พวกเขาเป็นคู่หมั้นกัน ยังเป็นแบบนี้!
อวี้ถังเบิกตาโตอย่างตกตะลึง
คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก เอ่ยต่อว่า “ข้าไม่คุยกับเขา เขาก็อับจนหนทาง ทำได้เพียงพยายามทุกวิธีทางง้อข้า ชวนข้าพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ข้าคิดว่าเขามีความรู้กว้างไกล จึงค่อยๆ เริ่มคุยกับเขา”
อวี้ถังได้ฟังในสมองพลันปรากฏภาพเด็กน้อยตัวขาวสองคน คนหนึ่งปั้นหน้าแข็งโมโหอยู่ตรงนั้น อีกคนก็ตามวอแวเพื่อง้อ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยว่า “เพราะเหตุนี้หรือไม่ เจ้าจึงได้รู้เรื่องสกุลใหญ่มากมาย?”
คุณหนูสวียิ้มอย่างเคอะเขิน
อวี้ถังคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย
ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งสองคนพูดคุยทุกเรื่องด้วยกันได้ย่อมดีที่สุด
เกิดมาทั้งสองชาติ นางพบคู่สามีภรรยามามาก นอกจากเรื่องงานในเรือนและลูกแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นให้พูดกันอีก
อวี้ถังเอ่ยว่า “แล้วต่อจากนั้นล่ะ? เจ้าก็เริ่มชอบคาดเดาเรื่อยเปื่อยแล้วใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด!” เอ่ยถึงเรื่องนี้ คุณหนูสวีก็มีโทสะอยู่บ้าง “เป็นยามที่อินหมิงหย่วนสอบจิ้นซื่อ มักจะใช้เวลาไปกับการฝึกเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง ข้าถามอะไรเขา เขาก็มักตอบ ‘อืมๆ’ อย่างขอไปที ข้าไม่พอใจอย่างมาก พอดีกับช่วงเวลานั้นไม่ใช่ว่าหลานสาวคนโตของฮ่องเต้จากไปก่อนวัยอันควรหรอกรึ? มีคนมากมายเรียกร้องให้แต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท เขาจึงเพิ่มบทเรียนให้ข้า ให้ข้าคาดเดาว่าท้ายที่สุดผลจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าคิดว่าน่าสนใจ จึงค่อยๆ ฝึกจนกลายเป็นนิสัย รู้สึกว่าน่าสนุกยิ่งกว่าเรื่องใดเสียอีก”
อวี้ถังครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงค่อยเข้าใจว่าคุณหนูสวีกำลังพูดถึงอะไร
โอรสสวรรค์ราชวงศ์นี้มีบุตรยาก เหลือเพียงลูกชายคนสองที่เติบใหญ่ขึ้นมาได้ ลำพังลูกชายทั้งสองก็ยังมีบุตรยาก องค์ชายรองไม่มีลูกชาย มีเพียงลูกสาวสองคน ทั้งยังด่วนจากไปอีกคนหนึ่ง มีเพียงองค์ชายสามที่ให้กำเนิดลูกชายสองคน รวมกับฮองเฮาที่ป่วยตายไปกว่าสิบปี วังหลังจึงว่างเปล่า จะแต่งตั้งผู้ที่อายุมากที่สุดหรือทายาทสายตรง ราชสำนักนั้นเอาแต่โต้เถียงกันอยู่เรื่อยมา
พระพันปีอยากเลือกคนที่มีความสามารถ เพื่อเพิ่มคนในวังหลังให้กับฮ่องเต้
เพราะเรื่องนี้ สกุลใหญ่หลายสกุลจึงคอยโหมคลื่นอยู่เบื้องหลัง
อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “คุณชายอินเป็นผู้ที่ผ่านการสอบเอินเคออย่างนั้นรึ?”
