ความคึกคักของเรือนไท่ผิงยังคงดำเนินต่อไป

เหล่าบัณฑิตดื่มกันจนเมามาย พวกเขาพากันขี่ม้าโซซัดโซเซกลับไปพลางพูดคุยหลอกล้อร้องรำทำเพลง

ความครึกครื้นทำให้ผู้คนบนท้องถนนใคร่รู้ จากนั้นจึงมีคนเดินเข้ามาถาม

“ที่นี่มีอะไรกันหรือ”

“ที่นี่น่ะหรือ เป็นร้านอาหารน่ะ!” เหล่าบัณฑิตตอบอย่างมึนเมา “ไม่ ไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดา ที่นี่มีตัวอักษรงดงาม

มีอาหารอร่อย”

ตัวอักษรงดงามอย่างนั้นหรือ

ตัวอักษรงามไม่ได้ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมาสักเท่าไร ส่วนอาหารอร่อยนั้น …

ทำให้พวกบัณฑิตบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่รู้ว่าแปลกพิสดารแค่ไหนกันเชียว

ขณะที่กำลังเก็บเบาะรองนั่ง ในห้องโถงก็เริ่มมีคนเดินเข้ามา

“เจ้าของร้าน ที่นี่มีอะไรขายหรือ”

“ขออาหารมาชิมสักสองอย่างสิ”

“แล้วสุรากับเครื่องดื่มเล่า มีอะไรบ้าง”

สวีเม่าซิวละสายตาหันไปมองรถม้า

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มให้เขาก่อนจะคำนับแล้วจากไป

“น้องสาววางใจเถิด” สวีเม่าซิวเอ่ย

“พวกท่านชายเหนื่อยกันแย่ หาคนมาเพิ่มไม่ดีกว่าหรือ” สาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหัวเราะ ใบหน้าแห่งความสุขยากจะเก็บซ่อน

“ต้องคุยกับผู้ดูแลอู๋ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” สวีเม่าซิวเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า จากนั้นสาวใช้จึงปล่อยม่านรถลง

สวีเม่าซิวส่งนางด้วยสายตา เมื่อลับตาไปแล้วจึงหันกลับมา บริเวณหน้าประตูเรือนไท่ผิงถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ง

แต่กลับกลายเป็นว่าในห้องโถงมีคนสองสามคนนั่งกันอยู่อย่างกระจัดกระจาย

“เรื่องบางเรื่อง หากจะทำมันก็ไม่ยาก” เขาส่ายหัวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทำ” ฟ่านเจียงหลินได้ยินจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

สวีเม่าซิวหัวเราะขึ้นมา

รถม้าแล่นไปตามถนนอย่างเชื่องช้า เมื่อใกล้ถึงประตูเมือง รอยยิ้มของสาวใช้ก็จางหายไป

“นายหญิงเจ้าคะ เรื่องแต่งงานที่นายใหญ่โจวพูดถึง จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” นางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

เฉิงเจียวเหนียงมองนาง

“จะทำอย่างไรเล่า” นางถามกลับ

“นายหญิง” สาวใช้ขยับเข้าไปนั่งข้างกายนาง “สำหรับนายใหญ่โจว หากได้ดองกับตระกูลฉินคงเป็นการดียิ่งนัก

พวกเขาคงไม่สนใจคำพูดของนายหญิงหรอกเจ้าค่ะ”

พูดเพียงเท่านั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

ผู้ใดจะสนใจคำพูดของนายหญิงกันเล่า

เรื่องใหญ่อย่างงานแต่งงาน คำพูดของแม่สื่อ ชีวิตของพ่อแม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือพ่อแม่ญาติพี่น้องของนายหญิงต่างพึ่งพาไม่ได้ ไม่มียังจะดีเสียกว่า

นางรู้ว่าตระกูลฉินเป็นอย่างไร คนอื่นๆ ก็ย่อมรู้เช่นกัน ไม่ต้องเดาเลยว่า หากทั้งตระกูลโจวหรือว่าตระกูลเฉิงรู้ละก็

