ทุกคนบนโลกนี้ล้วนแต่กังวลเรื่องการแต่งงานนั้น ไม่ว่าจะสูงศักดิ์เช่นโอรสสวรรค์ก็มีความกลัดกลุ้มของตัวเอง

หรือคนธรรมดาสามัญก็มีเรื่องอัดอั้นเช่นกัน

เมื่อสาวใช้ทั้งสองของตระกูลฉินเอ่ยลา  ความโกรธของฮูหยินโจวที่อดกลั้นไว้ก็ทะลักออกมา เหมือนน้ำชาที่กำลังกระฉอกออกมาจากแก้วในตอนนี้

“ตระกูลฉินกำลังเล่นอะไรอยู่” นางตะโกนกล่าว

“ท่านแม่” ท่านชายโจวหกเดินเข้ามาจากด้านนอก ก่อนจะคุกเข่าคำนับ

เขารออยู่ข้างนอกมาโดยตลอด จนกระทั่งเห็นคนของตระกูลฉินออกไปแล้วจึงได้รีบเข้ามา

“นี่เป็นความต้องการของท่านชายฉิน ไม่ใช่เพราะฮูหยินฉินผิดคำมั่นสัญญา” เขาบอก

ฮูหยินโจวถลึงตาใส่ท่านชายโจวหกด้วยความโมโหครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติ

“เจ้า เจ้ามันไม่ได้เรื่อง!” นางตะโกนด่า นั่งตัวตรงชี้ท่านชายโจวหก “เจ้าคิดว่าตระกูลฉินไม่แต่งกับนาง แล้วเจ้าจะได้แต่งกับนางหรืออย่างไร ฝันไปเถอะ!”

ท่านชายโจวหกหน้าแดง

“ข้าไม่ได้คิดจะแต่งงานกับนาง” เขาเอ่ย “ท่านแม่ นางไม่เหมาะกับตระกูลฉิน”

ฮูหยินโจวถ่มน้ำลาย

“ข้าเป็นคนคลอดเจ้ามา คิดว่าจะปกปิดความคิดจากข้าไปได้หรือ” นางตำหนิ “นางไม่เหมาะสมกับเจ้าเป๋ตระกูลฉิน

แต่เหมาะสมกับเจ้าใช่หรือไม่”

ท่านชายโจวหกลุกขึ้น

“ท่านแม่ ท่านอย่าเอาแต่พูดว่าเจ้าเป๋เช่นนั้น!” เขาตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้

ฮูหยินโจวมองเขา ยกมือขึ้นมากุมอก

“ดูสิดู ” นางเอ่ย “ตอนนี้เริ่มเถียงข้าแล้วสิ เพื่อนางแพศยาคนนั้น!”

“ท่านแม่ ตระกูลฉินคิดเพียงแค่ว่า หากจะให้นางรักษาชายสิบสาม เช่นนั้นจึงแต่งเข้าตระกูลฉินไม่ได้ ตระกูลฉินไม่ได้หมายความเป็นอื่น ท่านอย่าคิดมากเลย” ท่านชายโจวหกลุกขึ้นพูด พูดจบก็สาวเท้ายาวก้าวออกไป

ฮูหยินโจวโกรธจนพาลน้ำตาไหล

“เช่นนั้นข้ายังต้องไปเจียงโจวอยู่หรือไหม”

นายใหญ่โจวได้ข่าวก็รีบกลับมา เขาฟังฮูหยินโจวพูดไปร้องไห้ไป ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ไปสิ ทำไมจะไม่ไป ช้าหรือเร็วก็ต้องทำอยู่ดี ครั้งนี้ไม่ได้ตระกูลฉิน แต่ก็ยังมีตระกูลอื่น ข้าจะต้องให้นางแต่งออกไปให้จงได้!” ฮูหยินโจวเอ่ย

ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมาอย่างกะทันหัน ผู้คนบนท้องถนนพากันเร่งฝีเท้า

คนสามสี่คนยืนยื้อกันอยู่ที่หน้าเรือนนางฟ้า

“มาๆ ฝนตกก็ต้องมากินที่นี่ ดีที่สุดแล้ว” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

