ท้องฟ้าครื้มเพราะสายฝน แสงไฟในห้องจึงมืดสลัวกว่าที่เคย
เมื่อชายหนุ่มหาวเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนว่าสายตามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก จึงยื่นมือออกไปจุดหินเหล็กไฟ เปลวไฟสว่างลุกโชน สะท้อนให้เห็นใบหน้าละมุนของชายหนุ่ม ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกายอยู่บนดวงหน้าขาวนวล
จิ้นอันจวิ้นอ๋องช่างรูปงามเสียจริง สมกับเป็นหลานชายรุ่นที่เจ็ดของไท่จู่ ช่างแตกต่างจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เป็นทายาทของไท่จง นัก
ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับฝั่งที่สืบเชื้อสายมาจากเซี่ยวฉือเกาหยางที่เป็นฮองเฮาของไทจู่มากกว่า เกาหยางฮองเฮาใบหน้าอ่อนหวานชดช้อยสง่างาม ผสมผสานสายเลือดนักรบของตระกูลได้อย่างลงตัว
ไม่รู้ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะแต่งงานกับชายาแบบใด
เสียงของหินเหล็กไฟที่กระทบกันในห้องเรียกสติของนางกำนัลให้กลับคืนมา ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเบื่อหน่ายกับการเล่นหินเหล็กไฟจึงหยุดมือลง แต่กลับล้มตัวนอนหงายลงกับพื้นแทน
นางกำนัลนั่งหลังเหยียดตรง นางหันไปพยักหน้าแล้วยิ้มให้ข้าหลวงที่อยู่อีกฝั่ง
“องค์ชายจะนอนอีกแล้วหรือ…” ข้าหลวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “จะไปเตือนสักหน่อยดีหรือไม่ ว่าฝ่าบาทและไทเฮาทรงลงโทษให้องค์ชายท่องหนังสือ หากท่องจำไม่ได้จะทำเช่นไรดี”
พูดถึงเพียงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขยับไหวและฝีเท้าจากด้านใน ทั้งสองหมอบตัวก้มหัวลงพลัน
ประตูถูกเปิดออกในทันใด
ชายหนุ่มก้าวออกจากประตู เขายืดแขนขึ้นแล้วสูดหายใจลึก
“ทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ผลิช่างงดงามอะไรเช่นนี้…” เขาเอ่ย
นางกำนัลทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน
“องค์ชายออกไปข้างนอกไม่ได้นะเพคะ ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงลงโทษกักบริเวณอยู่นะเพคะ” พวกนางกระซิบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบรับ ท่าทางดูผิดหวังเล็กน้อย
“เหลืออีกกี่วัน” เขาถามกลับ
“อีกสองวันเพคะ” นางกำนัลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบรับ ก่อนสะบัดแขนเสื้อทรงยาวไปไว้ข้างหลัง
“ไปเรียกใครก็ได้มานั่งเรียนเป็นเพื่อนข้าที” เขาพูด
เรียนหนังสือต้องมีเพื่อนเรียนด้วยหรือ คงจะให้มาเล่นด้วยเสียมากกว่า
นางกำนัลขานตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นไม่นานก็ได้เรียกขันทีมา และแน่นอนว่าหลังจากเข้าไปก็ไม่ได้ยินเสียงอ่านหนังสือ แต่กลับเป็นเสียงของหมากกระดานแทน
“คนที่ข้าเห็นไม่ใช่คนเดียวกัน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางชี้นิ้วเรียวลงบนตัวอักษร
ขันทีที่นั่งคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบเดินตามเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“แต่ว่ามีแม่นางเฉินสิบแปดชื่อเฉินซู่มีเพียงคนเดียวนะพะย่ะค่ะ” เขากระซิบกลับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่จับหมากกระดานอยู่ในมือเงียบไปครู่หนึ่ง
“วันนั้นที่เข้าวังมาคือแม่นางเฉินสิบแปดพะย่ะค่ะ” ขันทีพูดย้ำอีกครั้ง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องวางหมากลง
“ข้าคงเห็นผิดคน” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น “แต่วันนั้นตอนอยู่ในเมืองข้าเห็นไม่ผิดคนแน่ คือนางจริงๆ และต้องเป็นคนของตระกูลเฉิน หากไม่ใช่ ก็ต้องมีความข้องเกี่ยวกับคนของตระกูลเฉินอย่างแน่นอน”
“เพียงแต่องค์ชายไม่สามารถออกนอกวังได้ แม้จะออกไปได้ คงไม่เหมาะเป็นแน่ หากไปพบกับหญิงสาวบ้านตระกูลเฉิน” ขันทีเอ่ยพลางถอนหายใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนิ่งเงียบไม่พูดจา