คงไม่คัดค้านเป็นแน่ แถมยังยินดีด้วยด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไร หากเป็นตระกูลอื่น ข้าจะได้ไม่ต้องกังวล แต่หากเป็นตระกูลฉิน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางเผยยิ้มบาง “มีคนกังวลแทนข้าแล้ว”

เฉิงเจียวเหนียงเกยคางพลางมองไปด้านนอก สาวใช้มองออกไปอย่างไม่เข้าใจ นางเห็นรถม้าหนึ่งคันและม้าอีกตัวหนึ่งจอดอยู่ใกล้ประตูบ้าน ทันใดนั้นท่านชายโจวหกก็โผล่พรวดออกมา

ทั้งรถม้าและม้าต่างอยู่นอกประตูโดยไม่ได้เข้าไป ประตูเรือนเปิดกว้าง ผู้คนบนถนนสามารถมองเห็นเบาะรองนั่งที่สาวใช้วางไว้ตรงทางเดินด้านใน

เพราะชายหนุ่มเป็นคนนอก และบ้านนี้มีหญิงสาวอาศัยอยู่เพียงคนเดียว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขาจึงไม่เข้ามาในบ้าน

แขกและเจ้าของบ้านนั่งกันคนละฝั่ง เนื่องจากสาวใช้งานยุ่ง ปั้นฉินจึงเป็นคนยกน้ำชาและน้ำมาให้ นางก้มศีรษะลงขณะรินน้ำเปล่าสามแก้ว ก่อนจะรีบถอยออกไป

“ท่านพ่อข้ามาหาหรือ” ท่านชายโจวหกถามอย่างตรงไปตรงมา

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“เช่นนั้น เจ้ารู้แล้วหรือ” ท่านชายโจวหกถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าอีกครั้ง

“เช่นนั้น…” ท่านชายโจวอ้าปากแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร

“เจ้าดูสิ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ทำให้แม่นางลำบากจนได้” ท่านชายฉินยิ้มรับคำ ก่อนจะเอ่ยพลางคำนับ

“ไม่เป็นไหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่มีใครมาขอ ถึงจะเรียกว่าลำบาก”

ทั้งสองชะงักไป

หญิงผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง คำพูดเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมา ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่

ท่านชายฉินหัวเราะ

“แม่นางไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการเอง” เขาพูด

“เช่นนั้นคงดีมาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน

ขณะกำลังส่งแขกกลับ บ่าวที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งเข้ามา คนหนึ่งช่วยพยุงท่านชายฉิน ส่วนอีกคนหนึ่งก็รีบจัดวางไม้เท้าให้เข้าที่

ราวกับเพิ่งรู้ว่าการลุกนั่งที่นั้นแสนง่ายดาย แต่ท่านชายฉินกลับต้องใช้คนถึงสองคนพร้อมกับไม้เท้าหนึ่งอันเข้ามาช่วย…

ท่านชายโจวหกที่อยู่ด้านข้างกำมือแน่นอย่างอดไม่ได้

“เฉิงเจียวเหนียง” เขาตะโกนกล่าว “ต้องทำเช่นไร เจ้าถึงจะยอมรักษาเขา”

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาโดยไม่พูดอะไรออกมา

ท่านชายโจวหกจ้องมองนางเช่นกัน  เส้นเอ็นเขียวบนใบหน้าแทบจะระเบิด

“ชายหก เจ้านี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง” ท่านชายฉินเอ่ย

เขาไม่ได้มองไปที่ท่านชายโจวหกแล้วก็ไม่ได้มองเฉิงเจียวเหนียงเช่นกัน เมื่อพูดจบก็หันไปรอบๆ พลางจับไม้เท้า

