เรือนของเฉิงเจียวเหนียง ณ สะพานอวี้ไต้

ภายในห้อง แม่นางเฉินสิบแปดวางพู่กันลง เหม่อไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันหน้าไปมองหญิงสาวที่มักสวมชุดสีพื้นอยู่เสมอ กำลังบรรจงเขียนหนังสืออย่างเชื่องช้า

นางลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่เริ่มเขียน

นางแสร้งทำเป็นมองตัวอักษรตรงหน้า นั่งอย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งเฉิงเจียวเหนียงเขียนเสร็จและวางพู่กันลง

ยามฤดูใบไม้ผลิ ประตูเรือนเปิดออกกว้าง หญิงสาวทั้งสองพูดคุยกัน ดื่มชาพลางมองดูทิวทัศน์ในสวน หากจะพูดให้ถูกแม่นางเฉินสิบแปดเป็นคนพูดเสียมากกว่า ส่วนเฉิงเจียวเหนียงเป็นคนตอบ

“ช่วงนี้อากาศก็ดีวันดีคืน ดอกไม้ก็บานมากขึ้นทุกวัน ชมรมกลอนในเมืองหลวงก็เริ่มรวมตัวแล้ว แม่นางสนใจไปเล่นสนุกด้วยกันหรือไม่” แม่นางเฉินสิบแปดถาม

เฉิงเจียวเหนียวส่ายหัว

“ข้าแต่งกลอนไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องชื่นชมกลอนอย่างไร แล้วก็ไม่ชอบพูดด้วย” นางเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดวางถ้วยชาลง

“ไม่ไปก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้สนุกสักเท่าไหร่หรอก” นางเอ่ย “ปากบอกว่ามาแต่งกลอน ชื่นชมบทกวี สุดท้ายก็มาอวดเสื้อผ้าอาภรณ์ อวดร่ำอวดรวย พูดคุยเรื่อยเปื่อยทั้งนั้น”

ยิ่งไปกว่านั้นนางพอจะรู้ว่าช่วงนี้ตนเองต้องตกเป็นหัวข้อสนทนาขบขันของเหล่าหญิงสาวในชมรมอย่างแน่นอน

ถูกยิงธนูใส่อย่างไม่มีเหตุผล ตัวเองไม่ตกใจ แต่กลับกลายเป็นคนยิงธนูที่ตกใจแทนเพียงเพราะแค่ยกม่านรถขึ้นแล้วเห็นนาง

ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องตลกอีกมากมายมาล้อเลียนนาง

เมื่อเห็นแม่นางเฉินสิบแปดทึ้งเสื้อตัวเองจนแทบขาด สาวใช้จำต้องเอนตัวเข้ามาใกล้เฉิงเจียวเหนียง

“แม่นางสิบแปด เหมือนจะมีเรื่องอะไรในใจนะเจ้าคะ” นางเอ่ยกระซิบ

“ผู้ใดเล่าจะไม่มีเรื่องอะไรในใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอี้ยวตัวตอบกลับเสียงแผ่วเบา

สาวใช้กลั้นยิ้ม

“นายหญิง มีไหมเจ้าคะ” นางกระซิบถาม

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตอบ

สาวใช้กังวลเล็กน้อย ล้ำเส้นไปหรือเปล่านะ หรือว่าไม่ควรล้อเล่นกับนายหญิงเรื่องนี้…

“ไม่มี” เฉิงเจียวเหนียงหันมาตอบอย่างจริงจัง

สาวใช้ไม่รู้ว่าควรยิ้มดีหรือไม่

“เพราะ ข้าไม่มีหัวใจ” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ

สาวใช้ผงะ ปั้นฉินที่กำลังเก็บของอยู่อีกด้านหนึ่งก็ชะงักไป ก่อนจะมองมาที่เฉิงเจียวเหนียง

หญิงสาวผู้นี้นั่งตัวตรง สีหน้าไร้ความรู้สึก สายตามองออกไปนอกประตูราวกับมองอะไรอยู่ แต่ก็เหมือนกับไม่มีสิ่งใดอยู่ในสายตาเลยสักนิด

