บทที่ 176 ตั้งแต่เมื่อไร

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

คำพูดนี้เอ่ยขึ้นมาอย่างไร้ความเกรงใจ ทว่าสีหน้าของผู้คนภายในห้องกลับไม่เปลี่ยนแปลง ที่ควรจะยิ้มก็อมยิ้ม ที่ควรจะไร้ความรู้สึกก็ยังคงไร้ความรู้สึก

“ท่านชายโต้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน” ชายชราคนเดิมเอ่ยถามพลางหัวเราะ

“คู่แข่งในแวดวงเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างเฝ้าคอยให้อีกฝ่ายตายจากไป แต่ลำพังแค่มองก็ทำให้ตายได้ เช่นนั้นคงจลาจลทั้งแผ่นดินแล้ว” อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ เขามองโต้วชีอย่างเย็นชา “ท่านชายโต้ว ทุกคนก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อย่ามาพูดอะไรน่าขันเช่นนี้เลย ค้าขายไม่ดี ต้องถามตัวเองมากกว่า อย่ามาถามพวกเรา”

เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้อง

“ท่านพี่สิบเจ็ดตระกูลเปา ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าท่านไม่ได้สาปแช่งเรายามอยู่ที่บ้าน” มีคนหยอกล้อ

“พวกเจ้าเผาตุ๊กตาฟางของตระกูลเปาก่อน ตระกูลข้าต้องย่อมเขาคืนอยู่แล้ว” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม

คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนกำลังยั่วยุท้าทาย แต่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้ผ่อนคลาย สร้างเสียงหัวเราะมากขึ้น

โต้วชีไม่ยิ้ม หน้าดำค่ำเครียดยิ่งกว่าเดิม

“ข้าหมายความว่าอย่างไร พวกเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ” เขาตะโกนเสียงดัง “ตั้งแต่โต้วชีผู้นี้เปิดร้านที่นี่ ก็ไม่เคยเลียนแบบอาหารจากร้านพวกเจ้าเลยสักครั้ง! แต่ดูพวกเจ้าสิ ทุกร้านเลียนแบบนางฟ้าผ่านทางกันหมด หมายความว่าอย่างไรกัน”

เสียงหัวเราะในห้องหยุดลง

“ท่านชายโต้ว พูดเป็นเล่นไป พวกเราไม่มีใครทำนางฟ้าผ่านทางของร้านท่านเลย” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

โต้วชีหัวเราะเสียงเย็น

“นางฟ้าไหนเลยจะดีเท่ามนุษย์ มนุษย์สุดจะสุขและไร้กังวล กินไปพลางร้องไปพลางกันให้ทั่วเมืองหลวง ข้าไม่ได้หูหนวกตาบอด ท่านทั้งหลาย นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ” เขาเอ่ย

“ท่านชายโต้ว ในเมื่อรู้ว่าเป็นเพราะสุขใจไร้กังวล เหตุใดต้องถามอีก” คนหนึ่งหยุดยิ้มก่อนจะถามเสียงเรียบ

“สุขใจไร้กังวลคืออะไร ไม่ใช่นางฟ้าผ่านทางของร้านข้าหรอกหรือ” โต้วชีถลึงตาเอ่ย เพราะโกรธจนสั่น แป้งบางส่วนบนใบหน้าจึงร่วงหล่นลงมา

“เหตุใดถึงเป็นของร้านท่านได้เล่า” อีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “หม้อเป็นของร้านท่านหรือ ไฟเป็นของร้านท่านหรือ

หรือว่าร้านท่านมีหม้อไฟ แต่ร้านอื่นมีไม่ได้ อีกอย่าง นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ราคายิ่งต่างกันเข้าไปใหญ่ ข้าไม่เคยเห็นราคานางฟ้าของร้านท่านราคาต่ำกว่าสองตำลึงเลย”