เขาเคาะไม้เท้าไปบนถนนหิน ส่งเสียงเป็นจังหวะ มุ่งหน้าไปที่ประตู

ท่านชายโจวหกสบัดแขนเสื้อ ก่อนจะหันหลังก้าวฉับๆ ออกไป

“นายหญิง ต้มน้ำเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ไปอาบน้ำพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า สาวใช้ประคองนางเดินเข้าไปข้างใน เมื่อประตูเรือนปิดลงก็ตัดขาดจากโลกภายนอกทันที

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังเดินอย่างรีบเร่ง เมื่อใกล้ถึงประตูวังชั้นใน เขามองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังก่อนจะก้าวเข้าไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีคนกระโดดออกมาร้อง ‘ฮ่า’ จากด้านหนึ่ง

“ท่านพี่”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกใจ เมื่อหันหลังกลับไปก็พบเด็กน้อยแสนซนคนหนึ่ง

“ท่านพี่ทำอะไรไม่ดีมาหรือ ถึงได้ตกใจน่ะ!” องค์ชายรองหัวเราะ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องมีความผิดติดตัว ใบหน้าจึงแดงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

ถึงแม้องค์ชายรองจะดูไม่ออกเพราะอายุยังน้อย แต่ขันทีข้างกายทั้งสองกลับมองออกอย่างชัดเจน ทั้งสองสบตากันอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้าลง

“ข้าแค่ออกไปเดินเล่นนอกวัง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีเสียหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย พร้อมกับทำตัวให้เป็นปกติก่อนจะก้าวเท้าออกไป “แต่เจ้าน่ะ การบ้านวันนี้ทำเสร็จหรือยัง”

สิ่งที่ปวดหัวที่สุดของเด็กน้อยวัยกำลังซุกซนคือการที่จู่ๆ ก็ต้องเริ่มเรียนหนังสือ แน่นอนว่าพอได้ยินเช่นนั้น องค์ชายรองก็ไม่ได้จี้ถามเรื่องขององค์ชายจิ้นอันอีก ใบหน้าน้อยนั้นยู่ลงแล้วเข้ามาดึงแขนเสื้อขององค์ชายจิ้นอัน

“พูดเยอะขนาดนั้นข้าจำไม่ได้หรอก ตอนกลางคืนฮองเฮาจะมาถามข้าอีก ท่านพี่ช่วยข้าด้วย” เขาพูด

องค์ชายจิ้นอันคลี่ยิ้ม

“เช่นนั้น ข้าจะได้อะไร” เขาถาม

สองพี่น้องหยอกล้อพลางพากันเดินออกไป ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นพวกเขาจึงหยุดลง

“องค์ชายเหว่ยอายุมากกว่าข้าห้าปี แต่กลับไปเล่นกับน้องชาย” หนุ่มน้อยรูปร่างอ้วนกลมที่ตัวเล็กกว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องเล็กน้อยเอ่ยขึ้น

องค์ชายใหญ่วัยสิบขวบ แม้จะยังมีความไร้เดียงสาของเด็กอยู่บ้าง แต่การอบรบสั่งสอนในวังทำให้เขาดูสง่างามกว่าเด็กคนอื่นๆ และเพราะมีคนคอยกำกับอยู่ตลอดเวลาทำให้ทุกการเคลื่อนไหวดูสุขุมอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก

“จวิ้นอ๋องเป็นคนสดใสโดยธรรมชาติ ไม่มีเรื่องให้กังวลใจ ย่อมเล่นกับองค์ชายรองได้อยู่แล้ว” ขันทีข้างกายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“อืม เป็นจวิ้นอ๋องมีอิสระมากกว่า ไม่เหมือนข้า แทบจะไปบริหารราชการกับท่านพ่ออยู่แล้ว” องค์ชายใหญ่พูด น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยความตัดพ้อ แต่สีหน้ากลับดูเย่อหยิ่ง

