คนสกุลเฉินขบคิดอย่างละเอียด ก็คิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล วันต่อมายามที่นางพบนายหญิงสามสกุลหยาง ก็กระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วน เอ่ยถามนายหญิงสามสกุลหยางด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานนอนสบายหรือไม่? ข้าได้ยินลูกสาวกล่าวว่าคุณหนูสวีไม่คุ้นที่นางดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
นายหญิงสามสกุลหยางยังคงเผยสีหน้าปกติเช่นเคย แย้มยิ้มอ่อนโยนสุภาพ กล่าวด้วยเสียงไพเราะนุ่มนวล “ยังดีที่ลูกสาวเจ้าเอาน้ำปรุงดอกไม้ให้พวกเราครึ่งขวด ไม่อย่างนั้นคงลำบากอยู่บ้างจริงๆ”
ทั้งสองคนเอ่ยเรื่องน้ำปรุงดอกไม้ขึ้นมา
ชั่วพริบตานั้นก็สุขสันต์เปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง
อวี้ถังถอนหายใจอย่างโล่งอก
นางคิดว่าการที่มารดาจะคบเพื่อนสักคนเป็นเรื่องยาก หวังให้มารดาสามารถใช้เวลาที่วัดเจาหมิงได้อย่างมีความสุข
คุณหนูสวีส่งยิ้มให้นางจากด้านหลัง ทั้งระหว่างทางที่ไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าเผยก็กระซิบกับนางว่า “ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรพูดคุย อีกสักพักพวกเราค่อยพูดกันเถิด”
ดูท่าเมื่อวานหลังจากที่พวกนางออกไปคงมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นแน่!
ในใจอวี้ถังนั้นตรียมก่อเรื่องยุ่งแล้ว ยามที่ตามพวกท่านแม่เฒ่าไปวิหารใหญ่ก็เอาแต่คิดเรื่องนี้ จวบจนยืนปักหลักในวิหาร พระอาจารย์ก็ยกถาดรองมาเก็บกล่องไม้ที่เขียนวันเดือนปีเกิด ยามนี้อวี้ถังจึงค่อยดึงสติกลับมา ไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีก คุกเข่านั่งอยู่ทางตะวักตกของวิหารกับคุณหนูสวี ฟังพระอาจารย์ทำพิธีกรรม
เวลาครึ่งเช้าจึงผ่านไปเช่นนี้
หลังจากพิธีกรรมเสร็จ กระทั่งอวี้ถังยังต้องให้สาวใช้คอยพยุงขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกท่านแม่เฒ่า
ไร้ทางที่จะพาท่านแม่เฒ่าเผยไปส่งที่พักด้วยตัวเองอย่างสิ้นเชิง
คุณหนูสวีฉวยโอกาสเดินมาหาอวี้ถัง เอ่ยเสียงเบาว่า “ไฉนไม่เห็นคนอื่นเลย?”
ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้มีเพียงสตรีสกุลเผย สองแม่ลูกอวี้ถัง คุณหนูสวีและนายหญิงสามสกุลหยางซึ่งล้วนเป็นคนที่นั่งอยู่ในโถงบุปผาเมื่อวาน
อวี้ถังพยักหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อกับสกุลเผยขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด คล้ายว่าตัวเองกลายเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของสกุลเผยไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
คุณหนูสวีจึงเอ่ยกับนางว่า “ยามบ่ายเจ้าไปเที่ยวเล่นหาข้าสิ จะได้ไปเลือกน้ำปรุงด้วย”
ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร เขาก็จะปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น
อวี้ถังส่งยิ้มให้นาง
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันอีก เมื่อกินข้าวกลางวันในวัดแล้ว ก็นั่งเป็นเพื่อนผู้ใหญ่และพระอาจารย์ครู่หนึ่ง ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง
เมื่อครู่ที่อยู่ในวิหารอวี้ถังไม่อาจพูดอะไร กลับมาถึงห้องเซียงฝางก็นั่งลงช่วยมารดาดูเข่า
ยังดีที่ก่อนหน้านี้ใช้ผ้ารองที่หัวเข่าไว้ จึงมีเพียงขาที่แข็งอยู่บ้างเล็กน้อย นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร
คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้ายังคิดว่าตัวเองไหว! คาดไม่ถึงว่าแข้งขาจะไม่มีเรี่ยวมีแรงแล้ว ไม่ยอมแพ้ก็คงไม่ได้ ไม่รู้ว่าท่านแม่เฒ่าทำได้อย่างไร? หากข้าอายุเท่าท่านแม่เฒ่ายังมีร่างกายแข็งแรงเช่นนี้ก็คงจะดี”
ป้าเฉินนำชุดในกล่องสัมภาระมาให้คนสกุลเฉินเปลี่ยนใหม่ ได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่แน่ว่าท่านแม่เฒ่ากลับไปก็เหมือนท่านเช่นกัน อาจจะรีบนวดแข้งนวดขาก็ได้เจ้าค่ะ!”