คนในห้องโถงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

“ขออธิบายให้ท่านชายโต้วเข้าใจอีกสักหน่อย ร้านเราไม่ได้ขายสุขใจไร้กังวล ท่านลองไปถามดูก็ได้ ลูกค้าเป็นคนสั่งเอง ทำอย่างไร อยากได้อะไร กินอย่างไร ต่างเป็นพวกลูกค้าที่สอนเราทำตั้งแต่แรก” ชายชราผู้หนึ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเราไม่เก็บเงินด้วยซ้ำไป เพราะราคาแค่ไม่เท่าไหร่ เถ้าแก่โต้ว ถ้าพวกเราเป็นคนคิดค้นขึ้นมาจริงๆ จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

เรื่องราวเหล่านี้โต้วชีย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว ถึงทำให้เขาทั้งโมโหและไม่เข้าใจ

“ได้ยินมาว่าอาหารประเภทนี้แรกเริ่มมาจากการหาของรองท้องของเหล่าบัณฑิตยามท่องเที่ยวในป่า ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าหนึ่งในพวกเขาอาจจะเคยกินนางฟ้าผ่านทางของท่านมาก่อน ถึงได้คิดวิธีการกินเช่นนี้ขึ้นมา แต่…” ชายชราผู้นั้นยื่นมือออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างจนปัญญา “หากท่านจะโทษพวกเรา ก็คงจะเป็นการใส่ร้ายกันจนเกินไป หากท่านโกรธจริงๆ ก็ไปหาบัณฑิตพวกนั้นเถิด”

โต้วชีกัดฟัน นี่มันไร้สาระชัดๆ !

“ท่านชายโต้ว ทุกคนต่างไม่ใช่เด็กแล้ว” ชายเย็นชาจากตระกูลเปาผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “หากลูกค้าสั่งอาหาร

แล้วจะให้เราบอกว่าไม่มีได้อย่างไร เปิดร้านทำการค้าล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก หากร้านของท่านจะเพิ่มอาหาร

ไม่ว่าจะซ้ำกับอาหารสักจานในร้านข้า เปาสิบเจ็ดผู้นี้ก็ไม่มาเอาเรื่องที่ร้านท่านหรอก อย่างมากก็แค่ทำตุ๊กตาฟางเพิ่มสักตัว”

คนในห้องหัวเราะสนั่น

“นั่นน่ะสิ นั่นน่ะสิ ร้านข้าก็เช่นกัน แต่ว่าร้านข้าคงดีกว่าท่านชายเปาสิบเจ็ดหน่อย ข้าไม่ทำคุณไสยลับหลังใคร”

“พูดถึงเรื่องนี้ ท่านชายหลิ่ว ‘สลักพระ’ อาหารใหม่ของร้านท่าน เหมือนพระกระโดดกำแพงของร้านข้าเกินไปหรือเปล่า”

“ก็ใช่น่ะสิ แล้วอย่างไร เจ้าใช้ไชเท้าแกะสลักรูปพระ แล้วร้านข้าจะทำไม่ได้หรือ”

ภายในห้องโถงวุ่นวายไปหมด มีทั้งมีคนหัวเราะชอบใจ มีทั้งคนโต้เถียงกันไปมา แต่ไม่มีผู้ใดสนใจคำถามของเขาเลยสักคน โต้วชีจึงลุกขึ้นพลางสบัดแขนเสื้อแล้วออกจากห้องได้ด้วยความเกรี้ยวกราด

เขารู้ดีว่าคุยกับคนค้าขายด้วยกันนั้นไม่ได้สาระอะไร แต่หากไม่พูดเลยก็คงได้แต่อันอั้น

“บัณฑิตอย่างนั้นหรือ” โต้วชีกัดฟัน ยกเท้าขึ้นเตะแจกันดอกไม้ริมทางเดิน “ไอ้ตัวไหนกันที่ทำลายการค้าของข้า!”

