“นางไม่ยอมกลับมาหรือ”

ฮูหยินโจวถาม

“แน่นอนอยู่แล้ว” นายใหญ่โจวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง

“เช่นนั้นก็ช่างเถิด นางชอบอยู่ข้างนอก หญิงสาวคนไหนก็รักศักดิ์ศรีกันทั้งนั้น ต้องไว้ท่ากันบ้าง” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ ขณะเดียวกันก็เขย่ากระดาษตรงหน้า “นายท่าน สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการสู่ขอ ข้าเขียนออกมาแล้ว ท่านดูสิ…”

นายใหญ่โจวเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วก่อนจะขัดจังหวะนาง

“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ” เขาเอ่ย “นางไม่ตกลง บอกว่าหากเป็นตระกูลฉินก็ไม่เอา”

ฮูหยินโจวหัวเราะเยาะเย้ย

“ยังจะมาบอกว่าไม่เอาตระกูลฉินอีก นางคิดว่านางเป็นใครกัน” นางเอ่ย “ใครจะสนกัน งานมงคลสมรสไม่ใช่เรื่องที่นางจะมาออกความเห็น”

นายท่านใหญ่ขมวดคิ้ว

“ข้าคิดว่านางคงจะคิดมาแล้ว” เขาเอ่ย “อีกอย่างนางดูคุ้นเคยธรรมเนียมของคนเมืองหลวงนัก”

ยามหญิงสาวผู้นั้นได้ยินเรื่องแต่งงาน นางไม่มีความเขินอายเฉกเช่นผู้หญิงคนอื่นเลยแม้แต่น้อย และความเพิกเฉยที่เคยมีต่อตนยามเมื่อได้เจอกันครั้งแรกก็จางหายไปแล้วด้วย แถมนางถามตนอย่างจริงจังอีกว่าเป็นคนตระกูลใด

“บางทีนางอาจจะมีตัวเลือกที่ดีกว่า” นายใหญ่โจวพูด

ตัวเลือกที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ หรือจะเป็นชายหกของนาง

ฮูหยินโจวเหงื่อแตกขึ้นมาทันควัน

“จะมีตระกูลใดในเมืองหลวงมาดีกว่าตระกูลฉินอีก” นางเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “นางกำลังเล่นตัว! รู้ว่าตระกูลฉินไม่ใช่คนโง่ นางใช้วิธีนี้มาขู่เพื่อที่จะได้กลับเข้ามาในบ้าน คนเขารังเกียจนางเพียงใหนใจย่อมรู้ดี การที่นางยอมถอยครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้หลุดพ้นจากข้อครหา ท่านจะสนใจนางไปทำไมกัน”

“ไม่สนใจนางแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า เจ้ากับข้าไม่ใช่คนที่จะต้องแต่งเข้าไปเสียหน่อย” นายใหญ่โจวเอ่ย

ฮูหยินโจวถ่มน้ำลาย ถุย! ออกมา

“ท่านอย่าเอาแต่คิดเรื่องของผู้หญิงพวกนี้เลย ท่านรีบไปทำเรื่องที่ท่านลุงอย่างท่านควรทำเถิด” นางเอ่ย

“ทำอะไร” นายใหญ่โจวถาม

“ไปเจียงโจวอย่างไรเล่า รีบไปเอาฤกษ์เกิดของเจียวเจียวร์มาหลายๆ ใบ แล้วก็ให้ตระกูลเฉิงส่งสินเดิมมา ท่านน่ะ นอกจากสินเดิมของน้องสาวที่ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียวแล้ว ยังต้องให้ตระกูลเฉิงทำตามธรรมเนียมของเมืองหลวง

เอาสินสอดสองหมื่นก้วนมาให้ได้” ฮูหยินโจวพูด “ถ้าเราแต่งเข้าตระกูลฉิน สินเดิมของเจียวเจียวร์ก็ห้ามขาด ไม่เช่นนั้นแต่งเข้าบ้านไปคนเขาจะดูถูกเอา”

