เรือนนางฟ้าก็เหมือนกับร้านอาหารส่วนใหญ่ในเมืองหลวงที่เปิดตอนช่วงใกล้เที่ยง และทันทีที่เปิดก็มีแขกมาเข้ามาอย่างล้นหลาม

นอกจากจะมากินดื่มกันแล้ว ก็ยังสามารถมาพบปะเพื่อนฝูงหรือเจรจาการค้ากันได้อีกด้วย

เวลาเที่ยงวันเพิ่งผ่านไป คนสามสี่คนเดินเข้ามาในเรือนนางฟ้า เสี่ยวเอ้อกลับบอกพวกเขาว่าไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว

“ยังมีห้องส่วนตัวอยู่ ท่านลูกค้าต้องการหรือไม่” เสี่ยวเอ้อถามด้วยรอยยิ้ม

ห้องส่วนตัวนั้นย่อมราคาแพงกว่าโต๊ะที่นั่งอยู่แล้ว พวกเขามองหน้ากัน หนึ่งในนั้นมองไปที่ห้องโถง

“เถ้าแก่ โต๊ะนั่งน้อยกว่าเมื่อก่อนหรือ” เขาพูด “ตรงนั้นมีที่ว่างกว้างพอตัว จัดที่นั่งอีกสักสองสามที่ไม่ดีกว่าหรือ”

เสี่ยวเอ้อยังคงยิ้มแย้ม

“ไม่ดีกระมังขอรับ ทุกคนต่างไม่ชอบนั่งเบียดกัน จัดโต๊ะห่างกันนิดน่าจะดีกว่า” เขาเอ่ย “หากท่านไม่อยากนั่งห้องส่วนตัว จะรออีกสักครู่ค่อยกลับมาอีกก็ได้ขอรับ”

พูดถึงเพียงเท่านั้น ทั้งสี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไป

“ไม่ชอบการนั่งเบียดกันอะไรเล่า” คนหนึ่งส่ายหัวแล้วพูด “ตั้งใจบังคับให้ลูกค้าเข้าห้องส่วนตัวชัดๆ ”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ ใครใช้ให้เขาเป็นร้านดังกันเล่า” อีกคนเอ่ยขึ้นพลางถูมือไปมาแล้วมองไปบนถนน “จะเอาอย่างไรดี

พวกเราไปกินที่ไหนกันดี”

“เดิมทีมาเพื่อนางฟ้าผ่านทาง ในเมื่อไม่ได้กินแล้ว เช่นนั้นไปหาอะไรกินสักที่ก็แล้วกัน” คนอื่นๆ เอ่ย

บนถนนสายนี้มีร้านอาหารมากมาย พวกเขาทั้งหลายเดินเข้าไปในร้านอาหารแล้วนั่งลง ขณะที่พวกเขากำลังจะสั่งอาหารและสุรา ดูเหมือนว่าร้านข้างๆ กำลังขัดแย้งกันเรื่องที่นั่ง

“เฮ้อ… เหตุใดพวกเจ้าถึงได้โง่เช่นนี้ ขอแค่มีไฟ… ไม่ก็ไฟถ่านหรือว่าเตาดินเผาอุ่นเหล้าก็ได้ แค่ทำให้ร้อนได้ก็พอ แล้วก็เอาหม้อสักใบมาวางไว้ จะเป็นหม้อปั้นดินเผาหรือหม้อหินทรายก็ได้ทั้งนั้น แต่สำคัญคือต้องใช้น้ำแกงต้มกระดูก…”

“ท่านขุนนาง นี่คือวิธีการกินอะไรหรือ”

“นี่คือวิธีการกินอย่างเป็นสุขในแบบของข้า เร็วเข้า รีบไปเอามา!”

ความพลุกพล่านนั้นทำให้คนทั้งห้องโถงหันมาสนใจ เมื่อเสี่ยวเอ้อวางของตามที่เขาสั่ง ทุกคนก็ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม

“เอาผักมาอีกกำหนึ่ง ไก่หนึ่งตัว  แล้วก็หั่นให้ข้าด้วย” ชายผู้นั้นพูด

เสี่ยวเอ้อจำใจยกของตามคำสั่งของเขาออกมา

“คราวนี้จะกินอย่างไรเล่า” คนข้างๆ อดถามขึ้นไม่ได้

ลูกค้าสองคนนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะ ทั้งสองสวมชุดสีฟ้าแบบปัญญาชน ท่วงท่ากิริยาสง่างาม แต่ทว่าวิธีการกินนั้น…

