ตอนที่ 154 การกลับมาของหนานกงจวิ้นซี (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ฮองเฮาต้าเซี่ยเห็นเช่นนั้น จึงรับตัวหลูลู่ไว้ข้างกาย เลี้ยงดูราวกับเป็นพระธิดาของตน

หลังจากนั้น เมื่อเห็นหลูลู่ชื่นชอบโอรสตนมาตั้งแต่เด็ก จึงวางแผนไว้ในใจ

เพราะพระเธอทรงรักทั้งบุตรชายและบุตรสาวนี้

บุตรสาวเมื่อเติบโตแล้ว ต้องแต่งงานออกไป

หากแต่งให้กับตระกูลอื่น กลัวว่าบุตรสาวตนจะเสียเปรียบ และเห็นหลูลู่ชื่นชอบบุตรชายตนมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงหมายมั่นปั้นมือ หลังรอให้บุตรชายตนเติบโต จะให้พวกเขารวมกันเป็นหนึ่ง

เช่นนั้น บุตรชาย บุตรสาวต่างสามารถอยู่ข้างกายตนไปชั่วชีวิต ดีอะไรเช่นนี้!

คิดไม่ถึง การตัดสินพระทัยของฮองเฮาต้าเซี่ย กลับทำให้หนานกงจวิ้นซีเกิดความรู้สึกรังเกียจหลูลู่ขึ้นมา

เมื่อยังเด็กไม่รู้ความ จึงมักรังแกเด็กน้อยที่ตามติดอยู่ด้านหลังตนตลอดทั้งวัน

ต่อมา หลังได้พบกับนักพรตเทียนซาน เพื่อสลัดเด็กน้อยที่ตามติดตน หนานกงจวิ้นซีจึงออกจากวังหลวงอย่างเด็ดเดี่ยว ไปร่ำเรียนวิชาที่เขาเทียนซานกับนักพรตเทียนซาน

เมื่อไปครั้งนี้ เวลาผ่านไปหลายปี

เดิมทีคิดว่า หลายปีที่เขาจากไปนี้ ฮองเฮาจะเปลี่ยนแปลงความคิด คิดไม่ถึง เขาเพิ่งลงจากเขาคิดกลับวังหลวง จึงทราบว่าฮองเฮาได้รอเขาอยู่ในวังหลวง และกำหนดเลือกฤกษ์ยาม เพื่อให้เขากับเด็กที่ตามติดก้นเขาเข้าพิธีอภิเษกสมรสกัน

หลังทราบถึงข่าวคราวนี้ หนานกงจวิ้นซีจึงรีบหมุนกายหลบหนีทันที

แต่ใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เขาอยู่ในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก ต่อมาขึ้นไปอาศัยบนเขาเทียนซาน จึงรู้จักผู้คนไม่มาก สหายก็มีน้อย

สุดท้ายจึงหลบมาอยู่ที่วังของศิษย์พี่ใหญ่

เดิมคิดว่า เพราะความคิดของฮองเฮาที่อยากให้เขาอภิเษกกับเด็กน่ารังเกียจนั้น จะหลบซ่อนอยู่สักสาม ห้า หรือเจ็ดปี คิดไม่ถึง เขาเพิ่งซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้เพียงสองเดือน คนของฮองเฮากลับมาตามถึงหน้าประตูเสียแล้ว!

ความเร็วนี้ ทำให้หนานกงจวิ้นซีตะลึงเป็นที่สุด

ขณะตกตะลึง คิดวางแผนจะหนีออกไปเช่นไรดี

คิดไม่ถึง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ คล้ายเดาใจที่คิดจะหลบหนีของหนานกงจวิ้นซีได้ เพียงเอ่ยปากขึ้นอย่างเย็นชาว่า

“ห้ามคิดหนี เมื่อคนของฮองเฮามาถึงแล้ว ย่อมรู้ว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่ ด้านนอกคงวางคนล้อมไม่ให้เจ้าหลบหนีแล้ว เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้หรือ”

“เอ่อ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีรู้ว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ใบหน้าหล่อเหลาที่ตื่นเต้น พลันชะงัก ก่อนเปลี่ยนไปน่าสงสาร ก่อนหันไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ยังคงพิจารณาเอกสารเช่นเดิม

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากอภิเษกกับเด็กนั้น”

หนานกงจวิ้นซีทำท่าทางน่าสงสาร มองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างน่าเห็นใจ คาดหวังให้เขาช่วยเหลือตน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่คงจะมีเส้นทางลับ ข้าขอใช้หนี ได้หรือไม่”

“ไม่ได้”

สำหรับการอ้อนวอนของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋ปฏิเสธโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

หนานกงจวิ้นซีได้ยิน สีหน้าดูโศกเศร้ายิ่งขึ้น

“ศิษยพี่ใหญ่ ท่านช่วยใจอ่อนได้หรือไม่ หากข้าถูกจับตัวกลับไป นั่นถือว่าข้าต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากนะ ท่านจะทนมองได้หรือ ท่าน!”