ไม่มีหัวใจ

สติไม่สมประกอบมาสิบกว่าปี ไม่มีร่องรอยของความทรงจำในอดีตทิ้งไว้ในใจนางเลย

นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร รู้จักหรือไม่รู้จักผู้ใด มีความสุขหรือมีทุกข์ ต่างไม่เหลือร่องรอยใดๆ แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้  เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับนาง ต่างก็เป็นเพียงเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น

ไม่เคยมีเรื่องในใจมาก่อน

ปั้นฉินก้มหน้าพลางยกแขนเสื้อขึ้นแสร้งทำเป็นเช็ดเหงื่อ ทั้งที่จริงเช็ดน้ำตา

แม่นางเฉินสิบแปดได้สติ รู้สึกตัวเองเสียกริยาไปจึงไม่สบายใจ นางมองเฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้นั่งกันเงียบ เฉิงเจียวเปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมือ เมื่อได้เห็นว่านางได้สติแล้ว ทั้งสองคนก็หันมามอง แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะซักไซ้หรือคาดเดาอะไร

“ข้าควรกลับแล้ว” แม่นางเฉินสิบแปดรีบเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ไว้พรุ่งนี้เจอกันใหม่”

เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้นาง

“อันที่จริงหากเจ้ามีธุระ ก็ไม่จำเป็นต้องมา” นางบอก

แม่นางเฉินสิบแปดมองนาง สีหน้าเป็นกังวล

“มีธุระก็คือมีธุระ ไม่ต้องทำราวกับทุกอย่างยังเหมือนเดิม” เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปก่อน

แม่นางเฉินสิบแปดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตามออกไป

“เรื่องภายนอกวุ่นวายเหลือเกิน” เฉิงเจียวเหนียงหยุดอยู่ตรงทางเดิน นางหันกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แล้วเหตุใดยังต้องฝืนตัวเองอีก”

เวลานั้นเองสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิผ่านพัด ดอกอิงฮวาหน้าระเบียงทางเดินกำลังผลิบาน กลีบดอกร่วงหล่นตามแรงลมราวกับสายฝนโปรยปรายบนพื้น

แม่นางเฉินสิบแปดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่อยู่ ก่อนจะตามไป

แขกผู้มาเยือนทำตามเจ้าของบ้าน ทั้งสองสวมเพียงถุงเท้ายามอยู่ในเรือน ถุงเท้าขาวภายใต้ชายกระโปรงพลิ้วย่ำลงบนกลีบดอกไม้ยามก้าวเดินตามกันไป

“แม้ใครต่อใครต่างพูดว่า ใครจะรักจะชังก็ช่าง อย่าได้สนใจ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยก่อนจะถอนหายใจ “ข้าไม่สบายใจ แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าข้าไม่สบายใจ จึงต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรให้พวกนางเห็น”

เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเพียงแค่ ‘อืม’ นางไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงบันได

แม่นางเฉินสิบแปดไม่ต้องการคำตอบของนาง คำว่า ‘อืม’ เพียงคำเดียวปลดปล่อยความอัดอั้นที่นางสั่งสมออกมา

“แม่นางคงไม่รู้ว่าเมื่อวานข้าโกรธแทบตาย” นางเอ่ย

สาวใช้ถอยไปอย่างรู้งาน ปลีกตัวออกจากบทสนทนาของทั้งสอง

แม่นางเฉินสิบแปดเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานด้วยความอัดอั้น

“แม่นางคิดดู เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้า ข้าควรทำอย่างไรดี” นางถามด้วยอารมณ์คุกรุ่น

เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองนาง มุมปากยกยิ้มบาง

“ข้าป่วย” นางพูดขึ้น

แม่นางเฉินสิบแปดชะงักไป

“ข้าหัวเราะไม่ได้ เจ้าช่วยยิ้มแทนที” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดไม่ค่อยเข้าใจนัก ให้นางยิ้มอย่างนั้นหรือ