ปัญญาชนคนหนึ่งฉีกกำผักในมือสองสามทีแล้วโยนลงในหม้อหินทรายใบเล็ก ส่วนอีกคนก็เทไก่ทั้งจานลงไป

“กินแบบนี้ จะใส่อะไรก็ได้ตามใจ จึงเรียกว่ากินอย่างเป็นสุขในแบบของตน ” ปัญญาชนพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่มัน… เหมือนกับนางฟ้าผ่านทางของเรือนนางฟ้าเลยมิใช่หรือ” ชายที่มองมาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

“นางฟ้าหรือ นั่นเป็นของที่นางฟ้ากิน ข้าคือคนธรรมดา ไม่ได้พิถีพิถันขนาดนั้น อยากทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น” ปัญญาชนเอ่ยพลางยิ้ม พร้อมกับกวาดสายตาไปบนโต๊ะ ยกเหล้าขึ้นมาหนึ่งแก้วก่อนจะเทมันลงไปในหม้อ

น้ำแกงต้มกระดูกเดือดปุดๆ กลิ่นหอมเคล้าไปกับกลิ่นสุราในทันที

ปัญญาชนที่นั่งตรงข้ามหัวเราะ

“คราวก่อนพี่หลิ่วเฉวียนยังเติมน้ำพริกเสฉวนลงไป กินแล้วปากบวมไปสองวัน แต่กลับติดใจเสียอย่างนั้น” เขาเอ่ย“คราวนี้เจ้าเติมเหล้าไป พวกเราคงเมาทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มกระมัง”

ความขบขันของพวกเขาบวกกับกลิ่นหอมดึงดูดให้คนในห้องโถงหันไปมอง ทั้งยังแอบวิพากย์วิจารณ์กันยกใหญ่

แต่สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่หม้อที่กำลังร้อนระอุ

 “เถ้าแก่” หนึ่งในสี่คนที่ออกมาจากเรือนนางฟ้าหันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อ “ขอแบบนั้นให้พวกเราหนึ่งที่”

เสี่ยวเอ้อผงะ ก่อนตอบรับ

เมื่อมีพวกเขานำทัพก็มีอีกคนหนึ่งขอตาม

“ใช่ๆ ถือเป็นเครื่องเคียงให้กินเล่น ผักหนึ่งกำ น้ำแกงหนึ่งหม้อ ไก่และเป็ดหนึ่งตัว จะสักเท่าไรกันเชียว” ปัญญาชนอีกด้านหนึ่งยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกับยกตะเกียบขึ้น “ข้าว่านะเถ้าแก่ ท่านอย่าเก็บเงินข้าเลย เรือนไท่ผิงน่ะซื่อสัตย์เหลือเกิน ไม่เก็บค่าน้ำแกงและผักด้วยซ้ำ เก็บแค่ค่าเนื้อเท่านั้น”

ของพวกนั้นราคาไม่เท่าไรจริงๆ

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันซุบซิบ ผู้ดูแลร้านที่เห็นการเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก ตากระตุกหลังจากได้ยินที่เขาพูด

จึงยิ้มพลางเดินเข้ามา

“ท่านขุนนาง ท่านบอกว่ามีที่อื่นทำสิ่งนี้หรือ” เขายิ้มถาม

“ก็ใช่น่ะสิ เรือนไท่ผิงนอกเมือง ไม่ใช่พวกเขาทำหรอก ทว่ามีลูกค้าคนหนึ่งรีบร้อนอยากจะกินข้าว ก็เลยลงมือทำเอง เรือนไท่ผิงไม่ทำ เพียงแต่ทุกคนอยากได้อะไรก็ให้สิ่งนั้น สิ่งนี้น่ะ ความสนุกมันอยู่ที่ได้ทำเอง อยากทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น อร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่าง ขอแค่สนุกเป็นพอ” ปัญญาชนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ยามฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้  หากออกไปเที่ยวเล่นในป่า เอาพื้นดินเป็นที่นั่ง มีผักกำหนึ่งกับสัตว์ที่ล่ามาได้อีกหนึ่งตัว

พร้อมเหล้าอีกหนึ่งไห” ปัญญาชนอีกคนส่ายหัว พูดพรางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ราวกับได้ทำในสิ่งที่ตนพูดไปแล้ว

“สมดั่งใจปรารถนาเหลือเกิน”

ผู้ดูแลร้านมองด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสั่งเสี่ยวเอ้อของร้าน