“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า หากเจ้าจะหลบซ่อน คิดว่าจะสามารถหลบซ่อนไปตลอดชีวิตได้หรือ หากไม่ชื่นชอบสตรีผู้นั้นจริง ให้ทุกคนเปิดใจเจรจาเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจน หากเจ้ายังยืนกราน ฮองเฮาคงมิใช้กระบี่จี้คอให้เจ้าอภิเษกหรอกกระมัง”

ครั้งนี้ ในที่สุดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ทนต่อการอ้อนวอนรบเร้าของหนานกงจวิ้นซีไม่ไหวอีกต่อไป จึงวางพู่กันในมือลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา

เมื่อรู้ว่าคำพูดที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยออกมามิใช่ไม่มีเหตุผล หนานกงจวิ้นซีได้ยิน เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเหงาหงอยว่า

“เช่นนั้นก็ได้”

เรื่องราวช้าเร็วก็ต้องจัดการมิใช่หรือ

หนานกงจวิ้นซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นใช้ความแข็งแกร่งข่มศัตรู เดินออกไปด้านนอกอย่างห้าวหาญ เปี่ยมด้วยพลัง

เมื่อเห็นท่าทางของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาอดยกมือปิดปากแอบหัวเราะอยู่ด้านข้างไม่ได้

คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยนี้จะมีวันที่ถูกบีบจนจนตรอกเช่นนี้!

เล่อเหยาเหยาแอบหัวเราะอย่างภูมิใจ ท่าทางนั้น คล้ายกับแมวป่าแสนโอหังตัวหนึ่ง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น เพียงยิ้มอย่างจนใจ

“เจ้านี่น่ะ”

“ฮิๆ”

สำหรับคำพูดอย่างจนใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาเพียงหัวเราะฮิๆออกมา

“อวี๋ พวกเราก็ไปดูที่ห้องโถงด้านหน้ากันเถิด ดีหรือไม่”

เล่อเหยาเหยาเสนอความเห็นขึ้นมา

เพราะเธอแปลกใจอย่างมาก

ว่าสตรีเช่นไร จึงทำให้หนานกงจวิ้นซีเกลียดชัง จนไม่เสียดายที่จะหนีการอภิเษกสมรสเช่นนี้!

หรือจะมีสามหัวหกแขนกัน!

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ย่อมรู้ว่าเธออยากดูความสนุก

ทว่าเหตุใดเขากลับปฏิเสธการขอร้องของ ‘เขา’ ไม่ได้

“ก็ดี” เมื่อ ‘เขา’ อยากเห็น ก็ตามใจ ‘เขา’ เถิด!

เย่หงคือคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้แคว้นต้าเซี่ย อายุสี่สิบปี วรยุทธสูงส่ง อีกทั้งจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นต้าเซี่ย ดังนั้น จึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้แคว้นต้าเซี่ยอย่างมาก

เขามอบกายถวายชีวิตให้เพียงฮ่องเต้แคว้นต้าเซี่ย คำพูดของผู้อื่น จึงไม่มีผลกับเขา

ดังนั้น เมื่อหนานกงจวิ้นซีเห็นเย่หงมาถึงที่นี่ ก็ทราบว่าตนพบปัญหาหนักเข้าแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ตนต้องถูกเขาพาตัวกลับไปแน่นอน

คิดแล้วหนังศีรษะของหนานกงจวิ้นซีชาวาบ ใบหน้าดูจนใจอย่างยิ่ง

องค์ชายเจ็ดที่สง่างาม พลันหมดอาลัยขึ้นมา

“เย่หง ฮ่าๆ ไม่เจอกันนานหลายปี”

แม้ในใจรู้ดีว่าตนยากที่จะหนีพ้น แต่ในใจหนานกงจวิ้นซียังหวังให้เกิดปาฏิหารย์ เมื่อเห็นคนที่ไม่ได้เจอมานานหลายปีนี้ ยังคงหนุ่มแน่นเด็ดเดี่ยวเช่นเดิม จึงหัวเราะเฮฮาขึ้น

เย่หงเมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีปรากฎตัวขึ้น ใบหน้าเด็ดเดี่ยวองอาจนั้น หันกลับมา หมายจะรีบทำความเคารพต่อหนานกงจวิ้นซี

ทว่ากลับถูกหนานกงจวิ้นซีห้ามปรามไว้ก่อน

“ฮ่าๆ เย่หง ไม่ต้องมากพิธีหรอก”