“องค์ชายของกระหม่อม ข้ามิกล้าพูดเช่นนั้นดอก” เหล่าขันทีหัวเราะ

องค์ชายใหญ่โบกมือ

“ไปเถอะ ท่านพ่อกำลังรออยู่” เขาเอ่ยพลางไขว้มือไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย

จิ้นอันจวิ้นอ๋องเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ไทเฮาก็ทราบข่าวแล้ว

“ไปที่ใดมา” นางถาม

“ไปยิงธนูที่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ไทเฮาหันไปมองขันทีอีกคนหนึ่ง

“เช่นนั้นเหตุใดต้องลุกลี้ลุกลน” นางถาม

ขันทีที่ติดตามองค์ชายรองเมื่อครู่ ได้ยินดังนั้นก็โค้งคำนับ

“ไทเฮา เหมือนจะเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย

ไทเฮาหันไปมองเขา

“เมื่อครู่ข้าไปถามผู้ติดตามของจวิ้นอ๋องมาแล้ว บอกว่าระหว่างทางพบรถม้าของแม่นางคนหนึ่ง ละ แล้วก็…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา ตะกุกตะกักเล็กน้อย

ไทเฮาเลิกคิ้ว

“แม่นางคนหนึ่งหรือ” นางเอ่ย “แล้วอย่างไรอีก รีบพูดมา!”

ขันทีตกใจ รีบคุกเข่าลง ก่อนจะคลานเข้าไปข้างหน้า

“ยิงธนูใส่รถม้าของแม่นาง…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“หลังจากนั้นเล่า” ไทเฮาถาม

“หลังจากนั้น หลังจากนั้นจวิ้นอ๋องก็หนีไป” ขันทีพูด

“แค่นั้นหรือ” ไทเฮาถาม

ขันทีทบทวนเรื่องราวที่ตนได้ถามมา แน่ใจแล้วจึงพยักหน้า

“คนจากตระกูลใด” ไทเฮาถาม

“จากตระกูลของเฉินเซ่า เสนาบดีเฉินพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาคิดอะไรบางอย่าง

“ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ” นางถาม

“น่าจะไม่ได้ตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นมีนกนางแอ่นบินอยู่บนท้องฟ้า จวิ้นอ๋องยิงอะไรในป่าไม่ได้เลยทั้งวัน ดูเหมือนว่าจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ก็เลยยิงธนูใส่รถม้าของตระกูลเฉิน จวิ้นอ๋องดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน ยังไม่ทันได้เอ่ยขอโทษก็หนีออกมาเสียก่อน แถมยังบอกผู้ติดตามด้วยว่าห้ามบอกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามไม่ให้ไทเฮารู้” ขันทีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นอ๋อง ซนเกินไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา

“เขาก็นิสัยเช่นนี้ละ” นางเอ่ย “เอาละ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”

ขันทีคำนับแล้วถอยออกไป

“ไทเฮา จวิ้นอ๋องก็อายุไม่น้อยแล้ว” นางกำนัลข้างกายเข้ามาพร้อมกับน้ำชา นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาราวกับจะสื่ออะไรบางอย่าง

ไทเฮารับชาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ

“ไม่รู้ว่าเป็นลูกคนใดของตระกูลเฉิน” จู่ๆ นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าว่าเสนาบดีเฉินคงเคืองไม่น้อย”

คนในตระกูลกรมขุนนางถูกยิงธนูใส่ตอนเวลากลางวันแสกๆ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก

“ไปสืบมาให้ข้า! ว่าเจ้านั่นคือผู้ใดกัน!”

เฉินเซ่าขว้างลูกธนูลงบนพื้น เลิกคิ้วพลางตะโกนออกไป

นั่นคือศรธนูขนนกแสนชั่วร้ายที่ดึงออกลงมาจากรถม้า

พ่อบ้านเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา นี่คือลูกธนูขนนกธรรมดาอันหนึ่งเท่านั้น แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นรอยสัญลักษณ์อยู่บนนั้น

เขาขานรับก่อนจะถอยออกไป

…………………………………………………………………