แจกันดอกไม้ร่วงลงมาจนเกิดเสียงดังเพล้ง

แต่เป็นเพราะวันนี้ห้องรับรองที่มีอยู่มากมายนั้นว่างเปล่า เสียงที่ดังขึ้นจะไม่ได้ดึงดูดให้ใครออกมาดู

โต้วชีเดินไปตามทางเดิน ท่าทางฟึดฟัด

“ไม่อย่างนั้น พวกเรามาคิดอาหารใหม่กันไหม”

ผู้ดูแลร้านเอ่ย

พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกโต้วชีแทรกขึ้นมาด้วยความโมโห

“คิดอาหารใหม่ในเวลานี้น่ะหรือ เจ้าจะไปขุดพ่อครัวมาจากไหน” เขาตะคอกถาม

ผู้ดูแลร้านหดหัว

“แต่ว่า เถ้าแก่” เขาเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “ร้านเหล่านั้น ไม่ว่าร้านเล็กร้านใหญ่ไม่ได้มีแค่อาหารใหม่ แต่ยังขายสุขใจไร้กังวลด้วย…”

เขายังพูดไม่จบ โต้วชี้ก็ปาแก้วชาใส่

“สุขใจไร้กังวลอะไรเล่า นั่นมันเลียนแบบนางฟ้าผ่านทางของเรา!” เขาตะโกน “หน้าไม่อาย!”

แก้วถูกปาเข้าที่หัวไหล่ของผู้ดูแลร้าน เขาเจ็บจนต้องอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่กล้าหลบ

“เถ้าแก่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดแล้ว คนอื่นเขาขายสิ่งนี้ เราจะทำอะไรได้เล่า” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน

อาหารเหล่านั้น เครื่องมือเหล่านั้น ต่างก็เป็นสิ่งที่ร้านอาหารควรจะมี ไม่เคยมีกฎที่ว่าร้านของเจ้าทำอาหารนี้ ก็ห้ามไม่ให้ร้านอื่นทำตามมาก่อน

โต้วชีตบโต๊ะอย่างแรงสองสามที

“เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องขายแพงหน่อย! โธ่โว้ย ขายทำไมแค่เจ็ดแปดอีแปะ!” เขาตะโกน

ราคานี้ยังไม่พอจะสั่งน้ำพริกสูตรลับของเรือนนางฟ้าเลย!

“แสดงว่าตั้งใจ!” เขากัดฟันพูด “พวกเขาไม่ได้วางแผนจะเอากำไรจากสิ่งนี้ แต่จะใช้มันมาบีบข้า!”

“ชะ เช่นนั้นพวกเราลดราคาไหม” ผู้ดูแลร้านเอ่ย

คำพูดนี้ยิ่งทำให้โต้วชีด่าทอเขาหนักกว่าเดิม

“สมองเจ้าถูกลาเตะมาหรืออย่างไร” เขาชี้หน้าด่า “เวลาเช่นนี้จะลดราคาได้อย่างไร หากลดราคาแล้วเรายังจะเป็นนางฟ้าอีกหรือ เช่นนั้นก็เหมือนคนธรรมดาแล้วน่ะสิ พวกเขามีความจำเป็นอะไรที่จะมากินที่ร้านเรา เข้าไปร้านไหนก็เหมือนกันแล้วไม่ใช่หรือ เจ้ามันโง่ ตอนแรกทำไมข้าถึงได้รับเจ้ามาทำงานได้นะ เหตุใดแม่ข้าถึงได้อวดนักอวดหนาว่าเจ้าฉลาดเป็นกรด! ถุย!”

