“อันที่จริงชื่อเสียงของวัดผู่ซิวมิได้โด่งดังเท่ากับวัดเฉี่ยถิง ช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวายในราชวงศ์ก่อน วัดนี้มีแค่ห้องโถงทรุดโทรมไม่กี่ห้อง กับต้นสนโบราณยี่สิบกว่าต้น แล้วก็มีนักบวชเฒ่าตาฟางรูปหนึ่งคอยเฝ้าควันธูปควันเทียน”
ผู้ดูแลร้านเอ่ยพลางนึกถึงวันวาน
เพราะสวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินที่นั่งอยู่ในห้องมิใช่ชาวเมืองหลวง จึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน ส่วนหลี่ต้าเสาที่เพิ่งถูกเรียกตัวมา แม้เขามาจะเติบโตใกล้แถบเมืองหลวง แต่เพราะเอาแต่ง่วนอยู่หลังครัว จึงไม่ค่อยรู้เรื่องซุบซิบนินทาในเมืองหลวงมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้ที่เข้าเมืองมาทีหลังพวกสวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ทุกคนจึงตั้งใจฟังกันอย่างจริงจัง
“ต่อมาพระอาจารย์จิ้งฮุ่ยได้เดินทางมาถึงที่นี่ อุทิศตนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบาก เดินหน้าเผยแผ่พระธรรม มานะบากบั่น เป็นระยะเวลายี่สิบปี กว่าจะเปลี่ยนซากก้อนอิฐและป่ารกร้างให้กลายเป็นวิหารแสนวิจิตรตระการตา” ผู้ดูแลร้านเล่า
ถึงแม้ทุกคนจะไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่สองทศวรรษแห่งความมานะพยายามนั้นสมควรได้รับการยกย่อง ทุกคนในห้องพากันพยักหน้า
“ส่วนข้อบังคับอื่นๆ ของศาสนาพุทธ ข้าเองก็ไม่เข้าใจนัก” ผู้ดูแลร้านหัวเราะแล้วเอ่ยต่อ
“พระอาจารย์จิ้งฮุ่ยมรณภาพในวันที่ยี่สิบเดือนสาม นับแต่นั้นเป็นต้นมา ในวันนี้ของทุกปีวัดผู่ซิวจะจัดงานบุญครั้งใหญ่ สืบทอดมาถึงสมัยพระอาจารย์หมิงไห่ในตอนนี้ พระอาจารย์หมิงไห่จะคั่วชาฌานชั้นดี ทำให้งานบุญนี้มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ส่วนชาฌานก็กลายเป็นของหายากล้ำค่าดั่งทองคำ”
“ชาอย่างนั้นหรือ” ฟ่านเจียงหลินถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ชาที่พวกเรากินดื่มกันน่ะหรือ”
“อาหารทั้งหมดก็ล้วนถูกเรียกว่าอาหาร ทว่ากินแล้วรสชาติเหมือนกันหรือไม่” ผู้ดูแลร้านถามด้วยรอยยิ้ม
ฟ่านเจียงหลินก็หัวเราะเช่นกัน
“แล้วผู้ดูแลอู๋จะทำอะไรหรือ จะไปขอชาสักถ้วยกับคนเขาด้วยหรือ” หลี่ต้าเสาพูดแทรก “อีกเดี๋ยวลูกค้าก็จะมากันแล้ว หากไม่มีอะไร ข้าขอตัวไป…”
ผู้ดูแลร้านเบิกตามองเขา
“มีแม่นางปั้นฉินคอยช่วย เจ้าจะรีบร้อนอะไรนักหนา” เขาพูด “คิดว่าข้าว่างจนมาสนทนาธรรมกับเจ้าเล่นๆ อย่างนั้นหรือ”
หลี่ต้าเสาเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร
“หากพูดถึงชาของพระอาจารย์หมิงไห่แล้ว” ผู้ดูแลร้านพูดต่อ “ผู้คนมากมายหาหนทางเพื่อให้ได้ลิ้มลองชานี้สักถ้วย เคยมีพ่อค้ามหาเศรษฐีผู้หนึ่งเปิดโรงทานอาหารเจ เสียเงินหมื่นก้วนเพื่อแลกกับชาคั่วเพียงถ้วยเดียว”
“หนึ่งหมื่นก้วนเลยหรือ” ครั้งนี้แม้แต่สาวใช้ก็เบิกตาโพรงด้วยความประหลาดใจ “เพียงเพื่อชาถ้วยเดียวน่ะหรือ ควรค่าขนาดนั้นเชียวหรือ”
ผู้ดูแลร้านลูบเครา หรี่ตาแล้วยิ้มออกมา
“ชาเพียงถ้วยเดียว คุ้มค่าหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าเงินหมื่นก้วนแลกมากับชื่อเสียงในเมืองหลวง ถือว่าคุ้มค่ายิ่งนัก” เขาเอ่ย
สวีเม่าซิวพยักหน้าในทันที
“เช่นนั้นผู้ดูแลร้านหมายความว่าพวกเราก็ต้องเปิดโรงทานอาหารเจเช่นกัน” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลอู๋พยักหน้า
“ใช่ พวกเราต้องเปิดโรงทานอาหารเจ” เขาพูด
“แต่ว่าเราจะเอาเงินหมื่นก้วนมาจากที่ไหนกัน” หลี่ต้าเสาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“บนโลกนี้ ใช่ว่าจะต้องใช้เงินไปเสียทุกเรื่องเสียหน่อย” ผู้ดูแลร้านพูดพลางมองไปที่สวีเม่าซิวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแล้วข้าต้องรบกวนเถ้าแก่ช่วยถามนายหญิงให้ที ว่าจะมีวิธีใดสามารถสร้างชื่อเสียงได้บ้าง”
เพราะในโลกนี้บางครั้งความสัมพันธ์กลับมีค่ามากกว่าเงิน
