ตอนที่ 155 หญิงสาวในภาพวาด (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“เอ๊ะ นี่คือสิ่งใดหรือ”

เมื่อเห็นม้วนภาพวาดที่ถูกทิ้งไว้บนเก้าอี้นั้น เล่อเหยาเหยาแปลกใจมากมายสุดบรรยาย

ทันใดนั้น อดยื่นมือไปหยิบมาไม่ได้

หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเธอเอ่ยถาม ตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า

“เมื่อครู่นี้เย่หงมอบให้กับข้า บอกว่าคือภาพวาดของเด็กน่ารังเกียจนั้น”

“โอ้ ที่แท้นี่คือคู่หมั้นที่เจ้าเกลียดชังมาตลอดหรือ ฮิๆ ดีเลยข้าขอดูหน่อย ว่าจะมีรูปโฉมเช่นไร ถึงทำให้องค์ชายเจ็ดผู้สง่างามทำตัวเช่นหนูหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่กล้าอภิเษกกับเธอ ฮิๆ”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยพลางแอบหัวเราะ แต่ว่าไม่ลืมต่อว่าหนานกงจวิ้นซี

หนานกงจวิ้นซีได้ยิน พลันราวกับแม่ไก่ที่ถูกยั่วโมโห ขนลุกขนชันขึ้น

“น่าตายนัก เจ้าว่าผู้ใดคือหนูหรือ กล้าว่าองค์ชายเจ็ดผู้สง่างามเช่นข้า ช่างรนหาที่ตายนัก เอาม้วนภาพวาดคืนมาให้ข้า”

เมื่อถูกคำพูดของเล่อเหยาเหยาทำให้ไม่พอใจ และเห็นเล่อเหยาเหยาถือภาพม้วนนั้นไว้ในมือ ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

แม้เด็กน้อยน่ารังเกียจนั้นจะรูปโฉมเป็นเช่นใด เขาไม่อยากรับรู้ แต่เขาไม่อยากให้เด็กผู้นี้เห็นภาพของเธอ

ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงพลันกระโดดลงจากเก้าอี้ หมายจะแย่งชิงม้วนภาพวาดในมือของเล่อเหยาเหยา

เล่อเหยาเหยาเห็นหนานกงจวิ้นซีถูกตนยั่วโมโห หมายจะชิงภาพวาดนี้กลับไป แน่นอนว่าย่อมไม่คืน

ดังนั้น ทั้งสองคนจึงวิ่งไล่กันไปมาอยู่ในห้องโถงใหญ่

แม้หนานกงจวิ้นซีจะรูปร่างสูงใหญ่ สองขาเรียวยาว

แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่ถูกเขาจับได้แม้แต่ชายเสื้อ เพราะเล่อเหยาเหยารูบร่างเล็กบอบบาง และเคลื่อนไหวว่องไว ดุจแมวน้อยที่เฉลียวฉลาดตัวหนึ่ง จนหนานกงจวิ้นซีโมโหอย่างหนัก

สุดท้ายขณะที่พวกเขาวิ่งไล่กันวนรอบโต๊ะกลม หนานกงจวิ้นซีเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด ใช้วิธีส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม หลอกล่อเล่อเหยาเหยา

เล่อเหยาเหยาไม่คิดว่าเขาจะใช้อุบายนี้ เห็นขาคู่นั้นของตนเสียการควบคุม จนโผเข้าหาหนานกงจวิ้นซี หนานกงจวิ้นซียื่นสองมือออกมาหมายดึงม้วนภาพวาดในมือไป

ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาก็เหลือบไปเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่หน้าประตู เห็นเช่นนั้นก็ดีใจขึ้นมา ท่ามกลางการรับมือไม่ทันของหนานกงจวิ้นซี เธอโยนม้วนภาพวาดในมือไปที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋

“ท่านอ๋อง รีบเปิดดูสิ นั่นคือภาพวาดคู่หมั้นของเขา ท่านรีบเปิดดูว่าเธอหน้าตาเป็นเช่นไร อัปลักษณ์มากหรือไม่ จึงทำให้องค์ชายเจ็ดเช่นเขาหลบซ่อนตัวดุจหนูอยู่ที่นี่”

เล่อเหยาเหยาหากไม่ได้จิกกัดหนานกงจวิ้นซี รู้สึกร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา จึงมองม้วนภาพวาดที่พวกเขาโยนมา แขนยาวยื่นไปรับภาพวาดนั้นไว้พอดี