ปีนั้นเลือกหญิงงามห้าสิบคนเข้าวัง ฮ่องเต้กลับไม่รับนางสนม แต่ประทานหญิงงามพวกนั้นให้ลูกชายทั้งสองของตัวเองแทน พระพันปีไม่พอใจ ปีถัดมาพระพันปีครบรอบหกสิบพรรษา ฮ่องเต้จึงประจบพระพันปี ตั้งใจจัดสอบเอินเคอขึ้นมาโดยเฉพาะ
ดังนั้นอินหมิงหย่วนจึงได้ขยันบากบั่นเช่นนั้น แทบไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเล่นคุณหนูสวี
คุณหนูสวีผงกศีรษะ เอ่ยอย่างน้อยใจอยู่บ้าง “เดิมทีท่านพ่ออยากให้เขาลงสนามสอบขุนนาง แต่เขาดึงดันจะสอบเอินเคอให้ได้ ยังพูดว่าอะไรนะเวลาไม่คอยเรา คนของสกุลอินคิดว่าข้าอยากให้เขาไปสอบ ท่านแม่เฒ่าของสกุลพวกเขายังตั้งใจมาจากหวาอินเรียกข้าเข้าไปคุยโดยเฉพาะ ช่วงนั้นท่านแม่ของข้าโมโหอยู่หลายวันจนนอนไม่หลับ ครุ่นคิดว่าจะถอนหมั้นกับสกุลอินอย่างไร ภายหลังเป็นท่านแม่เฒ่าหลีที่มาพูดไกล่เกลี่ยกับท่านแม่ถึงในเรือน ทั้งอินหมิงหย่วนก็สอบผ่าน ท่านแม่ข้าจึงไม่ได้ถอนหมั้น” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ดีใจขึ้นมา “แต่ก็ไม่ใช่ได้ผลดีไปเสียหมด คนสกุลอินกล่าวว่า รอข้าแต่งงานแล้ว ข้าและอินหมิงหย่วนต้องแยกออกไปอยู่เพียงลำพัง รออินหมิงหย่วนสามารถเป็นขุนนางขั้นสามได้แล้ว ค่อยกลับมาอยู่ในเรือนของสกุลอิน เหอะๆ คนบางคนใช้เวลาชั่วชีวิตยังเป็นขุนนางขั้นสามไม่ได้เลย ข้าว่าพวกเราอาจจะอยู่ในเรือนสินเดิมของข้าตลอดชีวิตก็เป็นได้”
เงื่อนไขเช่นนี้ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว!
อวี้ถังละล่ำละลักเอ่ย “เหตุใดพวกเจ้าต้องออกไปอยู่ข้างนอกล่ะ?สกุลพวกเจ้ามีเรือนอยู่ในเมืองหลวงด้วยอย่างนั้นรึ? ”
ยามนี้อินหมิงหย่วนเป็นซู่จี๋ซื่อ หากมีเรือนในเมืองหลวง ก็คงไม่เป็นอย่างที่พูดแล้ว
คุณหนูสวีพยักหน้า เอ่ยว่า “เจ้าคงไม่รู้ สกุลอินของพวกเขาสตรีมีมากบุรุษมีน้อย ให้กำเนิดบุตรชายก็ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า เด็กผู้ชายหลายคนล้วนมีพี่สาวคอยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เพื่อให้การสืบทอดไม่ขาดช่วง เด็กผู้หญิงของสกุลอินล้วนดูแลเด็กผู้ชายจนเติบโต นอกจากอ่านหนังสือเขียนอักษร ยังควบคุมเรื่องร้านค้าทั้งเรื่องยิบย่อยในสกุล เมื่อมาถึงอินหมิงหย่วนจึงยิ่งเกินไปใหญ่ อารองของเขารับอนุภรรยาสี่บ้านกลับให้กำเนิดเพียงลูกสาวคนเดียว อยากหาบุตรบุญธรรมจากเครือญาติมาสืบสกุลก็หาคนเหมาะสมไม่ได้ อินหมิงหย่วนจึงยังต้องแบกความรับผิดชอบทั้งสองครอบครัว…”
“เจ้าคงไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าสกุลอินจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไร พวกสตรีในสกุลพวกเขา คนใดสามารถกลับมาได้ก็กลับมาทั้งหมด ในโถงประชุมนั้นสตรีล้วนสามารถนั่งได้”
ไม่อย่างนั้นพี่รองสกุลอินจะมาเป็นข้าหลวงถึงไหวอันทำไมกัน?