และคนที่สามารถเขียนอักษรสละสลวยเช่นนั้นอออกมาได้ จะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่อย่างแน่นอน
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปพูดกับน้องสาวเอง” เขาพูด
“แต่ข้าคิดว่าชื่อเสียงของร้านเราในตอนนี้ ถือว่าเป็นที่รู้จักบ้างแล้ว” ฟ่านเจียงหลินพูดพลางชี้นิ้วออกไปข้างนอก
เสียงเอะอะโวยวายของคนและม้าดังออกมาจากด้านนอก
“ที่นี่ล่ะ ใช่ที่นี่แน่นอน ดูนั่นสิ ดูป้ายแขวนนั่น…”
เสียงพูดคุยดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
“อีกไม่นานตัวอักษรนี้ก็จะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง” เขาเอ่ยพลางหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
ยังมีอะไรต้องเป็นกังวลอีกอย่างนั้นหรือ
ผู้ดูแลร้านเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปที่ประตูเช่นกัน เขายกมือขึ้นลูบเครา หรี่ตาลงเล็กน้อย
“เถ้าแก่ อักษรงามก็ส่วนอักษรงาม” เขาเอ่ย “แต่ที่นี่คือร้านอาหาร รสชาติของอาหารต้องมาก่อน”
สายฝนพรำโปรยปรายลงกลางลานบ้าน น้ำจากภูเขาจำลองไหลลงสู่กระบอกไม้ไผ่ รวมตัวกันเป็นสายกระทบกับโขดหินที่อยู่อีกด้าน เกิดเป็นเสียงดังก้องแทรกผ่านละอองฝนลอยเข้ามาในบ้าน
ปั้นฉินที่อยู่ริมระเบียงทางเดินสะดุ้งจนต้องหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเม้มริมฝีปากยิ้มออกมา
เพราะมีเฉิงเจียวเหนียงย้ายเข้ามาอยู่ ทุกคนจึงได้รู้สึกถึงความเป็นบ้าน การประดับตกแต่งจึงพิถีพิถันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สาวใช้เป็นคนตกแต่งลานบ้านด้วยตัวเอง นางใช้ท่อนไม้ไผ่มาประกอบกันเป็นราง แต่เพราะเมืองหลวงไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติไหลผ่าน จึงต้องใช้น้ำจากในเรือน
“นายใหญ่คนก่อนของข้าชอบก็ชอบเช่นนี้ บอกว่าฟังแล้วจิตใจสงบดี” สาวใช้พูดด้วยรอยยิ้ม
เสียงน้ำไหลเป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบสงบ คล้ายกับเสียงของปลาที่แหวกว่ายในอยู่วัด ช่างเป็นเสียงที่ทำให้จิตใจสงบเหมือนดั่งได้เข้าฌาน
ปั้นฉินยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก้าวเข้าไปในเรือน
เฉิงเจียวเหนียงและสวีเม่าซิวนั่งหลังตรงอยู่ภายใน
“เชิญท่านชายดื่มชาเจ้าค่ะ” ปั้นฉินพูดพร้อมกับคุกเข่าลงแล้วยกน้ำชาให้
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ชาตรงหน้าสวีเม่าซิว
“ชา” นางเอ่ย “ก็ไม่เลว”
ปั้นฉินที่ถือถ้วยน้ำเปล่าชะงักไปครู่หนึ่ง
นายหญิงจะดื่มชาอย่างนั้นหรือ
“ใช่ ข้าก็คิดว่าความคิดของผู้ดูแลอู๋ไม่เลวเลย การจัดงานเลี้ยงน้ำชาฌานถือเป็นโอกาสอันดี” สวีเม่าซิวเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าและยื่นมือออกไป
ปั้นฉินรีบยกน้ำให้ เมื่อเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงจิบน้ำจึงได้โล่งใจ ก่อนจะก้มศีรษะแล้วถอยออกไป
“ปั้นฉิน”
ทันทีที่เดินพ้นจากประตูก็ได้ยินเสียงเรียกของเฉิงเจียวเหนียง นางจึงหันหลังกลับในทันที
สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังรีบขานตอบเฉิงเจียวเหนียง
“ที่แม่นางเฉินสิบแปดคุยกับข้า ใช่เรื่องงานเลี้ยงอะไรนี่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ปั้นฉินก้มศีรษะลงแล้วหันหลังเดินออกประตูไป ยามนี้ฝนเริ่มซาลงแล้ว บรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่วลานบ้าน สายลมสดชื่นปะทะเข้ากับใบหน้า นางสูดหายใจลึกแล้วยิ้มมุมปาก ก่อนจะถือถาดเดินไปตามทางเดิน
“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง แม่นางสิบแปดเชิญนายหญิงไปงานเลี้ยงนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยพลางยิ้ม “ผู้ดูแลอู๋พูดถูก ในตอนนั้นมีเรื่องเล่าขบขันเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ พ่อค้าเศรษฐีผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่นาน ต่อมาจึงได้เปิดร้านอาหาร แม้ตอนนี้จะไม่ได้เป็นที่นิยมเช่นแต่ก่อน แต่ก็ถือว่าไม่เลวเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องจัดโรงทานอาหารเจหมื่นก้วนนั่นหรอก” นางพูด “ใช้เพียงรสเดียวก็พอ”