“หรือนางอาจจะไม่ใช่คนของตระกูลเฉิน” เขาเอ่ยขึ้นในทันใด “อยู่กับตระกูลเฉิน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนของตระกูลเฉิน”
ยิ่งคิดก็ยิ่งคาดว่าเป็นเช่นนั้น พอนึกว่าจะอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ สีหน้าของเขาก็หงุดหงิดขึ้นมา
หากไม่ใช่คนของตระกูลเฉิน เช่นนั้นแล้วหากแค่มาเยี่ยมเยียนก็ย่อมต้องร่ำลาจากไป
ไม่แน่ว่าหลังจากที่ได้เจอในวันนั้น นางอาจจะจากไปแล้วก็เป็นได้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขยับนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ภาพของหญิงสาวที่หันหน้ากลับมาที่หน้าประตูลอยขึ้นมาในหัว
“คนนั้น…” เขากำลังจะอ้าปากพูด
ทันใดนั้นนางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามาคำนับที่ด้านนอกประตู
“องค์ชาย หมอหลวงหลี่มาถึงแล้วเพคะ”
ความวิตกกังวลบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องจางหายไปทันที รอยยิ้มปรากฏขึ้นแทนที่บนใบหน้า
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังหมากกระดาน หันมองไปหมอหลวงหลี่ที่กำลังเดินเข้าประตูมา
หมอหลวงหลี่สวมใส่ชุดแบบทางการ เด็กคนหนึ่งถือกล่องยาตามอยู่ด้านหลัง ท่าทางเหมือนเพิ่งจะกลับมาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ
“ใต้เท้าหลี่มีเวลามาหาข้าถึงที่นี่เลยหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พระชายาเสียนเฟยแพ้ท้องอย่างรุนแรง ไทเฮาเลยรับสั่งให้ข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด ช่วงนี้ข้าจึงต้องพักอยู่ในวังหลวง” หมอหลวงหลี่เอ่ยพลางคำนับแล้วนั่งคุกเข่าลง
“เพราะคนนอกมาหาท่านอาจารย์เสียมากกว่า ช่างน่ารำคาญเสียจริงพะย่ะค่ะ” เด็กน้อยพูดเสริมต่อ
“นั่นเป็นเพราะหมอหลวงหลี่มีฝีมือแพทย์ยอดเยี่ยมนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หากบอกว่าหมอหลวงหลี่ฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยมนั้นคงมิใช่คำเยินยอจนเกินจริง
“หามิได้พะย่ะค่ะ คนเหล่านั้นต้องการให้ท่านอาจารย์บอกว่ารักษาไม่ได้ ไม่ได้อยากให้ท่านอาจารย์รักษาอาการเจ็บป่วยเลยพะย่ะค่ะ” เด็กน้อยเบ้ปากพูด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องถึงกับผงะ ว่าอย่างไรนะ
“ไม่ให้รักษาอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
หมอหลวงหลี่ถอนหายใจด้วยความระอา
“ไร้มารยาทเสียจริง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดต่อหน้าท่านอ๋องเช่นนี้” เขาหันหลังกลับไปเอ็ดด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เด็กน้อยก้มหัวลง ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกเลย
“อย่า อย่า พูดเถิด พูดเถิด พูดต่อเลย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางเอ่ยแล้วชี้นิ้วไปที่เด็กน้อย “ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี ใช่ว่าจะมีเรื่องน่าสนุกเช่นนี้บ่อยนัก รีบพูดต่อเร็ว เหตุใดจู่ๆ ถึงมาขอให้พูดว่ารักษาให้ไม่ได้เล่า”
เด็กน้อยก้มหน้าลอบมองท่านอาจารย์อย่างลังเล โบราณว่าแม้เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ย่อมต้องเคารพเหมือนดั่งบิดาไปชั่วชีวิต แต่ความจงรักภักดีและความกตัญญูไม่สามารถทำพร้อมกันได้ ในเมื่อจวิ้นอ๋องเอ่ยปากถาม ก็คงต้องตอบไปตามนั้น
“เพราะพวกเขาต้องการรักษากับแม่นางเฉิงพะย่ะค่ะ” เด็กน้อยพูดอย่างนอบน้อม
ยิ่งพูดก็ยิ่งสับสน
“แม่นางเฉิงเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“แม่นางเฉิงเป็นคนที่รักษานายใหญ่เฉินและบัณฑิตถงพะย่ะค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยเจื้อยแจ้ว ดวงตาเป็นประกาย มือไม้ก็ออกท่าออกทางโดยไม่รู้ตัว “นางสามารถคืนชีพให้คนตายได้ แต่สำหรับคนที่ยังไม่ถึงฆาตจะยอมไม่รักษาให้ ได้ยินมาว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านผู้บำเพ็ญพรตหลี่พะย่ะค่ะ”