อีกทั้งเมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีโมโหเล่อเหยาเหยาอย่างหนัก พลันรู้สึกว่าน่าขัน

“เจ้านี่น่ะ”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋หัวเราะอย่างรักใคร่และจนใจกับเล่อเหยาเหยา ทว่ายังคงคลี่ม้วนภาพนั้นออกอย่างช้าๆ

สำหรับคู่หมั้นของหนานกงจวิ้นซีรูปโฉมจะเป็นเช่นไรนั้น ความจริงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่สนใจ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เขาจึงอยากทำตามความต้องการของเธอ

เมื่อค่อยๆ คลี่ภาพวาดม้วนนั้นออก ก็เห็นสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มบนม้วนภาพวาดนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกเพียงร่างกายดุจถูกฟ้าผ่า ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

เห็นเพียงสาวน้อยในภาพ บนกายสวมกระโปรงหลัวผ้าไหมชั้นดี เอวเล็กดุจกิ่งหลิว ดูบอบบาง

ผมยาวดำขลับดุจแพรไหม ถูกหวีเก็บอย่างประณีต เส้นผมบางส่วนห้อยลงมาที่ไหล่ด้านหน้า ทำให้ใบหน้าเล็กนั้นยิ่งประณีตชวนหลงใหลมากขึ้น

คิ้วเข้มดุจเทือกเขาไกลลิบ จมูกโด่ง ปากเล็กแดงสด

สิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่สุดคือดวงตาคู่งามบนใบหน้านั้น!

ดุจศูนย์รวมของแสงสว่างบนโลกที่กระจ่างใสและงดงาม ดวงตาคู่งามนั้น ทำให้คนที่เห็นต่างมิอาจละสายตา!

สาวน้อยในภาพวาดนี้ งดงามอ้อนช้อย รูปโฉมงามล่มเมือง เพียงพอที่จะทำให้บุรุษสตรีทั่วใต้หล้าคุ้มคลั่ง!

สิ่งที่ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตกตะลึงสุดขีด กลับไม่ใช่รูปโฉมที่งดงามปานล่มเมืองของสาวน้อยในภาพ แต่เป็น…

“ท่านอ๋อง หญิงสาวในภาพวาดหน้าตาเป็นเช่นไร เป็นสาวงาม หรือว่า…ฮิๆ”

“เจ้าหมูน้อย เหตุใดถึงยิ้มราวสมเพชข้าเช่นนี้ เจ้าอิจฉาหรือ”

“ใช่หรือ บ่าวออกจะมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แม้จะเป็นยิ้ม ต้องยิ้มปานล่มเมืองแน่นอน ท่านอย่ามากล่าวหาความงามของบ่าว แม้บ่าวจะรู้ว่าท่านอิจฉาบ่าวก็ตาม”

“เจ้า”

ไม่นาน ภายในห้องโถงมีเสียงหัวเราะอย่างหนักของเล่อเหยาเหยาดังขึ้น และเสียงคำรามอย่างโมโหของหนานกงจวิ้นซีตามมา

ตรงข้ามกับสองคนที่กำลังเอะอะโวยวายในห้องโถง เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้น

กำม้วนภาพวาดที่ถืออยู่ในมือแน่น ทว่าสายตาที่มองไปที่เล่อเหยาเหยา กลับไม่อ่อนโยนเช่นเมื่อครู่ กลับแฝงไปด้วยการค้นหาความจริงที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้

น่าเสียดายที่เล่อเหยาเหยาเวลานี้กำลังเอะอะโวยวายอยู่กับหนานกงจวิ้นซี จึงไม่รับรู้ถึงสีหน้าผิดปกติของเหลิ่งจวิ้นอวี๋

ตกดึก!

