงจินช่วยต้านทหารเอาไว้ก็ตาม แต่ทว่าในเมืองหยานนี้ก็ยังมีทหารรอที่จะจับพวกเขาอยู่อีกมากมาย

ซึ่งถ้าถังหยินมาคนเดียว เขาก็คงเลือกที่จะหนีไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาพาอู่เหมยมาด้วย ทำให้วิชาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเขาถูกจำกัดเอาไว้ ชายหนุ่มไม่สามารถใช้ได้แม้แต่วิชาสับเปลี่ยนเงา เขาจึงได้แต่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบเข้ากับซอยเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักและรีบพาม้าเข้าไปในนั้น

ด้านในของตรอกนั้นมืดสนิท หากแต่ถังหยินนั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด เขาจึงสามารถมองเห็นได้แม้ไม่มีแสงใด ดังนั้นตรอกมืด ๆ เช่นนี้มันก็ดูไม่ต่างอะไรกับตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อยในสายตาของเขา

หากแต่พวกเขายังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปด้านในนั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่รุนแรงและเสียงกระแทกกันของชุดเกราะดังออกมาจากด้านในเสียก่อน

เป็นไปได้ว่าจะเป็นกลุ่มของพวกทหารที่กำลังวิ่งมาทางนี้ ทำให้อู่เหมยจับเสื้อของถังหยินแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความกังวล

ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดสอง ใบหน้าของหญิงสาวดูจะซีดลงไปไม่น้อยเลย

เหมือนสัมผัสได้ถึงความกังวลจากหญิงสาว ถังหยินก็พลันปล่อยมือจากบังเหียนแล้วกระซิบที่ข้างหูของนาง “ตราบที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้”

เขาไม่ได้พูดอะไรยืดยาว ทั้งน้ำเสียงก็ยังฟังดูเรียบเฉย หากแต่มันกลับทำให้อู่เหมยสงบลงได้อย่างน่าประหลาด แม้ว่ารอบข้างของทั้งสองนั้นจะถูกแทนที่ด้วยทหารนับหมื่นที่ล้อมเอาไว้แล้วก็ตาม

ถังหยินกอดเอวบาง ๆ ของอู่เหมยเอาไว้แน่น แล้วพูดอย่างแผ่วเบา “เกาะข้าเอาไว้แน่น ๆ!” สิ้นประโยค เขาก็พลันกระโดดลงจากม้าศึกพร้อมกับฟาดไปที่บั้นท้ายของม้าอย่างแรง

ม้าศึกร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะฮ้อตะบึงออกไปอย่างดุเดือด เป็นจังหวะเดียวกับที่กองทหารเคลื่อนพลมาถึงที่โค้งด้านหน้าพวกเขาแล้วเช่นกัน

พวกทหารมีอยู่กันเกือบ ๆ ร้อยนาย แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โดนม้าศึกพุ่งเข้าใส่เสียก่อน

ด้วยตรอกนี้มันแคบยิ่ง จึงทำให้การเคลื่อนไหวของพวกทหารถูกจำกัด พวกเขาไม่มีทางที่จะหลบจากม้าที่กำลังควบเข้ามาได้เลย ได้แต่ถูกมันเบียดชน ส่งร่างล้มลงพร้อมกับหอกในมือที่กระจัดกระจายเต็มพื้น

และก่อนที่พวกเขาจะได้ทันตั้งขบวนกันใหม่ ถังหยินก็พลันพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้มือข้างหนึ่งจะต้องคอยรั้งตัวอู่เหมย หากแต่มืออีกข้างของเขาก็กำไว้ด้วยดาบวงพระจันทร์เล่มหนึ่งที่กำลังส่องประกายใต้แสงจันทร์สีเงิน และเมื่อใดก็ตามที่เขากวัดแกว่งมัน โลหิตก็จะกระจายออกมาเป็นสายพร้อมกับร่างทหารที่ไร้วิญญาณค่อย ๆ ทรุดลงทีละคน

“ธนู ! ยิงธนูออกไปซะ !”

ในสายตาของหัวหน้ากองทหาร ถังหยินดูราวกับอสูรกายกระหายเลือดที่กำลังบ้าคลั่ง ดังนั้นเขาจึงบัญชาเหล่าทหารโดยที่ไม่อาจข่มขาที่สั่นสะท้านด้วยความกลัวได้เลย

เมื่อมองเห็นพวกทหารที่กำลังถอยและเตรียมตัวที่จะยิงธนูเข้ามา หัวใจของถังหยินก็สั่นสะท้าน เขาไม่ได้กังวลตัวเขาเองเลย หากแต่เป็นอู่เหมยต่างหากที่น่าเป็นห่วง ยิ่งตรอกแคบ ๆ เช่นนี้ด้วยแล้ว มันก็คงเป็นเรื่องยากนักที่จะหาช่องว่างให้หลบซ่อน

หากทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้มีเวลาคิดมากมายนัก เขาจึงได้แต่กดอู่เหมยให้หมอบลง และก่อนที่ตัวนางจะทันรู้สึกตัว ร่างของถังหยินก็ได้หายไปแล้ว