หนานกงจวิ้นซีรู้ว่าชายผู้นี้คือคนสนิท และจงรักภักดีของพระบิดาตน จึงย่อมไม่กล้ารับการเคารพจากเย่หง

เมื่อเห็นเย่หงลุกขึ้นยืนอยู่ด้านข้าง หนานกงจวิ้นซีเหลือบมองเย่หงแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา พร้อมเอ่ยว่า

“เย่หงคงได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อและฮองเฮา ให้พาตัวข้ากลับไปสินะ เฮ้อ คิดไม่ถึงข่าวของพวกท่านรวดเร็วเช่นนี้ ข้าหลบซ่อนหูตาผู้คนมามากมาย กลับถูกพวกท่านรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่”

เอ่ยถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีรู้สึกจนใจ

เย่หงได้ยิน เพียงเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า

“ความจริงทุกฝีก้าวขององค์ชายเจ็ด ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงรับทราบทุกอย่าง”

“หา เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทราบอยู่ก่อนแล้วหรือ แต่ แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่ส่งคนมาตามตัวข้าล่ะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หง หนานกงจวิ้นซีแปลกใจอย่างยิ่ง

เพราะความเข้าใจที่เขามีต่อเสด็จแม่ หากรู้ร่องรอยของเขา ต้องรีบส่งคนมาจับตัวเขากลับไปแน่

เหตุใดกลับผ่านมาถึงสองเดือน วันนี้จึงส่งคนมา!

น่าแปลกจริงๆ!

อาจเพราะรับรู้ถึงความสงสัยในใจของหนานกงจวิ้นซี เย่หงจึงไม่ปิดบัง ก่อนเอ่ยจุดประสงค์ในการมาที่นี่ออกไป

“ครั้งนี้ กระหม่อมมาที่นี่ เพื่อนำตัวองค์ชายเจ็ดกลับวังหลวง เพราะองค์หญิงหลูลู่หายตัวไป”

“อะไรนะ!”

คำพูดของเย่หง ทำให้ในใจของหนานกงจวิ้นซีคล้ายถูกขีปนาวุธพุ่งชนจนระเบิดขึ้น

“สวรรค์ เด็กน้อยนั้นหายตัวไปหรือ”

หนานกงจวิ้นซีร้องอย่างตกใจ แต่ก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา

เด็กน่ารังเกียจนั้นหายตัวไปแล้ว สำหรับเขา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี!

เช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกลัวการกลับวัง และไม่ต้องกังวลว่าฮองเฮาจะจับเขากลับไป เพื่อให้อภิเษกกับเด็กน้อยน่ารังเกียจนั้น!

พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีหากไม่ติดว่าเย่หงอยู่ที่นี่ ต้องหัวเราะอย่างหนักแน่นอน

ทว่าขณะหนานกงจวิ้นซีดีใจ ไม่ลืมเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า

“จริงสิ เหตุใดนางถึงหายตัวไป ตอนนี้หาตัวยังไม่พบหรือ”

เรื่องตรงหน้าถือว่าไม่สำคัญ หนานกงจวื้นซีห่วงที่สุดคือปัญหาสุดท้ายนี้ต่างหาก

สวรรค์ได้โปรดประทานพร อย่าให้พวกเย่หงตามหาเด็กน่ารังเกียจนั้นพบเด็ดขาด เช่นนั้นเขาจะได้ไม่ต้องอภิเษกกับเธอ

แม้จะคิดเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนไม่ใช่คนเลวร้าย

แต่สวรรค์รู้ดี หากให้เขาอภิเษกกับเธอ เขายอมให้หาตัวเธอไม่พบไปตลอดชีวิต!

เย่หงได้ยินหนานกงจวิ้นซีเอ่ยถามเช่นนี้ พลันเอ่ยความจริงออกมา

“ว่ากันว่า องค์หญิงหลูลู่หนึ่งเดือนก่อนใกล้เวลาที่องค์ชายจะกลับมา ได้ทิ้งหนังสือแล้วหนีจากวังไป นางเอ่ยว่าจะไปตามหาองค์ชาย ต่อมาหลังจากพวกเราทราบข่าว รีบออกจากวังตามหาทันที กลับพบข้าวของขององค์หญิงในมือเหล่าโจรภูเขา จากการให้การของเหล่าโจร หลังจากทรมานให้พวกมันสารภาพ พวกมันบุกจับตัวองค์หญิงหลูลู่ไว้ แต่ขณะกำลังพาตัวองค์หญิงกลับไปที่รังโจรบนภูเขา กลับไม่ระวังปล่อยให้องค์หญิงหนีไปได้

