คนสกุลเฉินคิดว่ามีเหตุผล เพียงแต่ทางท่านแม่เฒ่ามีเรื่องยุ่งอยู่บ้าง รอจนยามเย็นก็ยังไม่มีโอกาสไปบอกกล่าวกับนาง คนสกุลเฉินจึงพับเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน ไปกินข้าวเย็นกับอวี้ถังที่เพิ่งจะส่งคุณหนูสวี คุณหนูสี่และคุณหนูห้าออกไป เมื่อกลับมาห้องทางตะวันตก กำลังจะพูดเรื่องงานกับอวี้ถัง อาฝูที่รับใช้ข้างกายของคุณหนูสวีก็เข้ามาถามอวี้ถังก่อน “ท่านและนายหญิงจะไปเดินเล่นที่ลานด้านนอกหรือไม่? คุณหนูของเราและนายหญิงสามสกุลหยางวางแผนจะไปเดินเล่นเช่นกันเจ้าค่ะ”
นี่คือมาชวนพวกนางออกไปเดินเล่นด้วยกัน?
อวี้ถังมองไปยังมารดาด้วยรอยยิ้ม ให้นางเป็นคนตัดสินใจ
คนสกุลเฉินมีความรู้สึกดีต่อนายหญิงสามสกุลหยางอยู่บ้าง
นางก็นับว่าพบเจอคนมาไม่น้อย แต่คนที่มีชาติกำเนิดเช่นนายหญิงสามสกุลหยาง มีลักษณะนิสัยเช่นนี้กลับยังคงเป็นครั้งแรก ทั้งนางก็ชอบคลุกคลีกับนายหญิงสามสกุลหยางเช่นกัน ได้ยินอาฝูพูดเช่นนี้ นางก็เอ่ยทันที “เจ้าไปบอกกล่าวกับคุณหนูเจ้าและนายหญิงสามสกุลหยางหน่อยเถิด พวกเราก็เตรียมจะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังอยู่พอดี”
อาฝูย่อกายคารวะอย่างดีใจ ใบหน้ากลมเกลี้ยง รอยยิ้มหวานละมุน พาให้คนรู้สึกดีไปด้วย
คนสกุลเฉินเปลี่ยนชุดใหม่ ทั้งเอ่ยกับอวี้ถังด้วยรอยยิ้มไปพลาง “เจ้าว่าสกุลพวกเขาเลือกสาวใช้อย่างไรกัน นอกจากจะมีไหวพริบแล้ว แต่ละคนยังมีใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข พาให้คนรู้สึกรื่นหูรื่นตา”
อวี้ถังมองหน้าทรงเมล็ดแตงโมของซวงเถาไปที ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ภายหลังพวกเราก็เลือกสาวใช้ที่หน้ากลมมนมาสักคนก็ได้กระมังเจ้าคะ”
คนสกุลเฉินหัวเราะชอบใจ
ซวงเถานั้นวิ่งไปข้างนอกอย่างขวยเขิน “ข้าจะไปเตรียมน้ำชาให้นายหญิงและคุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
คนสกุลเฉินเป็นคนตัดสินใจจับคู่นางกับหวังซื่อ ด้วยเหตุนี้หวังซื่อจึงเขียนสัญญาขายตัวกับสกุลอวี้ คนสกุลเฉินวางแผนให้สองสามีภรรยารั้งตัวอยู่รับใช้อวี้ถัง ยามนี้เริ่มให้หวังซื่อทำเรื่องจุกจิกในร้านค้าสกุลแล้ว รอซวงเถาและหวังซื่อแต่งงานกัน ก็จะแยกไปอยู่ในร้านช่วงหนึ่ง ทางอวี้ถังก็ต้องซื้อสาวใช้ใหม่อีกคน อวี้ถังนึกถึงไป๋ซิ่ง สาวใช้ที่เคยตักเตือนตัวเองยามที่อยู่ในสกุลหลี่เมื่อชาติก่อน แต่ก่อนหน้านั้นไป๋ซิ่งก็ไม่เคยไปมาหาสู่อะไรกับนางมาก่อน นางรู้เพียงว่าไป๋ซิ่งเป็นสาวใช้ที่ถูกขายให้สกุลหลี่ ยามที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ได้สามปี เมื่อก่อนมีชื่อว่าเจาตี้ เข้าจวนสกุลหลี่จึงค่อยเปลี่ยนเป็นไป๋ซิ่ง เป็นคนที่ไหน เหตุใดจึงถูกขายให้สกุลหลี่ นางล้วนไม่ทราบอะไรเลย