ทว่ากลับถูกอีกคนหนึ่งรั้งไว้

“ที่นี่ไม่เห็นน่าสนใจเลย แพงอีกต่างหาก ข้าจะพาเจ้าไปกินที่ที่ดีกว่า” เขายิ้มเอ่ย

“แต่ว่านางฟ้าผ่านทางอร่อยนะ” คนก่อนหน้าเอ่ยอย่างลังเล

“สุขใจไร้กังวลเหมือนกับนางฟ้าผ่านทาง แต่ว่าอร่อยกว่า” ชายผู้นั้นพูดแล้วรั้งอีกสองคนไม่ให้เข้าไป “ไปกัน เจ้าจะไปดูนางโลมคนใหม่ที่หอเต๋อเซิ่งด้วยไม่ใช่หรือ เรือนนางฟ้าน่ะ มีเพียงนางฟ้าผ่านทางเท่านั้น ไม่มีนางโลม”

คำพูดเช่นนี้ เรือนนางฟ้าได้ยินบ่อยขึ้นทุกวัน เสี่ยวเอ้อที่เดิมทีออกมาต้อนรับลูกค้าหันมองหน้ากัน หลังจากที่คนกลุ่มนั้นเดินจากไป

“รีบไปบอกผู้ดูแลร้านเร็วเข้า” หนึ่งในนั้นเอ่ย ก่อนจะหันหลังกลับวิ่งเข้าไป

เสียงสิ่งของแตกละเอียดดังก้องออกมาจากห้องหนึ่งในเรือนนางฟ้า

“ไปดูมาเดี๋ยวนี้ ว่าตกลงสุขใจไร้กังวลมันคืออะไรกันแน่!” โต้วชีตะโกน ใบหน้าที่ทาแป้งบางเริ่มซีดเผือด ดอกไม้ที่ปักบนหัวก็สั่นไหวไม่หยุด

เฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา จินเกอร์ที่เพิ่งรู้ข่าวก็วิ่งเข้ามาหาอย่างมีความสุข

“นายหญิงจะพาพวกเราไปเดินซื้อของหรือ” เขาถาม

เฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกไปข้างนอก นี่คือเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่ฮูหยินเฉินส่งมาให้ กระโปรงสีแดงชาด เสื้อลายดอกไห่ถังสีทอง แม้จะรู้ว่าหญิงผู้นี้ชอบเสื้อผ้าสีเรียบ แต่ในฐานะผู้อาวุโส นางรู้สึกว่าหญิงสาวควรแต่งกายด้วยสีสดใส จึงจัดหาเสื้อผ้าที่ผสมผสานสีสันสดใสภายนอกและความเรียบง่ายไว้ภายใน

เพราะต้องออกจากบ้าน นางจึงม้วนผมขึ้นโดยใช้หวีสีเงินอันเดียวดังเช่นเคย

สาวใช้เดินออกมาจากด้านหลัง สวมหมวกคลุมหน้าให้เฉิงเจียวเหนียง

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไม่อยากไปหรือ หรือกลัวว่าจะหลงอีก” นางเอ่ยพลางยิ้ม

หนุ่มน้อยไม่พอใจกับคำหยอกล้อของสาวใช้ จินเกอร์ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา

“พี่ปั้นฉิน ข้าไม่กลัวที่ท่านพูดหรอก” เขาเอ่ยพร้อมกับเปิดประตูออกไปอย่างดีใจ

เฉิงเจียวเหนียงเดินออกไป สาวใช้เดินตาม เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้จึงหันหลังกลับมาอีกครั้ง

ปั้นฉินที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินทำท่าจะถอยเข้าไป

“ปั้นฉิน รีบมาสิ” สาวใช้ยิ้มพลางกวักมือเรียกนาง

คงไม่มีผู้ใดตะโกนเรียกชื่อตนเองเช่นนั้นหรอก ดังนั้นการที่นางเรียกปั้นฉิน จึงทำให้ทุกคนรู้ว่านางเรียกใคร

ปั้นฉินส่ายหัวอย่างกังวล

“ขะ ข้าเฝ้าบ้านก็แล้วกัน” นางเอ่ย

“เฝ้าอะไรเล่า เทศกาลเช็งเม้งคึกคักเช่นนี้ หากมีโจรเข้าบ้าน คนของศาลาว่าการก็สมควรตายแล้วล่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย เดินเข้าไปดึงนางให้ตามมา “ไป ไป นายหญิงอุตส่าห์พาเราออกไปเที่ยวนะ ให้เกียรตินายหญิงหน่อยสิ”