“จะขาดทุนก็แต่ตระกูลเราลูกสาวช่างน้อยนัก” นายใหญ่โจวพึมพำ ลุกขึ้นขมวดคิ้วพลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งานใหญ่เช่นนี้ ข้าต้องไปด้วยตัวเองใช่ไหม จะกลัวก็แต่ตระกูลเฉิง ใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ เสียที่ไหน”

ขณะนั้นเอง ณ สะพานอวี้ไต้ ท่านชายโจวหกมองไปยังเรือนที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะหยุดฝีเท้าลง

“รีบไปสิ” ท่านชายฉินที่อยู่ในรถเอ่ยเร่ง

ท่านชายโจวหกยังไม่ยอมก้าวออกไป

“จะ เจ้าดูถูกนางอย่างนั้นหรือ” เขาหันกลับมาเอ่ยพึมพำ

ท่านชายฉินเผลอยิ้มออกมา

“นางต่างหากที่ดูถูกข้า” เขาเอ่ยยิ้ม “หากเดาไม่ผิด นางคงปฏิเสธไปแล้ว”

ท่านชายโจวหกขานรับ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินก้าวออกไป ทว่าเขากลับเดินกลับมาอีก

“หรือว่านาง รู้ก่อนแล้วว่าเจ้าดูถูกนาง ถึงได้ปฏิเสธใช่หรือไม่” เขาหันหน้ากลับมาถามอีกครั้ง

ท่านชายฉินมองเขาพลางทอดถอนใจ

“ไม่ใช่” เขาเอ่ยแล้วยื่นมือออกมาชี้ที่ตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปชี้ท่านชายโจวหก “เพราะข้าคือเพื่อนเลวของเจ้า ดังนั้นนางจึงไม่มีทางถูกใจข้าได้ ยิ่งไม่คิดเป็นอื่นด้วย อีกอย่างนางก็ไม่มีทางถูกใจเจ้า แล้วก็ไม่ได้คิดเป็นอื่นด้วยเช่นกัน โจวจื่อเจี้ยน เจ้าวางใจเสีย แล้วไปเรียกให้คนมาเปิดประตูเร็วเข้า!”

ท่านชายโจวหกสีหน้าตึงเครียด

“อย่างข้ามีอะไรต้องกังวลใจ!” เขาส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะยกเท้าขึ้นพลางเดินเสียงตึงตังแล้วตะโกนเสียงดังให้คนมาเปิดประตู

“ผู้ใดกัน”

เสียงถามของบ่าวลอยออกมาจากด้านในประตู ขณะเดียวกันก็มีดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นที่รอยแยกของประตู

ก่อนจะมีเสียง ‘อ่อ’ ตามมา

“ท่านพี่ปั้นฉิน คนขับรถใจร้ายคนนั้นมาอีกแล้ว!”

ท่ายชายโจวหกไม่ต้องบอกกับคนหน้าประตูว่าตนเป็นใคร

ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบประตู

“เปิดประตู” เขาร้องตะโกน

เสียงฝีเท้าวิ่งออกห่างไปจากหน้าประตู ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้า พร้อมกับเสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง ทว่ามีบางอย่างขวางประตูไว้อยู่

ท่านชายโจวหกเตะประตูอย่างแรง

“ท่านชายหก”

เสียงแผ่วเบาของหญิงสาวดังขึ้นหลังประตู

“นายหญิงของข้าไม่อยู่บ้าน”

ท่านชายโจวหกสูดลมหายใจเข้าลึก

“นางไปที่ใดกัน” เขาถาม

“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยเสียงเบา

ท่านชายโจวหกยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไป

“เช่นนั้นรอไปก่อนก็แล้วกัน” เขากลับไปยืนอยู่ที่หน้ารถแล้วเอ่ยขึ้น

ท่านชายฉินขานรับ แล้วยื่นมือเข้าไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากรถ ก่อนจะเปิดอ่านอย่างสบายใจ

ท่านชายโจวหกสะบัดแส้ในมือไปมา พลางมองผู้คนที่เดินสัญจรบนท้องถนน

ขณะเดียวกันก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียง สาวใช้นางหนึ่งลงมา เมื่อถึงหน้าบ้าน ประตูก็เปิดออกในทันใด