หากจะค้นหาย่อมลำบากอยู่บ้าง
ไม่อย่างนั้นนางคงจะส่งคนไปตามหานานแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังเผื่อใจไว้ นึกได้ว่าสาวใช้ผู้นั้นพูดแฝงสำเนียงส่านซี ขบคิดว่าอาจจะหนีตายมาจากทางนั้น จึงกำชับกับนายหน้าขายทาสเอาไว้ เหลือเพียงต้องดูแล้วว่าพวกนางมีวาสนาต่อกันหรือไม่
อวี้ถังจึงถามคนสกุลเฉิน “งานแต่งงานของซวงเถากำหนดหรือยังเจ้าคะ? ท่านก็อย่าสนใจข้าเลย หากไม่ไหวจริงๆ ก็ซื้อสาวใช้มาสักคนก่อนเถิด”
ซื้อสาวใช้กลับมาก็ต้องเรียนรู้กฎระเบียบกับซวงเถาก่อน ทั้งไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นการเป็นงานหรือไม่ หากใช้การไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนคนใหม่
งานแต่งงานของซวงเถาจึงไม่อาจกำหนดได้เสียที
ก่อนหน้านี้อวี้ถังยังอยากรอข่าวคราวของไป๋ซิ่ง แต่ยามนี้ก็กลัวว่าจะทำให้งานแต่งของซวงเถาชักช้า
ด้วยเหตุนี้จึงครุ่นคิดว่า รอจนมีข่าวของไป๋ซิ่ง ค่อยซื้อนางเข้ามาก็ไม่สาย
อย่างมากก็เลี้ยงดูสาวใช้ทั้งสองคนไว้ข้างกายนาง
สองแม่ลูกพูดคุยกัน ไม่นานก็เดินมาถึงสวนดอกไม้เล็กๆ ด้านหลังเรือน
คุณหนูสวีมารออยู่ที่นั่นกับนายหญิงสามสกุลหยางก่อนแล้ว
ทุกคนพบกันก็ทักทายอย่างเป็นมิตร
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท้องฟ้ามืดช้า พวกเราจึงออกมาเดินย่อยอาหารข้างนอกได้”
คนสกุลเฉินและนางเดินเคียงกันบนทางเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม “มิผิด ข้าก็นับเป็นคนในพื้นที่ กลับไม่รู้ว่าด้านหลังวัดเจาหมิงยังมีสวนเล็กๆ ที่งดงามเช่นนี้ ครั้งนี้นับว่าต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้ว”
นายหญิงสามสกุลหยางหัวเราะ
คุณหนูสวีเดินคู่กับอวี้ถังอยู่เบื้องหลังพวกนาง กระซิบข้างหูอวี้ถังว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้ากำลังพูดเรื่องซื้อสาวใช้ ซวงเถาจะออกเรือนแล้วรึ?”
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่านางจะหูดีเพียงนี้ ผงกศีรษะทั้งรอยยิ้ม “นางอายุไม่น้อยแล้ว กลับไปก็ต้องตระเตรียมเรื่องออกเรือนแล้ว”
คุณหนูสวีเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งของซวงเถาขึ้นมา แต่งให้กับใคร? นิสัยใจคอเป็นอย่างไร? ภายหลังยังรั้งตัวรับใช้ข้างกายอวี้ถังอีกหรือไม่?
ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงมีเรื่องสงสัยมากมายขนาดนี้
อวี้ถังไม่คิดรำคาญแต่อย่างใด กลับมีความรู้สึกราวกับได้ระบายความในใจ พวกนางเดินตามทางเดินเล็กๆ ยังไม่ทันครบรอบ นางก็ทราบสถานการณ์ในเรือนของอวี้ถังคร่าวๆ หมดแล้ว
นางยังพยายามจะช่วยเหลืออวี้ถังเลือกสาวใช้
อวี้ถังทนไม่ไหว
คิดว่าคุณหนูทำเช่นนี้ก็เพราะว่างเกินไป
นางเอ่ยว่า “เจ้าว่างใช่หรือไม่? หลังจากวันสรงน้ำพระ พวกเจ้าไม่ใช่ว่าต้องกลับถงหลูทันทีหรอกรึ?” นางนึกถึงคุณหนูสวีที่กล้าถามนางแทบทุกอย่าง นางก็ถามคุณหนูสวีอย่างใจกล้าบ้าง “นายหญิงสามสกุลหยางกลับบ้านเกิดมาทำอะไร? นางทำธุระเสร็จแล้วรึ?”
คุณหนูสวีมองซ้ายแลขวา จากนั้นก็ดึงอวี้ถังมากระซิบข้างหู “มีคนอุ้มเด็กมาหาท่านแม่เฒ่าหลี กล่าวว่าเป็นภรรยาลับที่พี่รองสกุลอินเลี้ยงดูไว้ ท่านแม่เฒ่าหลีตกใจจนหัวใจแทบวาย จึงส่งนายหญิงสามสกุลหยางเข้ามาจัดการเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะจากที่นี่ไปยังไหวอันเลย ไม่อย่างนั้น อินหมิงหย่วนจะหลอกล่อข้ามาเจียงหนานได้อย่างไร!”
อวี้ถังก็ตกใจจนหัวใจแทบวายเช่นกัน
คุณหนูสวีบอกเรื่องนี้กับนางเช่นนี้ ไม่เหมาะสมเท่าไรกระมัง?
คุณหนูสวีกลับไม่ใส่ใจนัก กลอกดวงตาไปทั่ว เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะพูดอะไรกับใครก็ได้อย่างนั้นรึ? ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องคนหนึ่งต่างหากจึงวางใจ”
“แต่เจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้!” อวี้ถังเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังโยนเรื่องนี้มาหาข้า ทำให้ข้ามีภาระขึ้นมาหรอกรึ?”
คุณหนูสวีตะลึงงัน
อวี้ถังเอ่ยอธิบาย “การรักษาความลับให้คนอื่น นับเป็นเรื่องที่เหนื่อยอย่างยิ่ง!”
คุณหนูสวีหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง มองนางด้วยแววตาที่ระยิบระยับ เอ่ยว่า “เจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าคิดว่าข้ามองคนไม่ผิด แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องแบกภาระอะไร อย่างมากที่สุดก็สองสามเดือน ความจริงของเรื่องนี้คงจะปรากฏไปทั่วแล้ว”
“หา?” อวี้ถังเบิกตากว้างมองคุณหนูสวี
คุณหนูสวีกะพริบตาให้นาง
อวี้ถังส่ายศีรษะอย่างจนใจ
คุณหนูสวีเอ่ยเสียงเบา “ชื่อของเจ้าคือตัวไหน? ชื่อเดี่ยวของข้าคือ ‘เซวียน’ เพราะในเรือนอยู่ลำดับที่สิบสาม คนในเรือนจึงเรียกข้าว่าสือซาน(สิบสาม)”
นี่คงหมายความว่าจะยอมรับอวี้ถังเป็นเพื่อนสนิทแล้ว
อวี้ถังก็ชื่นชอบคุณหนูสวี เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ชื่อเดี่ยวของข้าคือ ‘ถัง’ คนในเรือนเรียกข้าว่า ‘อาถัง’ ” ทั้งยังเอ่ยต่อว่า “เจ้าและญาติผู้พี่สกุลเจ้าเรียงลำดับอาวุโสรวมกันอย่างนั้นรึ?”