ปั้นฉินรู้สึกไม่ดีแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงตามสาวใช้ไปอย่างหวาดกลัว

“ข้านำทาง ปั้นฉินเจ้าพยุงนายหญิง” สาวใช้เอ่ย ไม่รอให้ปั้นฉินเอ่ยอะไร ตนเองก็ชี้ไปข้างนอกประตู “ตำแหน่งของบ้านเราดี ออกไปจากตรงนี้ ก็คือตลาดที่คึกคักที่สุดแล้ว…”

ปั้นฉินลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงตามสาวใช้ออกไปข้างนอกก็รีบตามไป

จินเกอร์ที่อยู่คนสุดท้ายปิดประตูอย่างอารมณ์ดี

มาถึงเมืองหลวงก็หลายเดือนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นายบ่าวออกมาเดินเที่ยวด้วยกัน

ท้องถนนยามฤดูใบไม้ผลิมีผู้คนมากขึ้นทุกที ดอกไม้ที่บานสะพรั่งชวนให้ชายหนุ่มหญิงสาว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ออกมาชื่นชมดอกไม้มากขึ้นเรื่อยๆ บนถนนมีร้านค้าเรียงราย เสียงตะโกนเชื้อเชิญดังขึ้นไม่หยุด

“…อุโมงค์นี้ทะลุไปถึงนอกเมืองเลยนะ” สาวใช้เอ่ยพลางชี้ไปที่อุโมงค์หินด้านล่าง “ได้ยินมาว่าในนั้นมีแมลงตัวใหญ่ตัวหนึ่งละ”

จินเกอร์ที่กำลังมีความสุขกับผลไม้ในมือ ได้ยินก็หัวเราะออกมา

“พี่ปั้นฉินหลอกข้าอีกแล้วหรือ” เขาเอ่ย “แมลงตัวใหญ่อยู่ในภูเขา จะมาอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร”

“ไม่ได้หลอกเจ้านะ” ปั้นฉินที่ยืนประชิดกับเฉิงเจียวเหนียวโดยไม่รู้ตัว เผลอพูดออกมา “ข้าได้ยินคนเขาพูดมา เคยมี

จริงๆ …”

จินเกอร์ สาวใช้และเฉิงเจียวเหนียงหันไปมองนาง

ยามสายตามากมายมองมา ปั้นฉินก็ได้สติฉับพลัน สีหน้าเป็นกังวลอยู่ครู่หนึ่ง

ได้ยินคนเขาพูดมาน่ะ …

ตอนนั้นนางเพิ่งมาถึงเมืองหลวงในฐานะสาวใช้คนโปรดของท่านชายโจวหก ทั้งนายทั้งบ่าวต่างเอาอกเอาใจนาง

นางมักถูกคนพาไปเดินเที่ยว พาไปดูทิวทัศน์เลื่องชื่อของเมืองหลวง ได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ ตามท้องตลาด

แต่ทว่าตอนนั้น นางกลับไม่มีความสุข

ปั้นฉินก้มหน้า จมูกเริ่มรู้สึกแสบแปลบๆ ขึ้นมา

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ข้าแค่ได้ยินมา แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นมาอย่างไร” สาวใช้ยิ้ม พร้อมกับยื่นมือออกไปเขย่าไหล่ของปั้นฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น “เอาสิพี่ รีบเล่ามาเลย”

ปั้นฉินลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้า

“ได้ยินมาว่ามีเศรษฐีตระกูลหนึ่งจับมันมาเลี้ยง หลังจากนั้นมันก็หนีไป ตอนนั้นแทบพลิกเมืองหา แต่ก็หาไม่เจอ เพราะเหตุนี้จึงมีกฎห้ามออกนอกบ้านตอนกลางคืนอยู่พักหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเจ้าแมลงตัวนั้นมาอยู่ที่อุโมงค์นี้เป็นเวลาร่วมเดือนแล้ว” นางก้มหน้าพลางเอ่ย

“เช่นนั้นเจ้าแมลงกินอะไรเล่า” จินเกอร์ถามอย่างอยากรู้

“ในอุโมงค์เป็นที่แห้ง มีทั้งหนูและหมาจรจัดวิ่งพล่านไปมา หากไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นเมืองหลวงมีฝนตกหนัก ระบายน้ำออกไม่ทัน แมลงก็เลยหนีออกมาถึงได้หาเจอ ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้ว่าจะซ่อนตัวต่อไปอีกนานแค่ไหน” ปั้นฉินเอ่ย พูดถึงเพียงเท่านั้นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา

“ฮ่า สนุกจริงๆ” จินเกอร์เอ่ยอย่างดีใจ

“สนุกไหมเจ้าคะนายหญิง” สาวใช้ยิ้มพลางหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

ปั้นฉินหรี่ตาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

“อืม สนุกมาก”

ยามเสียงของหญิงสาวลอยมา ปั้นฉินก็โล่งอกอย่างไร้สาเหตุ นางเม้มปากกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

“เดินเที่ยวมาค่อนวันแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางเดินลงสะพานไป

บนสะพานผู้คนพลุกพล่าน สาวใช้และปั้นฉินพยุงนางหญิงสองข้างซ้ายขวา

“ในเมืองหลวงร้านไหนอร่อย” สาวใช้พูดพลางหันไปมองปั้นฉิน “พี่สาวเคยไปร้านไหนมาบ้าง”

คราวนี้นางถูกถามถึงประสบการณ์ของตนเองในเมืองหลวง ปั้นฉินไม่ได้มีทีท่ารู้สึกผิดเช่นเมื่อครู่แล้ว นางครุ่นคิดอย่างจริงจัง

“ข้าเคยไปแค่ชุนเฟิงตู้กับเรือนหลิ่วถัง” นางตอบ

“อ๋อ สองร้านนั้นหรือ” สาวใช้โบกมือก่อนจะเอ่ยออกมา “นางโลมหน้าร้านปลิ้นปล้อนที่สุด” หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง “นายหญิง ไม่อย่างนั้นเราไปชุนอี๋เหอไหม แม้เครื่องดื่มและสุราจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ทำเลดี อาหารก็ถือว่าใช้ได้”

พวกนางเดินพูดคุยกันจนมาถึงถนนสายหนึ่ง ริมถนนเต็มไปด้วยร้านอาหารและโรงน้ำชาเรียงราย

“ที่นี่ก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่ต้องไปร้านดีๆ หรอก”

“จริงด้วย ต่อให้ดีขนาดไหนก็ไม่เท่าเรือนไท่ผิง” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จินเกอร์และปั้นฉินต่างยิ้มตาม พวกนางเดินเข้าไปในร้านที่ใกล้ที่สุด

“เชิญทางนี้เลยแม่นาง”

เสี่ยวเอ้อต้อนรับอย่างเป็นมิตร

ร้านอาหารแสนธรรมดามีเพียงหนึ่งชั้น ไม่มีห้องรับรองอะไร มีแต่โต๊ะที่จัดอยู่ในห้องโถง ในเวลานี้มีคนนั่งอยู่เยอะพอสมควร เฉิงเจียวเหนียงและผู้ติดตามเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด

“เนื้อสัตว์สองอย่าง ผักอีกหนึ่งอย่าง ชงชามาหนึ่งถ้วย แล้วก็น้ำเปล่าหนึ่งเหยือกก็พอแล้ว” สาวใช้เอ่ย

เสี่ยวเอ้อหันไปสั่งอาหารเสียงดัง เช่นเดียวกับร้านอาหารทั่วไป ก่อนอาหารจานหลักจะมีอาหารเรียกน้ำย่อย แต่ที่แตกต่างกันคือในร้านอาหารชั้นสูง อาหารเรียกน้ำย่อยจะประณีตและใช้วัตถุดิบชั้นดี ส่วนร้านอาหารทั่วไปจะเป็นผลไม้เชื่อมแสนเรียบง่าย

แขกคนใหม่เดินเข้าประตูมา

“เจ้าของร้าน ที่นี่มีสุขใจไร้กังวลไหม”

ประโยคนี้ดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย สาวใช้ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาดู

สามคนที่นั่งลงที่โต๊ะกำลังสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อ

“มีขอรับ มีขอรับ ” เสี่ยวเอ้อหัวเราะเอ่ย “สุขใจไร้กังวลหนึ่งชุด ลูกค้าต้องการผักหรือเนื้อ น้ำแกงจืดหรือเผ็ด อาหารสิบอย่างหรือสี่อย่าง”

เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างคล่องแคล่ว ทั้งสามที่กำลังจะสั่งอาหารนิ่งชะงักไป ทว่าสาวใช้กลับเบิกตาโพลง