“ยกอาหารมาให้ลูกค้า” เขาเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้กับทุกคนแล้วพยักหน้า “ไม่เก็บเงินอยู่แล้ว ผักหนึ่งกำ น้ำแกงหนึ่งหม้อ ร้านเราให้ทุกท่านได้อยู่แล้ว หากจะเอาเนื้อดิบ ก็ต้องคิดราคาตามน้ำหนักแน่นอน”

เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่นั่งอยู่ต่างร้องออกมาว่าดี บางคนเดิมทีไม่คิดจะสั่งของสิ่งนี้ ก็พากันสั่งตาม ถึงอย่างไรก็ราคาไม่เท่าไหร่ ทว่ามีความสุขเหลือเกิน

มีความสุขเหลือเกิน

ผู้ดูแลร้านหันหลังเดินจากไป มุมปากของเขายกยิ้ม สีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ เขายืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะต้อนรับ หากเหลือบมองออกไปก็จะเห็นหอสูงใหญ่สีสันตระการตาของเรือนนางฟ้าที่ตั้งอยู่ก่อนหน้ามานานแล้ว

เขาหันกลับมาอีกครั้ง มองดูด้านในห้องโถงของตน เสี่ยวเอ้อกระฉับกระเฉงกันยิ่งนัก วางหม้อถ่านให้คนละหม้อ

ไอควันร้อนภายในโถงก่อตัวมากขึ้นตามจำนวนหม้อที่เพิ่มขึ้น

วิธีการทำนั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่หม้อหนึ่งใบกับไฟอีกหนึ่งกอง ที่สำคัญที่สุดคือราคาย่อมเยา

คนที่ไม่มีเงินสนใจเรื่องเงิน และคนที่มีเงินจะไม่นึกรังเกียจว่าตนเองมีเงินเยอะ

ไม่รู้ว่าคนแรกที่พูดเช่นนี้นั้นตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ หากไม่ตั้งใจคนผู้นั้นคงเป็นคนรักอิสระและความเรียบง่าย แต่หากตั้งใจละก็…

ดูเหมือนว่าเรือนนางฟ้าจะเจอกับขวากหนามอันแหลมคมเข้าเสียแล้ว

ผู้ดูแลร้านยกยิ้มมุมปากมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองออกไปนอกประตูอีกครั้ง มองไปที่ธงหลากสีที่ปลิวไสวอยู่บนเรือนนางฟ้า

“เฮ้อ” เขาถอนหายใจยาวราวกับกำลังพูดกับตนเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงยาวยืด “นางฟ้าไหนเลยจะดีเท่ามนุษย์ มนุษย์สุดจะสุขและไร้กังวล”

แขกที่เมาแล้วหลายคนพยุงตัวกันขึ้นก่อนจะพากันโซเซออกไป หนึ่งในนั้นได้ยินเข้าพอดีจึงมองเขาด้วยสายตาที่กำลังเมากรึ่มๆ

“เถ้าแก่ กลอนบทนี้ร้องได้ดี” เขาเอ่ย ก่อนจะท่องตามอีกหนหนึ่งพลางตบโต๊ะต้อนรับ กลิ่นเหล้าโชยหึ่ง “นางฟ้าไหนเลยจะดีเท่ามนุษย์ มนุษย์สุดจะสุขและไร้กังวล ร้องได้ดี!”

ผู้ดูแลหัวเราะออกมาพร้อมพยุงเขา

“ท่านขุนนางร้องได้ดี” เขาบอก

คนเมายิ้มออกมาอย่างเมามาย เดินโอนเอนไปมาแล้วออกจากประตูไป

“นางฟ้าไหนเลยจะดีเท่ามนุษย์… มนุษย์สุดจะสุขและไร้กังวล…”

เพลงเสียงสูงบ้างต่ำบ้างของคนขี้เมาดังไปตามท้องถนนเป็นระยะ

ฮูหยินฉินยิ้มพลางมองท่านชายฉินที่นั่งอยู่

“ชายสิบสาม วันนี้ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนหรือ” นางเอ่ย “ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิกำลังงามเลยนะ”

ท่านชายฉินมองมารดา

“ท่านแม่ ข้าอายุสิบหกแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้ว” เขายิ้มอย่างจนปัญญา “ท่านอย่าพูดเช่นนี้กับข้าสิ”

ท่านแม่ทำท่าราวกับวินาทีต่อมาจะยื่นมือมาลูบหัวตน แล้วถามว่ากินข้าวหรือยัง

ฮูหยินฉินยังคงยิ้ม

“นั่นน่ะสิ ชายสิบสามของเราโตแล้ว” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างกาย