ยังไม่ทันที่พวกทหารจะได้น้าวสายธนูด้วยซ้ำ ร่างของถังหยินก็พลันเข้าประชิดตัวพวกเขาเรียบร้อยแล้ว และแม้ว่าจะมองไม่เห็น หากแต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้บัดนี้ถังหยินกำลังยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหาร ในขณะที่มือทั้งสองชักดาบวงพระจันทร์ออกมาฟาดฟันใส่กลุ่มคนรอบ ๆ จนพื้นนั้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด

พวกทหารต่างแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น พากันทิ้งคันธนูและลูกศรวิ่งหนีตายกันอลหม่าน ทางด้านผู้บัญชาการก็พยายามออกคำสั่งให้กลับมา หากแต่หลังจากตะโกนได้แค่สองครั้ง มันก็ได้มีดวงตาสีเขียวจ้องมองเขากลับมาเป็นคำตอบ

สำหรับถังหยินแล้ว การที่จะสังหารทุก ๆ คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นอะไรเลย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาก็ยังคงเป็นคนของแคว้นเฟิง ดังนั้นถังหยินจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเมตตา ปล่อยให้พวกทหารบางส่วนวิ่งหนีไป ก่อนจะก้มมองเหล่าศพที่นอนเกลื่อนกลาด

พวกเขาทั้งหมดตายจากวิชาเพลิงผลาญวิญญาณ ดังนั้นถึงร่างกายจะยังคงอยู่ แต่ดวงวิญญาณนั้นก็ได้มอดไหม้ไปจนหมดแล้ว จนทำให้ดวงตาและผิวหนังซีดขาว ส่วนเลือดที่ไหลออกมาตามทวารทั้ง 7 ก็มีสีแดงอมดำผิดธรรมชาติ ราวกับว่าพวกเขาตายมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ถังหยินพบศพที่มีขนาดพอ ๆ กับอู่เหมย จึงได้ใช้เพลิงแห่งความมืดเผาทำลายซากที่เหลือพวกนั้น ก่อนจะเก็บเกราะที่กระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้นแล้วจึงเดินเข้ามาหาอู่เหมย และส่งเกราะให้หญิงสาวพลางสั่ง “ใส่ซะ !”

อู่เหมยไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากให้ทำ จึงได้แต่ตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น

ตั้งแต่ที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากพระราชวัง นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้มองถังหยินเต็ม ๆ ตา ทำให้นางรู้สึกว่าเขาดูจะแตกต่างไปจากที่เห็นก่อนหน้านี้นิดหน่อย

เมื่อถังหยินรู้สึกตัวว่าโดนมองด้วยสายตาสงสัยแบบชัดเจน เขาก็พลันยิ้มและถามออกไป “มีอะไร ? ที่หน้าข้ามีอะไรผิดปกติหรือไง”

อู่เหมยที่ได้ยินคำพูดติดตลกของถังหยิน ก็ดูจะใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงรับชุดเกราะมาจากมือของถังหยิน ทำให้ใบหน้าขาวราวกับหยกของหญิงสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ก่อนที่นางจะถามออกไปว่า “เรา เราจะไปที่ไหนดี”

ถังหยินกะพริบตามองไปรอบ ๆ แล้วรีบคว้ามือของหญิงสาว “มาทางนี้ !” ในระหว่างที่พูด เขาก็เดินไปที่กำแพงแล้วกระโดดขึ้นไป จนถึงด้านบนสุดนั่น ซึ่งเมื่อสำรวจด้านล่างของกำแพงอีกด้านแล้วพบว่าปลอดภัย เขาก็พาอู่เหมยกระโดดลงมาข้างล่างในทันที

พวกเขาอาศัยหลบอยู่ในเงามืดของกำแพง ก่อนที่ถังหยินจะพูดเสียงต่ำ “เปลี่ยนเสื้อซะ !” หลังจากนั้นก็เดินออกไปเฝ้าระวังบริเวณรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ

อู่เหมยมองร่างของถังหยินในขณะที่เขาเดินเฝ้าระวังไปรอบ ๆ ก่อนที่นางจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ก่อขึ้นในใจอย่างห้ามไม่อยู่ ซึ่งหญิงสาวก็ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกับมันได้เลย ทั้ง ๆ พวกผู้ชายคนอื่น ๆ ต่างปฏิบัติกับนางราวกับผึ้งที่ต้องการน้ำหวานจากดอกไม้ หากแต่ถังหยินกลับทำตรงกันข้าม แล้วแบบนั้นมันเพราะเหตุใดกัน…? อู่เหมยแอบคิดในใจอย่างเงียบ ๆ

หญิงสาวถอดชุดหรูหราทิ้งไปและเปลี่ยนเป็นชุดทหารธรรมดาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็หยิบหมวกเกราะและเสื้อเกราะขึ้นมาสวม ก่อนที่อู่เหมยจะร้องทักอีกฝ่ายเบา ๆ “ถังหยิน !”