“รสเดียวอย่างนั้นหรือ” สวีเม่าซิวถาม
“รสเดียว แต่แปลกใหม่ ก็เพียงพอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใช้เต้าหู้ก็แล้วกัน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
สวีเม่าซิวตอบรับและไม่ได้ถามอะไรต่อ
“น้องสาว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้ร้านเราจะขายดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีผลกำไร คงต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่ง” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองสาวใช้
“ตอนนี้เหลือเงินไม่มากแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างรีบร้อน
สีหน้าของสวีเม่าซิวเป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่รีบ รอให้ผ่านงานเลี้ยงน้ำชาฌานไปก่อน” เขารีบพูดขึ้นแล้วหัวเราะออกมา “หลังจากงานเลี้ยงน้ำชาฌาน อาจไม่ต้องใช้เงินมาสมทบอีกแล้วก็เป็นได้”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะออกมาเช่นกัน
“พี่ชายอย่าได้กังวลไปเลย” นางพูด “พี่มาเอาเงินจากข้า ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่อยากจะขอบคุณพี่”
สวีเม่าซิวยิ้มอย่างสงสัย
“ปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้รีบขานตอบและรอฟังคำสั่งจากนาง แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับนิ่งไปชั่วขณะ
“ให้เรียกปั้นฉินคนไหนหรือเจ้าคะ” นางพูด
สาวใช้ตกใจ สวีเม่าซิวเองก็ตกใจเช่นกัน
ยังมีปั้นฉินคนไหนอีกหรือ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าน้องสาวรวบรวมสาวใช้ที่ชื่อปั้นฉินไว้มากถึงเพียงนี้เลยหรือ
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ ปั้นฉินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นางเดินเข้ามาคุกเข่าแล้วคำนับด้วยความกังวล
“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยช่วยข้าหาคนป่วยใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ก่อนหน้านี้…
นายหญิงจำเรื่องราวแต่ก่อนได้ด้วย
ขอบตาของปั้นฉินแดงก่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้าจำไม่ได้หรอก จำได้แค่ว่าเหมือนเจ้าจะเคยเขียนไว้ในสมุดบันทึกนั่น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ใช่เจ้าค่ะนายหญิง นายหญิงให้ข้าไปฟังเรื่องที่ผู้คนพูดคุยกันบนท้องถนนทุกวัน แล้วกลับมาเล่าอาการที่ได้ยินให้นายหญิงฟัง พอนายหญิงบอกว่าจะช่วยรักษา ข้าถึงเข้าไปตีสนิทครอบครัวของคนป่วย แสร้งทำเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วก็พาพวกเขามารักษากับนางหญิง” ปั้นฉินพูด แม้ว่าเสียงของนางจะสั่นเครือ แต่ไม่ถึงขั้นฟังไม่ได้ศัพท์
“หากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าลองไปเดินเล่นตามท้องถนน ดูว่ามีใครพูดถึงข้าอีกหรือไม่ และพูดถึงเรื่องอะไร แล้วกลับมาบอกข้า” เฉิงเจียวเหนียงพูด
ปั้นฉินคำนับด้วยความตื้นตัน
“เจ้าค่ะ” นางขานรับเสียงสั่นเครือ ขณะที่เงยหน้าขึ้นน้ำตาก็หยดลงบนเบาะรองนั่ง แต่ทว่าคราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความความสุข
เมื่อฝนหยุดลง เสียงอ่านหนังสือที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวจากปีกหนึ่งของตำหนักก็หยุดลงเช่นกัน
นางกำนัลสองคนที่อยู่นอกประตูหันมาสบตากัน
คนหนึ่งเม้มปากส่งยิ้มแล้วโบกมือให้อีกคน ส่วนตนเองก็นั่งคุกเข่าลงแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองลอดผ่านช่องประตู
ภายในตำหนักมีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเอนกายพิงโต๊ะเตี้ยอยู่ เขายกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหาวเสียงดัง บนพื้นห้องมีหนังสือหนึ่งเล่มวางอยู่
………………………………………………………………