“ตบปาก” หมอหลวงหลี่ตะโกน
เด็กน้อยตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าใจแล้วจึงหัวเราะลั่นออกมา
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เขาชี้นิ้วไปที่หมอหลวงหลี่ “จะรักษาให้เฉพาะคนเป็นโรคที่รักษาไม่หายสินะ
เช่นนั้นแล้วแปลว่าเจ้ารักษาทั้งนายใหญ่เฉินและบัณฑิตถงไม่ได้ คนนั้นถึงได้ช่วยรักษาให้หายดี ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอให้เจ้าปฏิเสธการรักษาล่ะสิ ช่าง.. ช่างน่าขันสิ้นดี”
ยิ่งนึกถึงเขาก็ยิ่งอยากหัวเราะ ถึงขนาดยกมือขึ้นมากุมท้องอย่างเสียกิริยา
หมอหลวงหลี่โมโหจนหน้าดำหน้าแดง เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินจากไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบรั้งเขาไว้
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว” เขาเอ่ยรั้งแต่ยังคงกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
หลังจากพูดเยินยอมากมาย กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้หมอหลวงหลี่นั่งลงได้ เด็กน้อยที่ปากหาเรื่องถูกไล่ออกไป หมากกระดานในห้องถูกจัดวางใหม่อีกครั้ง คราวนี้คู่ต่อสู้เปลี่ยนจากขันทีมาเป็นหมอหลวงหลี่
หมากกระดานจบไปสองตา หมอหลวงหลี่ที่กำลังหงุดหงิดอยู่ก็เริ่มเบื่อหน่าย จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
“ข้ารู้ว่าองค์ชายถูกกักบริเวณ จึงตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อน” เขาเอ่ยพลางลูบเคราแล้วมองไปที่องค์ชายด้วยรอยยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“ใช่ ใช่ เจ้าและข้าปลอบใจซึ่งกันและกัน” เขาเอ่ย
หมอหลวงหลี่รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร เขาทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วเดินจากไป
เมื่อเห็นหมอหลวงหลี่เดินจากไป จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหมอหลวงหลี่ผู้ไม่เคยอยากอยู่ในวังหลวง กลับต้องมาหลบซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงเช่นนี้” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “ไม่รู้ว่าแม่นางเฉิงผู้นั้นเป็นยอดฝีมือมาจากไหน”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าตระกูลเฉินได้เชื้อเชิญมาจากเจียงโจวและเป็นหมอเทวดามากฝีมือ ว่ากันว่าได้พบกับนักพรตหลี่ เลยได้สูตรปรุงยาเซียน สามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้” ขันทียิ้มพลางเอ่ย “เพียงแต่กฎสำหรับการรักษาช่างแปลกประหลาดยิ่งนักพะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“หากไม่แปลกประหลาดจะโดดเด่นเหนือผู้อื่นได้อย่างไร” เขาเอ่ย
“ใช่พะย่ะค่ะ แม่นางผู้นี้…” ขันทีพยักหน้าและพูดต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยกมือหยุดเขา
“ข้าคิดออกแล้ว” เขาพูด “บ้านหลังนั้น”
ขันทีตะลึงไปชั่วขณะ
“หลังใดหรือพะย่ะค่ะ” เขาถามอย่างงงงวย
“บ้านที่ข้าเห็นวันนั้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วหันตัวกลับมา “พวกเจ้าลองไปถามดู บางทีอาจจะรู้ที่อยู่ของนางก็เป็นได้”
ขันทีขานรับ
“เพียงแต่ให้ถามในสิ่งที่ควรถาม สิ่งที่ไม่ควรถามอย่าได้ถาม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอี้ยวหน้าเอ่ย “ข้าไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดใดๆ ทั้งสิ้น”
ขันทีรีบขานรับอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง
มุ่งมั่นตามหาทั้งยังระมัดระวังถึงเพียงนี้ จะเป็นหญิงสาวเช่นใดกันหนอ ได้พบหน้าเพียงครั้งเดียวแต่กลับทำให้องค์ชายลืมไม่ลงได้เช่นนี้
…………………………………………………