“ก็เพราะไม่ชอบให้สตรีในสกุลพวกนั้นสอดมือยุ่งเรื่องของพวกเขา”
จากนั้นนางก็บ่นพร่ำ “อินหมิงหย่วนนั้นดีไม่น้อย แต่ควบคุมสตรีมากมายในสกุลของเขาไม่ได้! ข้าล้วนไม่รู้ว่าท่านปู่ของข้ากำลังขุดหลุมให้ข้าหรือเอ็นดูข้ากันแน่”
อวี้ถังนับว่าเปิดหูเปิดตาจริงๆ!
สกุลอื่นแต่งออกไปแล้ว สตรีย่อมไม่ยุ่งเรื่องของสกุลมารดา แต่สกุลอินกลับกันไปหมด
นางอดถามไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าจะไม่แต่งกับอินหมิงหยวนแล้วอย่างนั้นรึ?”
“นั่นจะได้อย่างไร!” คุณหนูสวีได้ยินก็ย่ำเท้า เอ่ยว่า “อย่าพูดเลยว่าพวกเราสองสกุลมีการหมั้นหมายกัน แม้ว่าจะไม่มี อินหมิงหย่วนดีกับข้าเพียงนั้น หากเขามาสู่ขอ ข้าก็ย่อมตอบตกลง ข้าเพียงรำคาญเรื่องของสกุลพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะในเมืองหลวง ท่านแม่เฒ่าหลี ท่านแม่เฒ่าจาง ล้วนแต่เป็นสตรีของสกุลอิน มีเรื่องอะไรก็ชอบมาที่เรือนข้า มักจะสั่งสอนเรื่องนั้นเรื่องนี่ ข้าไม่ชอบอย่างยิ่ง”
อวี้ถังคิดคล้อยตาม เอ่ยว่า “ท่านแม่เฒ่าจาง?”
“ใช่แล้ว!” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “สกุลอินของพวกเขาเลือกลูกเขยที่ชื่อเสียง ท่านแม่เฒ่าหลีคงไม่ต้องพูดถึง เจ้ารู้จักแล้ว ท่านแม่เฒ่าจางเป็นฮูหยินของจางอิง อาจารย์ของเผยสยากวง นางและท่านแม่เฒ่าสกุลหลีเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ดังนั้นสกุลอินจึงได้ถูกใจเผยสยากวง เอาแต่คิดแต่งลูกสาวให้เผยสยากวง! ยามนี้สกุลหลีล้มเหลว สกุลอินย่อมไม่ปล่อยเผยสยากวงไปอย่างง่ายดาย เจ้ารอดูเถิด ตกลงแล้วนายหญิงสามสกุลหยางมาเจรจาแต่งงานให้พวกเราสกุลสวีหรือมาดูลูกเขยให้สกุลอิน ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก”
อวี้ถังเหงื่อชื่นหน้าผาก เอ่ยอย่างลังเล “เช่นนั้นไฉนต่อหน้านายหญิงสามหยาง เจ้า…”
“ทำตัวเหมือนคนว่านอนสอนง่าย?” คุณหนูสวีรับบทสนทนาด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก
อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี
คุณหนูสวีถอนหายใจ “ข้าก็ไม่ใช่อับจนหนทางหรอกรึ? เดิมทีสกุลข้าและสกุลอินก็ปรึกษากันดีแล้ว เดือนเก้าปีนี้จะแต่งงาน ท่านเฒ่าสกุลอินมาเมืองหลวง ก็มักจะพาท่านแม่เฒ่าหลีและท่านแม่เฒ่าจางมาถามเรื่องแต่งงานที่เรือนข้าบ่อยๆ ท่านแม่ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าไม่อาจประจบประแจงทั้งสองฝั่ง จึงอยากหลบหลีก อินหมิงหย่วนรู้ว่าข้าลำบากใจ จึงฝากฝังข้ากับนายหญิงสามหยางที่กลับมาทำธุระที่บ้านเกิด ให้ข้าออกมาปลดปล่อยความเครียด นายหญิงสามหยางกลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดอันใด จับจ้องข้าแทบไม่คลาดสายตา หากข้าไม่แสร้งว่าง่าย กลัวว่านางจะปล่อยข้าทิ้งไว้ที่สกุลหยาง รอจนนางกลับไปก็จะส่งข้ากลับเรือน”