นางฉีกยิ้ม

“ฮ่า ฮ่า ” เฉิงเจียวเหนียงพูดกับนาง

แม่นางเฉินสิบแปดกลั้นขำไม่อยู่

“ฮ่า ฮ่า ” นางเอ่ยก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“เจ้าดูสิ เท่านี้เอง” นางบอก

แม่นางเฉินสิบแปดชะงัก

“คนอื่นคิดเช่นไรก็ช่างเขา เจ้าคิดอย่างไรต่างหากที่สำคัญ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เพียงเจ้าหัวเราะ เรื่องก็จบเพียงเท่านั้น”

นางพูดจบก็หันตัวกลับไป

“เรื่องก็มีเท่านี้เองนี่นา”

แม่นางเฉินสิบแปดที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ

“หากคิดดูดีๆ ก็ช่างน่าขันเสียจริง! จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาเสียอย่างนั้น!” นางเอ่ยพลางยิ้มพร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าแล้วหัวเราะออกมา

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกระเด้งตัวขึ้น

“ผู้ใดมากัน” เขาถาม

“อำมาตย์เฉิน เฉินเซ่าพะยะค่ะ” ขันทีตอบ

“ไทเฮา ข้านึกขึ้นได้ว่าข้ามีธุระ เกือบลืมไปเลย ข้าขอตัวก่อน ไว้วันหลังข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาอีก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วคำนับ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างรีบร้อน

ไทเฮาไม่ทันได้พูดแต่แม้คำเดียว นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเผลอยิ้มออกมาในทันที

“เจ้าดูสิ ทำเอาเขาตกใจหมด” นางเอ่ยกับนางกำนัล “หากไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องรู้สึกผิด เด็กคนนี้นี่ ไม่เป็นงานเอาเสียเลย”

นางกำนัลยิ้มตาม

“จวิ้นอ๋องช่างซนนัก ใต้เท้าเฉินคงมาเอาเรื่องใช่ไหม” นางเอ่ย

ไทเฮาเม้มปากพลางยิ้ม นางมองขันทีพลางยื่นมือออไป

“รายงานเพคะ” นางเอ่ย

เฉินเซ่าคุกเข่าก้มหน้าอยู่ภายในตำหนัก ความโกรธบนใบหน้ายากจะปิดบัง

ขันทีคนหนึ่งค่อยๆ คุกเข่าลงห่างจากด้านหลังของไทเฮาเพียงไม่กี่ก้าว ในมือของเขาถือคันธนูอยู่

ขุนนางฝ่ายนอกไม่อาจพกอาวุธเข้ามาในวังได้ ยิ่งวังชั้นในยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่ถึงหน้าประตูวังธนูคันนี้ก็ถูกส่งมอบให้แก่องครักษ์แล้ว เมื่อทำการตรวจสอบเสร็จจึงได้นำเข้ามา

ขันทีไม่กล้าเข้าใกล้ไทเฮามากนัก

“ข้าเคยใช้สิ่งนี้เล่นปาลูกดอกลงไหตอนเป็นเด็ก ” ไทเฮาเอ่ย พร้อมกับมองธนูพลางยิ้ม

“ไทเฮา!” เฉินเซ่าขัดจังหวะระหว่างที่นางพูด “สิ่งนี้เป็นของที่ใช้เเฉพาะในวัง แต่กลับปักอยู่ที่รถม้าตระกูลข้า”

ไทเฮาอมยิ้ม

“เอาละ ใต้เท้าเฉิน ข้าชดใช้ให้เจ้าก็สิ้นเรื่อง เด็กมันซนน่ะ เจ้าอย่าคิดมากเลย” นางบอก

“ไทเฮาขอรับ จิ้นอันจวิ้นอ๋องบรรลุนิติภาวะแล้ว ยามองค์ชายบรรลุนิติภาวะแล้วก็ต้องย้ายออกไปนอกวัง ยิ่งเป็นจวิ้นอ๋องด้วยแล้ว เหตุใดท่านถึงยังให้เขาอยู่ในวังอีก” เฉินเซ่าเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม

ไทเฮาหน้าตึงขึ้นมาทันใด

ขันทีและนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพากันก้มหน้าไม่กล้าพูดจา

เรื่องที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องต้องย้ายออกจากวังไม่เพิ่งถูกพูดถึงเป็นครั้งแรก เมื่อหลายปีก่อนก็มีสาส์นจากหออาลักษณ์หลวงมาแล้วครั้งหนึ่ง ไทเฮากริ้วเสียจนจะเอาผิดให้ได้ แต่สุดท้ายฮ่องเต้ออกมารับหน้าไว้ เรื่องจึงจบลงอย่าไม่มีผลสรุป

สองปีที่ผ่านมาไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ทว่าช่วงนี้กลับเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์อีกแล้ว

“เรื่องนี้เป็นเรื่องในตระกูลข้า คนนอกไม่ต้องแสดงความเห็น” ไทเฮาเอ่ยอย่างเย็นชา

“เรื่องของราชสำนักไม่ใช่เรื่องในตระกูล ล้วนแต่เป็นเรื่องของแผ่นดินทั้งสิ้น” เฉินเซ่าก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งอยู่ที่ตำหนัก มือกำลังโยนไข่มุกเล่นไปมา มุมปากเผยรอยยิ้มบาง

“หลังจากนั้นเล่า” เขาถาม

“หลังจากนั้นไทเฮากริ้วมาก แต่ใต้เท้าเฉินยังไม่จบ ตำหนิไทเฮาว่าหลงผิด” ขันทีคนหนึ่งก้มหน้าพลางเอ่ย

“พูดเช่นนั้นก็เกินไป” จิ้นอั้นจวิ้นอ๋องหัวเราะแล้วนั่งขัดสมาธิ “แล้วอย่างไรต่อ”

“ใต้เท้าเฉินกลับไปอย่างโกรธเคือง” ขันทีเอ่ย “ไทเฮาก็กำลังกริ้วเช่นกัน กำลังสั่งให้คนไปตามฮ่องเต้มา”

“ใต้เท้าเฉินก็จริงๆ เลย ข้าแค่เพียงไม่ได้ระวังเท่านั้น เหตุใดถึงโกรธกันเพียงนี้เลย ถึงกับต้องไล่ข้าออกไปเชียวหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ภายในห้องเงียบไปชั่วครู่

“พอฝ่าบาทมา ข้าไม่กล้าฟังแล้ว” ขันทีเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าทำถูกต้องแล้ว สิ่งใดควรฟังก็ฟัง สิ่งใดไม่ควรฟังก็อย่าฟัง ไม่ฟังตอนนี้ก็เพื่อที่จะได้ฟังในภายหน้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ยพลางโบกมือ

ขันทีโค้งตัวคำนับก่อนจะถอยออกไป

ทันใดนั้นขันทีที่อยู่ด้านข้างจึงรีบเดินออกมา

“จวิ้นอ๋อง ท่านตั้งใจทำให้ไทเฮาทราบเรื่องนี้ ใต้เท้าเฉินโมโหขนาดนี้ ก็เพื่อรักษาหน้าของแม่นางในตระกูลเฉิน

 หากไทเฮาสั่งให้แต่งงานจะทำอย่างไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปนกังวลเล็กน้อย

จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักมือ ปล่อยไข่มุกให้ร่วงกระจายเต็มพื้น

“นางทำไม่ลงหรอก” เขาเอ่ยออกมาช้าๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะหยิบไข่มุกที่ตกอยู่ที่พื้นโยนขึ้นอีกครั้ง

“ทำไม่ลงหรอก! พวกเขาจะยอมได้อย่างไร!”