ผู้ดูแลร้านเป็นญาติฝั่งแม่ของโต้วชี พอเห็นว่าโต้วชีเปิดร้านอาหารแล้วร่ำรวย จึงมาขอส่วนแบ่งด้วย ตอนที่โต้วชีกำลังแย่งชิงสมบัติกับเหล่าท่านลุง ก็ได้เขาช่วยไว้ทั้งยังออกความเห็นเข้าท่ามากมาย ด้วยเหตุนี้โต้วชีจึงมองเห็นความสามารถของเขา ถึงได้ตอบรับคำขอของมารดา และให้มาเป็นผู้ดูแลในร้าน

“ข้าจะไปหาปู่บุญธรรมของข้า!” โต้วชีลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย

แม้ผู้ดูแลร้านจะถูกดุด่าจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็รีบห้ามไว้

“เถ้าแก่ แม้แต่กฎหมายยังพ่ายแพ้ให้แก่คนหมู่มากนะ” เขาเอ่ย “ในวันนี้ไม่ได้มีแค่ร้านสองร้านที่ทำ ทว่าร้านอาหารทั้งเมืองหลวงต่างก็ทำสิ่งนี้ พวกเขาจะกลัวใต้เท้าหลิวหรือ”

เมืองหลวงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของของหอลับฝ่ายเสมียนกลาง ไม่ใช่ที่ที่ราชเลขานุการหลิวจะออกคำสั่งได้ตามอำเภอใจได้อยู่แล้ว

โต้วชีสะบัดแขนเสื้อก่อนจะนั่งลงอย่างหงุดหงิด

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร” เขาโพล่งถามออกมา

ผู้ดูแลหัวสมองแล่น

“ตอนนี้ลดราคาไม่ได้เด็ดขาด แต่เราต้องทำให้มีชื่อยิ่งกว่าเดิม เพิ่มความสูงส่ง สร้างความแตกต่าง” เขาพูดต่อ “เราขายแพงขนาดนั้น ใช่ว่าใครอยากกินก็ได้กินง่ายๆ ชื่อเสียง ชื่อเสียง ชื่อเสียงที่ดังมากกว่าเดิม…”

เขาเดินวนไปมาสองสามรอบ ก่อนจะตบมือเสียงดัง

“ข้าคิดออกแล้ว! เถ้าแก่!” เขาตะโกนอย่างดีใจ พลางคุกเข่าต่อหน้าโต้วชี

โต้วชีพูดไปเพียงเพราะความโกรธ ไม่ได้หวังให้คนเขลาผู้นี้คิดหาทางออก

“เจ้าคิดอะไรได้” เขาเอ่ยขึ้นอย่างโมโห

“เถ้าแก่ เถ้าแก่ ” ผู้ดูแลร้านเดินก้าวมาข้างหน้า สีหน้าตื่นเต้น “วันที่ยี่สิบเดือนสาม คือวันแสดงธรรมเทศนาของวัดผู่ซิวในเมืองหลวง”

เรื่องแบบนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี

“ข้าไม่มีอารมณ์ไปบริจาคธูปเทียนหรอกนะ” โต้วชีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“ไป ต้องไป แล้วก็ต้องไปอย่างยิ่งใหญ่ด้วย แล้วก็ต้องเชิญท่านปู่บุญธรรมมารับหน้าแทนพวกเราด้วย” ผู้ดูแลร้านเอ่ย

โต้วชีมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

“เถ้าแก่” ผู้ดูแลร้านขยับเข้ามาใกล้ แววตาเป็นประกาย “ถวายอาหารเจ!”

โต้วชีคิดออกทันใด ยกมือขึ้นมาตบโต๊ะ

ขณะเดียวกัน ผู้ดูแลอู๋ก็ตบโต๊ะภายในเรือนไท่ผิงเช่นกัน

“เถ้าแก่สาม” เขาเอ่ยขณะที่มองสีหน้าเคร่งเครียดของสวีเม่าซิว “นี่เป็นโอกาสดีเชียวนะ!”

สวีเม่าซิวมองเขา ราวกับคิดอะไรอยู่

“ได้” เขาพยักหน้า “ผู้ดูแลร้าน เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น เจ้าบอกมาเถิด ว่าจะเอาอย่างไร”

……………………………………………………….