โคมไฟถูกแขวนขึ้น ดวงดาวสว่างไสว พระจันทร์สวยงาม

ภายในที่ประทับในสวนไผ่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นอน

เขาเวลานี้ เพราะเพิ่งกลับมาจากวังหลวง จึงไม่คิดสนใจผมยาวดำขลับบนศีรษะนั้น ปล่อยให้สมองตนได้ผ่อนคลายครู่หนึ่ง

เมื่อถอดกวนมวยผมลง ปล่อยให้ผมยาวดำขลับสยายลงมาบนร่างกาย

ลมเย็นพัดเอื่อย พัดผ่านปอยผมตรงหน้าผากเขา จึงเห็นเพียงเส้มผมนั้นปลิวอยู่บนใบหน้าเด็ดเดี่ยวของเขาอย่างแผ่วเบา

ราวกับมืออ่อนช้อยกำลังลูบไล้อยู่ที่ใบหน้าของเขาเบาๆ

เพราะเช่นนี้ จึงทำให้ใบหน้าเด็ดเดี่ยวที่ผู้คนหนีห่างออกไปหมื่นลี้ของเขา ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน

เห็นเพียงชายหนุ่มเวลานี้กำลังกุมขมับ ดวงตาเย็นชาปิดสนิท ราวกับอยู่ในห้วงฝัน หรือกำลังหลับตาพักผ่อน

แม้จะเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มเวลานี้ ยังคงทำให้คนมิอาจละเลยได้เช่นเดิม

เขาคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังหลับลึกตัวหนึ่ง ทำให้คนหวาดกลัว ทว่ากลับมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

ขณะยกน้ำชาเข้ามา เล่อเหยาเหยาที่เห็นภาพชายหนุ่มรูปงามกำลังพักผ่อน แทบอดน้ำลายไหลออกมาไม่ได้

ในใจอดหงุดหงิดไม่ได้

เหตุใดตนไม่หนักแน่นเสียเลย!

ชายผู้นี้ เห็นชัดว่าตนมองมากว่าร้อยรอบแล้ว แต่ทุกครั้งต่างอดถูกทำให้ลุ่มหลงไม่ได้

แต่นี่จะโทษเขาไม่ได้ ผู้ใดให้ชายผู้นี้มีเสน่ห์เช่นนี้!

หากเป็นยุคปัจจุบัน ต้องยืนอยู่ในฝั่งของซูเปอร์สตาร์แน่นอน!

และเมื่อนึกได้ว่าคนที่ชายหนุ่มผู้นี้ชื่นชอบคือตน เล่อเหยาเหยารู้สึกในใจลอยละล่อง

คิดไปแล้ว ตนเองก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลย มิใช่หรือ! ฮิๆ

ขณะเล่อเหยาเหยาหัวเราะเบิกบานในใจ เธอก็เดินมาอยู่ที่ข้างกายชายหนุ่มแล้ว

ก่อนยื่นมือวางน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จวางลงด้านข้างของชายหนุ่ม แล้วคิดจะจากไป

คิดไม่ถึง เธอยังไม่ทันได้ขยับเท้า เอวเล็กก็ถูกมือใหญ่ทรงพลังคู่หนึ่งโอบรัดไว้ ทันใดนั้นร่างกายพลันสูญเสียการทรงตัว

เล่อเหยาเหยาเพียงร้อง ‘อา’ อย่างตกใจขึ้นมา จากนั้นร่างกายก็ถูกดึงให้นั่งลงบนต้นขาของชายหนุ่ม

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกชายหนุ่มโอบกอดเช่นนี้ แต่เล่อเหยาเหยายังคงเขินอายเช่นเดิม

ต้นขาของชายหนุ่ม ทั้งแข็งแกร่งและยืดหยุ่น เมื่อนั่งอยู่ด้านบนสบายอย่างยิ่ง

บริเวณเอวมีมือใหญ่ที่แข็งแรงและทรงพลังของชายหนุ่มโอบรัดไว้ ดูเหมือนว่าสามารถทำให้เธอยิ่งใหญ่ขึ้นได้

เมื่อถูกชายหนุ่มโอบกอดเช่นนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาอดหัวใจเต้นโครมครามไม่ได้

ทว่าเธอยังกลัวว่าจะมีคนมาเห็นเข้า ดังนั้นดวงตาคู่งามจึงมองสอดส่องไปด้านนอกตลอดเวลา

ด้วยท่าทางไม่มั่นใจแฝงขวยเขิน น่าประทับใจอย่างยิ่ง

ใบหน้าเรียวจิ้มลิ้มนั้นก็แดงก่ำ ดุจแอปเปิ้ลที่เพิ่งสุกงอม ทำให้คนที่เห็นอยากกัดลิ้มชิมรส