“สะ สะ สุขใจไร้กังวล มีหลากหลายแบบเพียงนี้เชียวหรือ” นางถามอย่างอดไม่ได้

“แน่นอน”

คนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา “ก็เพราะเรียกว่าสุขใจไร้กังวล ตนอยากกินสิ่งใดสั่งสิ่งนั้น อยากกินแบบไหนก็กินได้ตามใจ”

สาวใช้มองเฉิงเจียวเหนียง สีหน้าประหลาดใจ

ทั้งสามคนบนโต๊ะตอบกลับเสี่ยวเอ้ออย่างคล่องแคล่ว

“เอาเนื้อ แล้วก็ผักสิบอย่าง น้ำแกงจืด”

เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองโต๊ะข้างๆ

“ผักเยอะเช่นนั้น คงแพงมิใช่น้อย” นางเอ่ยถาม

เมื่อเห็นหญิงสาวรูปงามเอ่ยถาม ชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ไม่แพงหรอก ไม่แพงหรอก ผักไม่กี่กำจะราคาสักเท่าไหร่กันเชียว ข้าจะบอกอะไรให้นะแม่นาง นั่นเป็นแค่เครื่องเคียง หากใครต่อใครสั่งเพียงแค่นั้นร้านคงขาดทุนกันพอดี ทุกคนจึงสั่งเครื่องดื่มหรือว่าเหล้าเพิ่ม ไม่ก็อาหารจานหลักอีกสักหนึ่งอย่าง” เขาเอ่ยพลางยิ้ม พร้อมทั้งแสดงให้นางเห็นว่าที่ตนพูดนั้นคือความจริง จึงยกมือขึ้นแล้วตะโกนเรียกเจ้าของร้าน “ข้าขอสุขใจไร้กังวลอีกที่หนึ่ง น้ำแกงผักแบบเผ็ด ผักอีกสามอย่าง”

เขาพูดจบ จากนั้นจึงหันมามองเฉิงเจียวเหนียงอย่างพอใจ

“แม่นางอยากลองชิมไหม รสชาติดี เรียบง่าย สั่งได้ตามใจตน อร่อยกว่านางฟ้าผ่านทางอะไรนั่นอีก แม่นางรู้จักนางฟ้าผ่านทางใช่หรือไม่” เขาเอ่ย พูดจบก็ยิ้มพลางส่ายหัวไปมา “ผู้ใดก็คงรู้จักนางฟ้าผ่านทางทั้งนั้น แม่นางคงรู้จักเป็นแน่ แต่ว่าวันนี้สุขใจไร้กังวลน่าจะดังกว่าเสียแล้ว”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร นางก้มหน้าลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา

สีหน้าของสาวใช้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนตกใจ แต่ก็ดูเหมือนสุขใจ ทั้งยังดูเหมือนสะใจอีกเสียด้วย

“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะแพร่ไปเร็วเช่นนี้ แถมยัง…หลากหลายถึงเพียงนี้ ผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง” นางเอ่ยพึมพำ

เฉิงเจียวเหนียงคีบผักขึ้นมากิน

“บนโลกนี้ไม่เคยขาดคนฉลาด” นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า มุมปากยกยิ้มที่เลือนรางจนแทบมองไม่เห็น

โต้วชีหน้านิ่วเดินเข้าประตูมา ภายในห้องรับรองแสนงดงามที่ชื่อว่าสัตบงกช มีทั้งคนหนุ่มคนแก่กว่าสิบคนนั่งกันอยู่กระจัดกระจาย เมื่อเห็นโต้วชีเดินเข้ามา บ้างก็ส่งยิ้มให้ บ้างก็ทำหน้าไร้อารมณ์

“ท่านชายโต้ว มีเรื่องอันใดถึงได้เรียกพวกเรามา คนเขากำลังจะร่ำจะรวย” ชายแก่ผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

บนใบหน้าของโต้วชีไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

“ร่ำรวยอย่างนั้นรึ” เขาส่งเสียงฮึดฮัด พลางจัดแจงเสื้อผ้าแล้วนั่งคุกเข่าลง “ข้าต่างหากที่อยากจะถามท่านเถ้าแก่ทั้งหลาย ว่าเหตุใดถึงต้องขัดขวางการค้าของโต้วชีผู้นี้ด้วย!”

……………………………………………..