ไม่อย่างนั้นสกุลสวีมีคุณหนูสิบสามคน คงจะเยอะเกินไปกระมัง
คุณหนูสวีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็เรียกเจ้าตามคนในเรือนว่า ‘อาถัง’ ได้แล้วใช่หรือไม่”
อวี้ถังผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม
คุณหนูสวียอมรับน้องสาวผู้นี้ ก็ดีใจเตรียมจะลูบศีรษะอวี้ถัง
อวี้ถังกลับหลบหลีกอย่างว่องไว ตำหนิว่า “เจ้าอย่าอาศัยความได้เปรียบที่สูงกว่าข้า เอาแต่คิดลูบศีรษะข้า หากผมข้ายุ่งขึ้นมายังต้องจัดแต่งใหม่”
คุณหนูสวีหัวเราะชอบใจ อิ่มเอมจนแทบจะกางปีกโบยบินราวกับนกน้อย
ก่อนทางนายหญิงสามสกุลหยางจะมีเสียงหญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบขึ้นมา
อวี้ถังและคุณหนูสวีต่างก็หันไปมองพร้อมกัน พบว่าเป็นนายหญิงน้อยรองสกุลเผิงพาคุณหนูทั้งสองคนที่อายุน้อยกว่านางเล็กน้อยเข้ามา
คุณหนูสวีขมวดคิ้วแน่น ทำปากขมุบขมิบว่า “ตามไปมาราวกับผี”
อวี้ถังเอ่ยเดาว่า “ญาติของเจ้ากับคุณหนูทั้งสองของสกุลซ่ง?”
“มิผิด!” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นางมาก็มา พาคุณหนูสกุลเผิงมา ข้าจะยังรู้สึกดีอยู่บ้าง กลับพาคุณหนูสกุลซ่งมาเสียอย่างนั้น หากไม่ใช่ว่านางได้ผลประโยชน์อะไรจากสกุลซ่ง ก็คงเพราะสกุลเผิงและสกุลซ่งผูกมิตรกัน คิดวางแผนกับสกุลพวกเราไม่ก็สกุลเผยเป็นแน่” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ตกใจ เร่งเอ่ยว่า “หรือนางอยากทำเรื่องอะไรให้สกุลพวกเราขายหน้า?”
ข้อมูลเยอะเกินไป อวี้ถังขบคิดเล็กน้อยจึงค่อยประมวลผลได้ แต่นางคิดว่าคุณหนูสวีอยู่ที่นี่ แม้นางจะสมองเร็วอย่างไรก็คงไม่เร็วเท่าคุณหนูสวีที่รู้เรื่องเครือญาติวงศ์สกุลใหญ่ๆ อยู่ดี มิสู้รอฟังจากคุณหนูสวี
“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ย “ญาติของเจ้าแต่งไปอยู่ในสกุลเผิงแล้ว แม้ว่าจะขายหน้า ก็เป็นสกุลเผิงที่ขายหน้า เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลพวกเจ้า?”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “สตรีสกุลเผิงของพวกเขาขายหน้าเป็นเรื่องปกติ จะเทียบกับหน้าตาสกุลสวีของพวกเราได้อย่างไร เจ้าดูนางสิ คนอื่นคิดวางแผนกับสกุลพวกเรา แต่นางกลับช่วยคนนอกจัดการพวกเรา คนอื่นรู้เข้าคงหัวเราะจนฟันร่วงหมดปาก หากมีคนใช้ประโยชน์นางให้เล่นลูกไม้กับสกุลเผย ท่านแม่เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าซ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดากัน มีเรื่องอะไรที่สกุลเผยและสกุลซ่งจะพูดกันเองไม่ได้ สตรีในเรือนอย่างนางที่นอกจากจะไม่ใช่ภรรยาที่มีความสามารถ ทั้งยังไร้ชื่อเสียงเรียงนาม หากนางไม่พูดว่าเป็นคนของสกุลสวี ใครจะรู้จักนางกัน! คนเช่นนี้เป็นผู้ออกหน้า ข้าว่านางจะถูกคนกล่าวว่าไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ! ไม่ได้! ข้าต้องไปพูดกับนางเสียหน่อย”