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ก็ทำเช่นนั้น

ฉวยโอกาสขณะที่เล่อเหยาเหยามองไปรอบๆ จุมพิตลงบนแก้มแดงอมชมพูของเล่อเหยาเหยาอย่างรวดเร็ว

ผิวแดงอมชมพูนั้น คล้ายกับสร้างขึ้นจากน้ำ แฝงด้วยกลิ่นอายจากธรรมชาติ

คล้ายขนมอบที่ทั้งหวานทั้งนุ่ม ดึงดูดใจคนอย่างยิ่ง

ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดหวั่นไหวในใจไม่ได้ อยากแอบชิมอีกครั้ง

แต่เมื่อครู่เมื่อถูกชายหนุ่มฉวยโอกาสหอมไป ครั้งนี้เล่อเหยาเหยาจึงเตรียมการป้องกันไว้ ขณะที่ริมฝีปากรูปกระจับของชายหนุ่มคิดจะแอบหอมอีกครั้ง จึงยื่นมือเล็กออกไปปิดริมฝีปากของชายหนุ่มไว้ทันที

ดวงตาคู่งามดูดุดัน น้ำเสียงเง้างอนอย่างไม่พอใจ

“อวี๋ เดี๋ยวมีคนเห็นเข้า”

“เห็นแล้วเป็นเช่นไร ผู้ใดจะกล้าพูดส่งเดชหรือ”

ภายในดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันปรากฏความเยือกเย็นขึ้น

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น พลันทำอะไรไม่ถูก

แต่เวลานี้ ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อบอุ่นลง เมื่อสบตากับเล่อเหยาเหยา แววตาดูรักใคร่อ่อนโยนจนสุดบรรยาย

สีหน้าอ่อนโยนนั้น ปรากฎขึ้นเพียงต่อหน้าเล่อเหยาเหยาเท่านั้น

“วันนี้ เหนื่อยหรือไม่”

“เอ่อ นิดหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาพยักหน้าพลางเอ่ยความจริงออกไป

ความจริง คิดไปแล้ววันนี้ไม่มีงานหนักอันใด เป็นเพียงงานปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิงเช่นเดิม

แต่พักนี้ไม่รู้เหตุใด เธอมักรู้สึกว่าเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง

ร่างกายดูอ่อนแรง ทำสิ่งใดคล้ายไม่มีเรี่ยวแรง

ทว่าตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน เล่อเหยาเหยาจึงคิดว่า นี่คือโรคเกียจคร้านในช่วงฤดูร้อน จึงไม่ใส่ในเรื่องนี้

แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเย็นชาเป็นประกายครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาว่า

“เมื่อเหนื่อย ก็นั่งพักสักครู่เถิด พรุ่งนี้เปิ่นหวางจะให้หัวหน้าขันทีลี่ส่งขันทีน้อยสักคนมาที่นี่ เช่นนี้ สามารถแบ่งเบาภาระงานของเจ้าได้”

“เอ่อ”

เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดเช่นนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน ทว่าไม่นานพลันส่ายหน้า พร้อมเอ่ยว่า

“ไม่ อวี๋ ไม่ทำเช่นนี้ ความจริงข้าไม่ได้เหนื่อยมากมาย อีกทั้งทุกวันงานของข้ามีไม่มาก ท่านให้ผู้อื่นมาช่วยทำงาน เช่นนั้นข้าคงไม่มีงานทำเป็นแน่ ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นบ่าวไพร่ มิใช่มาเสพสุขหรือได้รับความโปรดปราน เรื่องนี้หากมีคนรู้เข้า ต้องไม่ดีแน่”

เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดเช่นนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกตกใจ จนกระทั่งรีบเอ่ยปฏิเสธ

และเธอพูดความจริง งานทุกวันที่นี่ของเธอเดิมทีไม่มากมาย หากให้คนอื่นมาแบ่งภาระงานของเธอไป เธอมิต้องทำตัวเกียจคร้านดุจตัวด้วงในข้าวสารหรือ!

แม้เล่อเหยาเหยาจะรู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ห่วงใยตน ในใจอดอบอุ่นไม่ได้

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินเล่อเหยาเหยาพูดเช่นนี้ เพียงยิ้มขึ้นมา และไม่บีบบังคับ

เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า

“หากเหนื่อยจริงๆ ไม่ต้องฝืนทน ต้องบอกเปิ่นหวาง เข้าใจหรือไม่”