อวี้ถังหัวเราะเสียงดัง
ซวงเถาพาอาฝู สาวใช้ข้างกายคนหนึ่งของคุณหนูสวีเข้ามา
“คุณหนู!” นางคำนับให้อวี้ถังและคุณหนูสวีอย่างนอบน้อม รายงานว่า “นายหญิงน้อยรองสกุลเผิงได้ยินว่าท่านก็อยู่ที่นี่ จึงส่งหญิงรับใช้เข้ามาน้อมทักทายท่าน คาดว่าอีกสักพักจะเข้ามาพบท่านพร้อมกับคุณหนูทั้งสองของสกุลซ่งเจ้าค่ะ”
คุณหนูสวีเอ่ยแทบไม่ต้องคิด “ข้ามากับกูไหน่ไนสกุลอิน เจ้าไปบอกกล่าวนางเสียหน่อย เกรงว่าวันนี้จะไม่ได้ พรุ่งนี้หลังจากพิธีขอพรแล้วเสร็จ ข้าจะเข้าไปเยี่ยมเยียนนาง”
อาฝูย่อกายคารวะ ก่อนจะจากไป
คุณหนูสวีจึงอธิบายให้อวี้ถังฟัง “สกุลเผิงชอบวางอำนาจ ท่านแม่ข้าไม่ชอบอย่างยิ่ง ทั้งไม่ใคร่ให้ข้าไปมาหาสู่กับสตรีสกุลเผิง”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องแต่งสตรีในเรือนไปยังสกุลอินเล่า?
เห็นได้ชัดว่าทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาของตัวเอง
นางไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับคุณหนูสวีให้มากความ จึงเปลี่ยนประเด็นอื่น “ข้าช่วยถามนายท่านสามว่าจะไปน้อมทักทายท่าแม่เฒ่ายามใดให้เจ้าดีหรือไม่? ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะพบกันโดยบังเอิญ”
คุณหนูสวีขานรับว่าดี
อวี้ถังจึงส่งซวงเถาไปพบอาหมิง ให้นางเล่าเรื่องที่คุณหนูสวีอยากพบเผยเยี่ยนให้เขาฟัง ป้องกันไม่ให้คุณหนูสวีสร้างเรื่องวุ่น ก่อปัญหาอะไรที่ยุ่งยากออกมา ส่วนเผยเยี่ยนจะพบคุณหนูสวีหรือไม่ ก็แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ
คุณหนูสวีไม่รู้ว่าอวี้ถังลอบกำชับส่วนตัวกับซวงเถาอย่างไร จึงพูดคุยกับอวี้ถังอยู่ค่อนวัน ก่อนคุณหนูห้าและคุณหนูสี่จะมาร่วมวงด้วย
“คาดไม่ถึงว่าคุณหนูสวีจะมาเร็วกว่าพวกเรา” คุณหนูสี่เอ่ยด้วยเสียงใสแจ๋ว เอ่ยถามอวี้ถังเรื่องวันเดือนปีเกิด ทั้งยังนำกล่องไม้เครื่องลงรักที่แกะสลักอักษรมงคลให้กับอวี้ถัง “พวกเราเจอจี้ต้าเหนียงระหว่างทาง จึงนำมาให้เจ้า เย็นนี้เจ้าเขียนเสร็จก็เก็บไว้ในกล่องให้ดี พรุ่งนี้เช้าตรู่ยามที่ไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าก็นำไปมอบให้จี้ต้าเหนียง ถึงเวลานั้นทุกคนล้วนใช้กล่องไม้แบบเดียวกัน ใครก็ไม่รู้ว่ากล่องไม้ไหนเป็นของใครแล้ว”