“ท่านแม่ ข้าโตแล้ว ท่านเคยบอกว่าข้าตัดสินใจทุกเรื่องได้อย่างอิสระ” ท่านชายฉินเอ่ย “รวมถึงเรื่องงานแต่งงานของข้าด้วยใช่หรือไม่”

ฮูหยินฉินยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากแล้วลอบยิ้มตาหยีกับบรรดาสาวใช้

“แย่แล้ว มีคนฟ้องเสียแล้ว” นางหัวเราะ

สาวใช้ไม่กล้าหัวเราะตาม รู้สึกจนปัญญาไม่น้อย

“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านตั้งใจฟังที่ท่านชายสิบสามพูดเถอะเจ้าค่ะ อย่าพูดแทรกเลย” พวกนางเอ่ย

ฮูหยินหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่

“ชายสิบสาม เจ้าดูสิ ทุกคนช่วยเจ้าละ” นางหัวเราะ

ท่านชายฉินมองนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ฮูหยินหยุดยิ้ม

“แม่นางเฉิงพูดอะไรกับเจ้า ตำหนิเจ้าใช่หรือไม่” นางโน้มตัวไปข้างหน้า ถามด้วยความใคร่รู้ “บอกว่าจะไม่ให้เจ้าตอบแทนด้วยร่างกายใช่ไหม”

ท่านชายฉินกรอกตาอย่างจนปัญญา

“เรื่องนี้ยังต้องให้พูดอีกหรือ” เขาเอ่ย “ท่านแม่ หยุดเล่นได้แล้ว”

ฉินฮูหยินยิ้มพลางยืดขึ้นนั่งตัวตรง

“ชายสิบสาม ข้าอยากช่วยเจ้านี่นา” นางบอก

“ท่านแม่ ให้ข้าจัดการเองเถอะ” ท่านชายฉินเอ่ย “ตอนนี้นางกำลังโกรธอยู่ พวกเราทำเช่นนี้ เป็นการบีบบังคับนาง

นางยิ่งรู้สึกรำคาญ อีกอย่างข้ากับนางต่างไม่ได้มีใจให้กัน”

ฮูหยินฉินร้องโอ้ออกมาก ราวกับไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร

“นางมีดีขนาดนั้นเชียวหรือ เหตุใดถึงได้ดูถูกตระกูลเรา” นางเอ่ย

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าตัวข้านั้นสำคัญ หรือว่าคนอื่นไม่ดูถูกข้าคือสิ่งสำคัญ” ท่านชายฉินถาม

ฮูหยินฉินยิ้มขึ้นอีกครั้ง

“แน่นอนว่าชายสิบสามสำคัญ คนอื่นจะมองเช่นไรนั้นไม่เกี่ยวกับเรา” นางตอบ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ควรยินดีกับข้า” ท่านชายฉินบอก

“แม่ยินดีกับชายสิบสามเสมอ” ฮูหยินฉินตอบทันที

ท่านชายฉินเผยยิ้มออกมา เขามองหน้าคนเป็นแม่พลางพยักหน้า

“คนเป็นแม่เป็นเช่นนี้กันทุกคนไหมนะ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา

ฮูหยินฉินไม่ค่อยเข้าใจ

“เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น” นางถาม

ท่านชายฉินถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปนอกหน้าต่าง

“แม่ของแม่นางเฉิงผู้นั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองต้องเลี้ยงดูลูกที่สติไม่สมประกอบ ทว่าใจไม่แข็งพอที่จะให้กดน้ำนางให้ตายไปเสีย ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าพิการ แต่ไม่เคยรังเกียจและทอดทิ้ง” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “คงมีในเพียงสายตาของท่านแม่เท่านั้น คนไม่สมประกอบอย่างพวกข้าถึงมีค่าดั่งสมบัติ”

ฮูหยินฉินแสบจมูก น้ำตาแทบไหลออกมา

“แน่นอนอยู่แล้ว” นางยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง “ลูกที่ข้าเลี้ยงดูมา ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของโลกใบนี้”

พูดจบก็ถอนหายใจอีกครั้ง พลางมองท่านชายฉิน

“เอาละ ข้าไม่ถือโทษแม่นางเฉิงผู้นั้นแล้ว เจ้าไม่ต้องช่วยทำให้นางดูน่าสงสารแล้ว” นางเอ่ย