นางพูดจบ ก็สาวเท้าไปยังนายหญิงสามสกุลหยางอย่างรวดเร็ว
อวี้ถังกังวลอยู่บ้าง สืบเท้าตามไปเช่นกัน
“สือซาน!” นายหญิงน้อยรองสกุลเผิงเห็นพวกนาง ก็โบกมืออย่างดีใจทักทายคุณหนูสวี หากไม่ใช่ว่าอวี้ถังเพิ่งจะได้ยินคำพร่ำบ่นจากคุณหนูสวีเมื่อครู่ ก็คงมองไม่ออกว่าระหว่างทั้งสองคนมีรอยร้าวใหญ่ถึงเพียงใด
“นายหญิงน้อยรอง!” คุณหนูสวีทักทายนายหญิงน้อยรองสกุลเผิงด้วยรอยยิ้ม ปรากฏท่าทีผ่าเผยใจกว้าง อ่อนโยนสุภาพ เทียบกับยามที่อยู่กับอวี้ถังเมื่อครู่ คล้ายกับเปลี่ยนไปคนละคน…ยามนี้จึงค่อยเหมาะกับภาพลักษณ์คุณหนูสกุลใหญ่ ยามที่อยู่กับอวี้ถังนั้น นางเผยท่าทีสบายๆ อย่างเห็นได้ชัด
อวี้ถังลอบชมอยู่ในใจ
นี่จึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณหนูสวี สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เข้ากับสถานการณ์ตลอดเวลา
นางเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งคำนับให้นายหญิงน้อยรองสกุลเผิงตามมารยาทเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านายหญิงน้อยรองพุ่งเป้ามาหานายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวี ปฏิบัติกับอวี้ถังและคนสกุลเฉินอย่างขอไปที ยามที่แนะนำคุณหนูทั้งสองของสกุลซ่งก็เพียงแนะนำลำดับอาวุโสสั้นๆ ง่ายๆ เท่านั้น
คนสกุลเฉินก็เป็นคนที่มีหูตาว่องไว เห็นเช่นนั้นก็บอกลานายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวี
นายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวีไม่อาจรั้งพวกนางได้ ทำได้เพียงเอ่ยว่าภายหลังมีโอกาสค่อยมาเดินเล่นด้วยกันใหม่ ทั้งไม่ได้นัดแนะชัดเจนอะไร พาให้คนฟังรู้สึกว่าพวกนางค่อยข้างเมินเฉยต่อสองแม่ลูกสกุลอวี้อยู่บ้าง
ระหว่างทางกลับคนสกุลเฉินก็นิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด
อวี้ถังรีบเอ่ยว่า “ท่านคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางทำตัวเย็นชากับพวกเราอยู่บ้างใช่หรือไม่?”
คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “เจ้าเด็กคนนี้ คิดมากเกินไปแล้ว”
อวี้ถังรู้ว่ามารดาไม่ได้พูดจากใจจริง จึงช่วยพูดแทนนายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวี “ข้าได้ยินคุณหนูสวีกล่าวว่า นายหญิงน้อยรองสกุลเผิงมีเรื่องอยากขอร้องพวกนาง ทั้งพวกนางไม่อยากสนใจ แม้ว่านายหญิงสามสกุลหยางจะรู้จักท่านไม่นาน แต่ท่านก็คงรู้ว่านางไม่ใช่คนอย่างนั้น ข้ากลับคิดว่า นางทำเป็นห่างเหินพวกเราต่อหน้านายหญิงน้อยรองสกุลเผิง เพราะไม่อยากให้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นระหว่างพวกนาง”
คนสกุลเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “อย่างนั้นรึ?”
“หากท่านไม่เชื่อ พวกเราก็รอดูเถิด” อวี้ถังคิดว่าสายตาในการมองผู้คนของนางยังคงใช้ได้อยู่บ้าง
———————–