ณ วังไทเฮา เมื่อได้ยินฮ่องเต้กล่าว ไทเฮาก็เอาแต่ส่ายหน้า

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ย

“ข้าคิดว่าเหว่ยหลังก็อายุไม่น้อยแล้ว ตระกูลของใต้เท้าเฉินก็เหมาะสม เช่นนั้นแล้ว…” ฮ่องเต้เอ่ย

ใบหน้าของฮ่องเต้ซูบผอมดูอ่อนแรงไปมาก แต่สติปัญญายังดีอยู่

“ชายสี่” ไทเฮาอยากจะพูดแต่ก็หยุดลง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา “ร่างกายของเด็กคนนี้เป็นของมงคล หากเสียหายไป เช่นนั้น… ไม่ดี…”

ฮ่องเต้ผงะ เข้าใจคำพูดของไทเฮาทันที สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“แต่ว่า” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “อย่างไรเสียจะให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวคงไม่ได้กระมัง”

“ข้าไม่ใช่คนไร้ความรู้สึก เพียงแต่ให้เขาอยู่นานกว่านี้หน่อย” ไทเฮาเอ่ย “รอให้ชายใหญ่แต่งงานมีลูก…”

ฮ่องเต้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“เช่นนั้นต้องรออีกกี่ปี” เขาถาม

“ก็แค่ห้าหกปีเท่านั้นเอง” ไทเฮาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ลูกหลานผู้ชายตระกูลข้า แต่งงานช้าก็มีถมเถไป ตอนนั้นหลู่อ๋องก็เพิ่งจะแต่งงานตอนอายุสามสิบ แต่ก็มีลูกหลานเต็มบ้าน ไม่ได้ยากลำบากอะไร”

เป็นเพราะหลู่อ๋องป่วยต่างหากถึงได้แต่งงานช้า เรื่องนี้จะเอามาเทียบกันไม่ได้

ฮ่องเต้ยิ้มเจื่อน แต่ในฐานะคนที่ได้ประโยชน์โดยตรง อีกทั้งเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเชื่อในเรื่องไร้สาระของเด็กชายคนนี้

“เช่นนั้น ถึงตอนนั้นก็เลือกคนดีๆ ให้เหว่ยหลังด้วย” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด

ไทเฮาเผยรอยยิ้ม

“แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็คือคนที่ข้าเลี้ยงมากับมือ” นางยิ้มได้ไม่นานหุบยิ้มลงทันใด “แต่เฉินเซ่านั้นร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

หากเป็นเรื่องราชการบ้านเมืองแล้ว แม้ฮ่องเต้จะกตัญญู แต่ก็ไม่ถึงขั้นเชื่อฟังวังหลังไปเสียทุกอย่าง ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มออกมา

“เหว่ยหลังก็ซนเช่นกัน” เขาเอ่ย “ไม่แปลกที่ใต้เท้าเฉินจะโมโห หลังจากนี้ท่านแม่ช่วยหาของปลอบขวัญลูกสาวตระกูลเฉินด้วย”

ไทเฮาส่งเสียงไม่พอใจ

“ขุนนางปากดีพวกนี้ เวลาไม่พอใจอะไรก็สามหาวชี้หน้าด่าข้า ด่าเสร็จไพร่ฟ้าทั่วหล้าก็ยังชื่นชม ข้าไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนเช่นนั้น วันดีคืนดีคงมาเหยียบย่ำเกียรติยศศักดิ์ศรีของข้าเอา” นางเอ่ย “ลูกสาวของตระกูลเขาอยากแต่งงานกับใครก็แต่งไป แต่ถ้าจะแต่งเข้าตระกูลเรา ก็ฝันไปเสียเถอะ”

นางคงไม่อยากแต่งเช่นกัน

ฮ่องเต้คิดในใจพลางยิ้ม

ขุนนางยศใหญ่และเหล่าตระกูลชั้นสูงหยิ่งยโสกันจะตายไป ทำทีราวกับว่าหากแต่งงานกับราชสกุล อนาคตของตระกูลพวกเขาจะพังพินาศอย่างนั้น มีคนมากมายอยากแต่งงานกับราชสกุล เขาไม่เลือกตระกูลมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นขุนนางใหญ่เช่นนั้นหรอก เพราะเดี๋ยวจะเสียหน้าเอาน่ะสิ

……………………………………………………………….