เมื่อเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของบ่าวที่มาต้อนรับ ท่านชายโจวหกก็สบถออกมา

“นั่นใครกัน” ท่านชายฉินเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

“คนของตระกูลเฉิน” ท่านชายโจวหกบอก

ท่านชายฉินรับคำก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

“นี่คือเสื่อฤดูใบไม้ผลิที่ฮูหยินของข้าส่งมาให้” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางส่งถุงผ้าให้

แม่นางเฉินสิบแปดยกม่านรถขึ้น

“ยังมีรองเท้าที่ข้าทำอีกหนึ่งคู่ ข้าเห็นว่าแม่นางชอบใส่ถุงเท้าในบ้าน จึงตั้งใจทำรองเท้าผ้าไหมให้อีกหนึ่งคู่” นางเอ่ย

ปั้นฉินรีบคำนับ

“ขอบใจแม่นางเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกไปรับ

แม่นางเฉินสิบแปดปลดม่านรถลง

รถม้าเคลื่อนตัวออกไป เคลื่อนผ่านผู้คนที่ขับขี่บนท้องถนน

บนม้าสีดำสูงใหญ่มีชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีเขียวเข้มอยู่ เป็นเพราะฤดูใบไม้ผลอากาศหนาวเย็น เขาจึงสวมหมวกกันลมสีแดงขนาดใหญ่บนศีรษะ

หมวกกันลมใบใหญ่ปกปิดใบหน้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า เพียงแค่มองจากสีของหมวกกันลมก็รู้ว่านี่คือบุตร

ของตระกูลขุนนาง

ทันใดนั้นชายหนุ่มบนหลังม้าก็กระตุกเชือกให้ม้าหันหลังกลับอย่างกะทันหัน เขาหันกลับมาดูรถม้า ทั้งยังมองดูทิศทางที่รถม้ามุ่งหน้าไป หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็หันหัวม้ากลับมาอีกครั้ง

ทันใดนั้นคนนับสิบที่รายล้อมเขาพากันกลับหัวม้าเช่นกัน คนกลุ่มหนึ่งตามรถม้าของตระกูลเฉินไป

“วันนี้แม่นางเฉิงไม่อยู่ นายหญิงก็ได้พักผ่อนหนึ่งวัน”

สาวใช้ที่อยู่ในรถเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงเหนื่อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”

แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มพลางส่ายหัว

“เป็นเรื่องที่ควรทำทั้งนั้น จะบอกว่าเหนื่อยได้อย่างไร” นางเอ่ย

“เช่นนั้นวันนี้ที่วัดเฉี่ยถิง นายหญิงก็พักผ่อนให้เต็มที่นะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ย “นานๆ ทีแม่นางจากหลายๆ ตระกูลจะได้พบปะกัน ทั้งยังไม่ต้องหลบหลีกคนนอก จะได้สนุกกันอย่างเต็มที่”

แม่นางเฉินสิบแปดพยักหน้า

“นานๆ ทีจะมีโอกาสเช่นนี้  ข้าจะได้เห็นอักษรบนผนังของเฉิงเจียวเหนียงเสียที” นางเอ่ย “ที่ผ่านมาคนเยอะแยะไปหมด ไม่เคยได้ชมอย่างสงบได้เลย”

สาวใช้ถอนหายใจอย่างตัดพ้อ

“นายหญิง คิดจะเขียนตัวอักษรอีกแล้วนะเจ้าคะ” นางพูด “สุดท้ายก็ไม่ได้พัก”

รถม้าเคลื่อนออกจากประตูเมือง ไม่นานนักก็มาถึงวัดเฉี่ยถิง สายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านอย่างแผ่วเบา ทั้งคนทั้งม้าสัญจรไปมามากมาย

เมื่อได้ที่จอดรถม้า ณ ลานกว้างหลังวัด รถม้าจึงจอดสนิท ยามสาวใช้ยกผ้าม่านขึ้นก็สัมผัสได้ถึงแรงลมพัดผ่าน

 ทันใดนั้นธนูลูกหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปักอยู่ที่ประตูรถอย่างจัง

สาวใช้กรีดร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะหงายหลังล้มลง

คนขับรถม้าและบ่าวต่างพากันอลหม่าน เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาโกลาหลไปทั่ว

พวกโจรห้าร้อยมาจากไหนกัน!