ถังหยินที่เดินไปมาอย่างเชื่องช้ามุ่งหน้ากลับมาตามเสียงเรียกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถาม “มีอะไรหรือเปล่า ?”

อู่เหมยหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม และตอบไปว่า “เปล่า ๆ ข้าแค่ใส่ตรงข้างหลังไม่ถนัด เจ้าช่วยข้าทีสิ !” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังสลักที่อยู่ด้านหลังของเกราะ

นี่เป็นรอยยิ้มที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่คนที่เฉยชาอย่างถังหยินยังต้องตะลึงไปชั่วขณะด้วยความหวั่นไหว ก่อนจะได้สติและเดินไปที่ด้านหลังของอู่เหมย เพื่อเข้าจัดการกับชุดเกราะของนาง พร้อมทั้งฉวยโอกาสนั้นโอบรอบเอวเรียวของหญิงสาวเอาไว้

เขาไม่ได้ล่วงเกินหรือว่าพูดคำหวานโดยไม่จำเป็น ชายหนุ่มเพียงแค่กอดนางอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเสพรับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างกายของอีกฝ่าย

พวกเขาสองคนยืนอยู่ข้างกำแพงท่ามกลางความเงียบ มีเพียงแค่บรรยากาศแห่งความสุขของการพบกันใหม่ เวลาดูเหมือนจะหยุดลง แม้แต่เสียงตะโกนและเสียงร้องของผู้คนภายนอกก็หายไป “ข้า..คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ! ”

อู่เหมยก้มหัวลงแล้วพูดอย่างแผ่วเบา

“ข้าก็เหมือนกัน !” ถังหยินกระซิบที่ข้างหูของเธอ

“ข้าอยากที่จะไปพบเจ้าที่เขตปิงหยวนเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าไม่มีโอกาสแบบนั้นเลย” อู่เหมยหันหน้ากลับมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างไม่อาจที่จะปกปิดไว้ได้ ก่อนที่นางจะสัมผัสใบหน้าของถังหยิน ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นแค่ร่างเลียนแบบเท่านั้น หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นางก็แน่ใจยิ่งว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน !

ถังหยินกุมมือตอบหญิงสาว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”

“อย่าจากข้าไปอีกเลยได้ไหม ?” ดวงตากระจ่างใสของอู่เหมยมัวหมองในทันที ไม่สามารถที่จะข่มเสียงอันสั่นเทาได้อีก

ถังหยินรู้ดีว่าเขาไม่สามารถที่จะสัญญาณเช่นนี้กับนางได้ แต่ต่อหน้าดวงตาของอู่เหมยที่มองอย่างคาดหวัง มันก็ทำให้ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับแต่โดยดีเท่านั้น

อู่เหมยไม่ได้คาดคั้นอะไรอีก นางหันกลับมาและโน้มตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาก่อนเข้าสวมกอดอย่างแนบแน่น

ข้างนอกยังคงมีเสียงดังวุ่นวายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงผสมกับเสียงกีบของม้าที่ดังก้องไปมา หากแต่อู่เหมยในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป ด้วยหัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแสนหวาน

ทันใดนั้นประตูของบ้านหลังใหญ่ในลานบ้านก็พลันเปิดออก ก่อนที่จะตามมาด้วยชายชราผมขาวเดินเข้ามาหาทั้งสอง

ชายชราเหล่ตาของเขาและยื่นศีรษะมองไปที่ถังหยินกับอู่เหมยที่ยืนอยู่ที่ด้านล่างของกำแพง ก่อนจะแสดงท่าทีตกใจพร้อมกับร้องถามอย่างสงสัย “เจ้าคือมือสังหารที่บุกเข้าไปในวังหลวง ?”

ตอนนี้ทุกคนในเมืองหยานต่างก็รู้ข่าวที่ว่ามีมือสังหารลอบเข้ามาในวังหลวงและพยายามลอบสังหารซ่งเทียนแล้ว

อู่เหมยตกใจกับคำถามของชายชรา หันมองไปทางถังหยินด้วยความกังวล

ทว่าถึงจะได้ยินเช่นนั้น หากแต่ถังหยินก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า สวนทางกับมือที่เดิมอยู่ที่เอวของอู่เหมยที่กำลังชักมีดออกมาอย่างช้า ๆ สายตาหันมองส่งยิ้มนั้นให้กับชายชรา “ถ้าหวังที่จะได้รางวัลจากการให้ข้อมูลล่ะก็ รีบทำซะ !”

ใบหน้าของชายชราพลันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองในทันที ก่อนจะกล่าวโทษมือสังหารหนุ่มอย่างรุนแรง “ซ่งเทียนฆ่าท่านอ๋องพร้อมกับแย่งชิงบัลลังค์ การกระทำของมันเป็นบาปหนานัก พวกมันจะต้องแบกรับบาปนี้ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงหยุดนิ่งในทันที ในขณะที่ชายชราทำการโบกมือให้กับถังหยินและอู่เหมยเข้ามาภายใน