“ลูกพูดจากใจจริง” ท่านชายฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“คำพูดจากใจจริง ก็ใช่ว่าจะพูดอย่างไร้จุดมุ่งหมาย” ฮูหยินฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกแม่ เจ้าสนทนาธรรมกับแม่ตั้งแต่อายุสามขวบ ในวันนี้เจ้าอายุสิบหกปีแล้ว แม่ต้องฝึกปรืออีกขั้นหนึ่งแล้วสิ”

ท่านชายฉินหัวเราะ เหล่าสาวใช้ก็หัวเราะกันอย่างไม่ปิดบัง

“จะว่าไปแล้ว นางไม่ตอบตกลงหรือ” ฮูหยินฉินถาม

“ลูกถึงบอกให้ท่านแม่ยินดีกับข้าอย่างไรเล่า” ท่านชายฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“แม่นางเฉิงหน้าตาน่าเกลียดจนเจ้ายอมไม่รักษาขา ดีกว่าอยู่กับนางไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินฉินยิ้มพลางถาม

“ท่านแม่ อย่านอกเรื่อง” ท่านชายฉินพูดอย่างจนปัญญา

ฮูหยินฉินหัวเราะคิกคักแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

“หมอไม่รักษาตัวเอง” ท่านชายฉินเอ่ย “หากนางตอบตกลงแต่งงานกับข้า ก็เท่ากับว่านางจะไม่รักษาให้ข้าแล้ว”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” ฮูหยินฉินส่ายหัวถาม

“เพราะการแต่งงานไม่ใช่การบีบบังคับให้นางทำดีด้วย” ท่านชายฉินตอบ “เพราะต้องแต่งงานกับนาง นางถึงจะรักษาขาให้ข้า นี่คือการบีบบังคับในสายตาของข้า ข้าแต่งงานกับนางเพราะจะรักษาขา นี่ก็คือการบีบบังคับในสายตาของนางเช่นกัน

พอนางรักษาจนหายดีแล้ว พวกเราก็คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่พอนางไม่รักษา กลับกลายเป็นความแค้น ไม่ว่าจะรักษาให้หายดีได้หรือไม่ก็ตาม พวกเราสองสามีภรรยาต่างมีความบาดหมางต่อกัน เราเป็นคู่เวรคู่กรรม ครอบครัวย่อมไม่ราบรื่น เช่นนี้ยังมีเรื่องอะไรให้น่ายินดีหรือ”

ฮูหยินฉินกับบรรดาสาวใช้ต่างชะงักไป ก่อนจะหันมาสบตากัน

“เช่นนี้นี่เอง” นางเอ่ย คิดอะไรในหัวก่อนจะพยักหน้า

“ตอนนี้นางไม่ตอบตกลงที่จะแต่งงาน ข้าก็ยังมีโอกาสรับการรักษา” ท่านชายฉินยิ้มแล้วพูดต่อ “ใช้ความรู้สึกสัมผัสหัวใจ หรืออาจจะใช้หลักการเพื่อให้เข้าใจกัน นางรักษาคนไข้ ข้าตอบแทนด้วยการจ่ายเงิน มีบุญคุณ ได้รับผลประโยชน์ สำหรับข้าและนางแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดหรอกหรือ”

ฮูหยินฉินพยักหน้าก่อนจะตอบรับด้วยคำว่า อ๋อ อีกครั้งในทันที

“เช่นนั้นก็ช่างเรื่องแต่งงานเถิด” นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาแล้วหันไปมองสาวใช้ “ให้คนไปบอกตระกูลโจว อย่างแรกเรื่องมันฉุกละหุกเกินไป จึงได้ให้พระอาจารย์หมิงไห่ดูให้ เขาบอกว่าชายสิบสามไม่เหมาะที่จะแต่งงานเร็ว ไม่กล้ารบกวนเวลาของแม่นางเฉิง เอาไว้ว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”

สาวใช้ขานรับ

ท่านชายฉินยิ้มขอบคุณก่อนจะขอตัวกลับไป เมื่อเดินมาถึงประตู ฮูหยินฉินก็เรียกเขาอีกครั้ง

“ชายสิบสาม เจ้าเล่นพูดอ้อมค้อมเสียขนาดนี้ แม่เกือบหลงกลเจ้าแล้ว” นางยิ้มพลางเอ่ย “ที่จริงแล้วแม่นางเฉิงผู้นั้นไม่ได้ถูกใจเจ้าใช่หรือไม่”

……………………………………………………………….