ชายหนุ่มเก็บคันธนูลง รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เผยให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่งภายใต้หมวกกันลม

“องค์ชาย…” องครักษ์ข้างกายเองก็กลัวแทบตายกับการกระทำหุนหันพลันแล่นนี้เช่นกัน

ในตอนนี้ผู้คนที่ได้เห็นพวกเขา ต่างพากันมองมาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

องค์ชายจิ้นอันยกมือขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนธนูไปมาด้วยข้อมือ เพื่อแสดงความขอโทษ

“ข้าฝีมือใช้ไม่ได้เอง เดิมทีตั้งใจจะยิงนกนางแอ่น แต่กลับไปโดนคนอื่นเข้าเสียได้” เขาพูดเสียงดัง พร้อมตบม้าให้เดินเข้ามาใกล้

เมืองหลวงสงบร่มเย็นแต่ก็เป็นสถานที่ที่พลุกพล่าน ไม่มีคนร้ายอย่างแน่นอน

บ่าวของตระกูลเฉินก็โล่งใจเช่นกัน ผู้คนที่มามุงดูต่างก็ส่ายหน้า ไม่ได้มีความหวาดหวั่นเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เหล่าลูกหลานเศรษฐีพวกนี้มักคิดว่าตนเก่งกาจในศาสตร์หกประการ  โดยเฉพาะยามถึงฤดูใบไม้ผลิ ก็พากันมาประลองฝีมือยิงต้นหลิว โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรเสียเลย

ม้าขององค์ชายจิ้นอันเดินเข้ามาใกล้รถม้า เขาจ้องมองมาที่ม่านรถ

“ขอโทษที่ทำให้แม่นางตกใจ” เขาเอ่ยเสียงดังฟังชัด ก่อนจะฉีกยิ้มเผยฟันขาวราวกระเบื้อง

คงตกใจมากเป็นแน่ ถูกลอบทำร้ายเช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าฝูงหมาป่าเสียอีก

ม่านรถถูกเปิดออก ใบหน้าของสาวใช้ยังคงซีดเผือด นางจ้องมองชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเขามองกลับมา นางก็ตกตะลึงอย่างอดไม่อยู่

แม้จะใบหน้าจะถูกปกปิดไปกว่าครึ่ง แต่รอยยิ้มสดใสนั้นช่างน่าดึงดูดเสียเหลือเกิน

“ไม่เป็นอะไร ขอแค่คราวหน้าองค์ชายโปรดระวังด้วย” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพร้อมเงยหน้ามอง

เมื่อครู่นางไม่ได้ตกใจเพราะธนู นางไม่ทันได้เห็นลูกธนูด้วยซ้ำ แต่ที่ตกใจเพราะสาวใช้โถมตัวเข้ามาและเสียงกรีดร้องของนางต่างหาก

เมื่อพูดจบ ยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน ม้าตรงหน้าก็กระโดดดีดตัวขึ้นมาในทันใด ราวกับถูกเจ้านายเร่งเร้า

“โธ่เอ๊ย ตกใจหมดเลย!”

องค์ชายจิ้นอันเอ่ย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับหมวกไว้ แล้วมองหญิงสาวในรถด้วยสีหน้าประหลาดใจ

นางเป็นใครกัน

แย่แล้ว ตามผิดคนหรือนี่!

เขาโพล่งออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะกลับหัวม้าจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับ

เหล่าองครักษ์รีบตามติด ตอนมารีบร้อนเช่นไร ตอนกลับก็รีบร้อนเช่นนั้น เหลือไว้เพียงความงุนงงของทุกคน

ตกใจอะไรของเขากันนะ เฉินซู่ผู้นี้อัปลักษณ์เสียจนดูไม่ได้เลยหรือ

แม่นางเฉินสิบแปดงุนงงยิ่งกว่าเดิม นางกัดริมฝีปากล่าง ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงม่านรถลง

“กลับบ้าน”

หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

……………………………………………………..