ช่างคิดอย่างรอบคอบ
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวล คาดไม่ถึงว่าจะเป็นดังที่คุณหนูสวีว่า เป็นข้าที่ตีตนไปก่อนไข้”
คุณหนูห้ารีบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อวี้ถังจึงเล่าเรื่องที่คุณหนูสวีและตัวเองคุยกันก่อนหน้านี้ให้นางฟัง
คุณหนูสี่จึงชวนคุณหนูสวีพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนผลัดกันถามผลัดกันพูด ในห้องจึงคึกคักขึ้นมาอย่างยิ่ง
คนสกุลเฉินยืนฟังไม่กี่ประโยคที่ห้องโถง ก่อนจะกลับเข้าห้องทางตะวันออกของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
ป้าเฉินที่คอยประคองนางจัดแจงคนสกุลเฉินให้นั่งอย่างสบาย หมุนกายรินชาให้นาง ทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “ยามนี้คุณหนูรู้ความกว่าเมื่อก่อนมาก แม้เมื่อก่อนจะเอาใจใส่กตัญญู แต่ก็มักแฝงความเป็นเด็ก ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นใครกลับสามารถพูดคุยได้ถูกคอ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน”
“เจ้าพูดถูก” คนสกุลเฉินตอบรับ ก่อนจะเอ่ยกับป้าเฉิน “ข้ารู้สึกว่าเรื่องสกุลอู๋และสกุลเว่ยยังคงต้องบอกกับท่านแม่เฒ่าเสียหน่อย แม้จะกล่าวว่าเป็นน้ำใจของสกุลเผย แต่อย่างไรก็เป็นเพราะพวกเรา นายท่านสามจึงจัดเตรียมที่ให้สกุลอู๋และสกุลเว่ย ควรให้ท่านแม่เฒ่าทราบเรื่องนี้ หากมีโอกาส ยังควรขอบคุณต่อหน้านายท่านสาม”
เป็นเพราะเมื่อครู่ หญิงรับใช้ข้างกายนายหญิงเว่ยมาเข้าพบคนสกุลเฉิน คนสกุลเฉินยังคิดว่าจะเป็นเหมือนกับสกุลอู๋ ให้นางหาวิธีช่วยพวกนางจัดที่พักในวันที่แปดเดือนสี่ คาดไม่ถึงว่าสกุลเว่ยจะมาขอบคุณ สกุลเว่ยกับสกุลอู๋ต่างก็มาสายจึงไม่มีที่พัก ทราบว่าสองแม่ลูกสกุลอวี้ตามสตรีสกุลเผยเข้าวัด จึงขบคิดว่าควรยืมหน้าสกุลอวี้เอ่ยเรื่องนี้กับผู้ดูแลสกุลเผยหรือไม่ กลับพบเข้ากับหูซิ่งพอดี หลังจากหูซิ่งทราบจุดประสงค์ที่มาของพวกนางก็ไปพบเผยเยี่ยนทันที
ผู้ดูแลของสกุลเผยจึงจัดเตรียมห้องเซียงฝางเรือนด้านนอกให้กับพวกนาง
ไม่เพียงสกุลเว่ย แต่สกุลอู๋ก็ได้ประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
“กระทั่งทางท่านแม่เฒ่า ก็ควรไปขอบคุณเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ป้าเฉินคิดไกลกว่าคนสกุลเฉิน “ประพฤติตามธรรมเนียม ผู้คนย่อมไม่ตำหนิ นายท่านสามจัดการเช่นนี้ ก็คงนับว่าเห็นแก่หน้าท่านแม่เฒ่าเช่นกัน ”
———————-