พวกเราตามหามาสองเดือนเต็ม รู้เพียงองค์หญิงอาจหลบหนีมาที่แคว้นเทียนหยวน แต่พวกเรากลับตรวจสอบไม่พบตัวเลย ฮองเฮาทรงทราบเรื่องนี้ เสียพระทัยอย่างมาก ร้องไห้น้ำตาอาบใบหน้าทุกวัน ต่อมาทรงนึกได้ว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ที่นี่ จึงคิดให้องค์ชายช่วยตามหาด้วย”

พูดถึงตรงนี้ เย่หงควักภาพวาดออกมาจากอก สองมือส่งมอบให้ถึงมือหนานกงจวิ้นซี ก่อนเอ่ยต่อว่า

“นี่คือภาพวาดขององค์หญิงหลูลู่ องค์ชายโปรดทรงเปิดดูเถิด”

เมื่อรับม้วนภาพจากเย่หง และฟังคำพูดของเขาว่าคนในภาพม้วนนี้คือเด็กน่ารังเกียจผู้นั้น หนานกงจวิ้นซีอดคิดโยนมันทิ้งไม่ได้

แต่เพราะเย่หงอยู่ที่นี่ เขาจึงทำเช่นนี้ไม่ได้

เมื่อรู้ความหมายของเย่หง ฮองเฮาไม่ได้บังคับเขากลับไป เพียงอยากให้เขาช่วยตามหาเธอ

แต่ถ้าเขาออกตามหาคงดูแปลกประหลาด

เขายังหวังไม่ให้เจอเด็กน่ารังเกียจนั้นไปตลอดชีวิต

แต่พอนึกถึงว่าหากตามตัวเด็กน่ารังเกียจนั้นไม่พบ ฮองเฮาต้องเสียใจ ในใจหนานกงจวิ้นซีขัดแย้งไม่หยุด

เขาไม่อยากให้ฮองเฮาเสียใจ เพราะฮองเฮาปฏิบัติต่อเด็กน่ารังเกียจนั้น เช่นเดียวกับเขา และไม่คิดว่าผู้ใดคือบุตรที่แท้จริงของเธอ

แต่เมื่อนึกถึงว่าหากเจอตัวเด็กน้อยน่ารังเกียจนั้น

ภายในสมองของหนานกงจวิ้นซีอดนึกถึงเรื่องในตอนเด็กไม่ได้ เด็กนั้นมักตามติดอยู่ด้านหลังเขา ฟันหลอหนึ่งซี่ น้ำมูกไหลย้อยลงไม่หยุด คิดแล้วหนานกงจวิ้นซีอดสั่นเทิ้มไม่ได้

เอ่อ แม้หลายปีผ่านไป แต่รูปร่างของเด็กน่ารังเกียจนั้น ในใจเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม

ดังนั้น แม้จะดูหรือไม่ดูภาพวาด เขาก็รู้ว่าหลังเติบโตขึ้นมารูปร่างหน้าตาคงธรรมดา

สรูปแล้ว ต้องไม่ใช่สาวงามที่โดดเด่นประเภทนั้นแน่!

ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงเพียงรับภาพวาดนั้นมา ทว่ากลับไม่สนใจเปิดออกดู

เพียงเอ่ยกับเย่หงว่า

“เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ท่านวางใจเถิด”

“เช่นนั้นข้าขอตัวออกไปตามหาก่อน หลายวันมานี้ ข้ายังคงอยู่ในเมืองหลวง พักอยู่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ หากองค์ชายมีข่าวคราวขององค์หญิง โปรดรีบให้คนส่งข่าวแก่ข้าด้วย”

“ได้ เช่นนั้นลำบากเจ้าแล้ว”

หลังเย่หงจากไป หนานกงจวิ้นซีหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ร่างกายคล้ายงูไร้กระดูก อ่อนระทวยลงบนเก้าอี้นอน

ภาพวาดที่ถูกถือไว้ในมือ ถูกเขาโยนทิ้งไปบนเก้าอี้ด้านข้างอย่างไม่สนใจ โดยไม่มีความคิดที่จะเปิดดู

พอดีกับเวลานี้ เล่อเหยาเหยาที่มาเพื่อชมละครสนุก เห็นเพียงห้องโถงใหญ่เหลือเพียงหนานกงจวิ้นซีผู้เดียว ยังมีถ้วยชาวางอยู่ด้านข้าง รู้ทันทีว่าคนที่มาจากไปแล้ว

ไม่พาตัวหนานกงจวิ้นซีกลับไป และไปมาอย่างรีบร้อน ทำให้เธอที่อยากชมความสนุกผิดหวัง

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยามีสีหน้าผิดหวัง หลังทำปากขมุบขมิบอย่างเบื่อหน่าย ดวงตาคู่งามเหลือบไปเห็นม้วนภาพวาดที่ถูกทิ้งอยู่ด้านข้างดึงดูดเข้าอย่างไม่ตั้งใจ