อวี้ถังและคนสกุลเฉินหัวเราะขึ้นมา
คนสกุลเฉินให้อวี้ถังถกกระโปรงให้นางดูเช่นกัน
อวี้ถังเพราะมีประสบการณ์ของตัวเอง จึงเคร่งเรื่องพิธีกรรมขึ้นมาเป็นพิเศษ คุกเข่าจนหัวเข่าแดงเถือกไปหมด
คนสกุลเฉินสงสารอย่างยิ่ง รีบให้ป้าเฉินพานางไปประคบยาที่ห้องทางตะวักตก ยังเอ่ยว่า “ตอนเย็นก็กินข้าวในห้องเจ้านั่นแหละ เจ้าพักผ่อนบนเตียงดีๆ เสีย ตอนบ่ายอย่าได้ออกไปไหนเลย”
อวี้ถังอยากไปตามนัดของคุณหนูสวี นางเขย่าแขนมารดา “ข้าไปนั่งที่นั่นสักพักก็กลับมาแล้ว”
คนสกุลเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะให้ป้าเฉินเตรียมขนมหนึ่งชุดให้นางเอาไปฝากคุณหนูสวี กำชับนางว่า “อย่าได้เที่ยวซนไปทั่ว นอนกลางวันแล้วค่อยไปเถิด พรุ่งนี้ยังมีงานบรรยายธรรมอีก!”
อวี้ถังรับปากด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กลับไปนอนงีบหนึ่ง เมื่อตื่นก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้ซวงเถาไปนำขนมมา ก่อนจะเข้าไปหาคุณหนูสวี
ใครจะรู้ว่านางเพิ่งก้าวขาเข้าที่พักของคุณหนูสวี ก็เห็นคุณหนูสวีพาอาฝูเดินออกมาอย่างเร่งรีบ
อวี้ถังยังคิดไปว่าคุณหนูสวีได้ยินความเคลื่อนไหวจึงออกมาต้อนรับนาง
แต่คุณหนูสวีเห็นนางกลับชะงักไป อวี้ถังจึงรู้ว่าตัวเองมาไม่ได้จังหวะ คุณหนูสวีอาจมีธุระต้องออกไปข้างนอก ก่อนจะเห็นคุณหนูสวีหัวเราะอย่างกระดากอาย มองซ้ายแลขวา ดึงนางเข้าไปใต้ต้นแปะก๊วยที่ตั้งโด่อยู่ข้างนอก กระซิบกับนาง “เจ้ารู้จักโจวจื่อจินหรือไม่? โจวจื่อจินที่สอบตำแหน่งจ้วงหยวนได้ ทั้งเชี่ยวชาญเรื่องวาดภาพสาวงามผู้นั้น”
อวี้ถังย่อมจำเขาได้
ก่อนหน้านี้เขาพักอยู่ในหลินอันช่วงหนึ่ง อยู่ติดกับเผยเยี่ยนทั้งวันราวกับเงา ยามที่นางท้องเสียในเมืองหังโจว โจวจื่อจินยังส่งคนมาเยี่ยมดูนาง
นางเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าถามหาเขาทำไมรึ?”
คุณหนูสวีเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เขาก็มาวัดเจาหมิงเช่นกัน ข้าต้องไปดูว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“ทำแบบนี้ไม่ดีกระมัง!” อวี้ถังเอ่ยอย่างลังเล
คุณหนูสวีไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าเขาเจ้าชู้อารมณ์ขันยิ่งกว่าเผยสยากวง! เจ้าเข้าไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด!”
อวี้ถังขมวดคิ้ว
ในความคิดของนาง แม้ว่าเผยเยี่ยนจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเย็นชา แต่การกระทำกลับถูกระเบียบแบบแผน ไม่เหมือนโจวจื่อจิน กิริยาท่าทางล้วนแฝงความเหลาะแหละ นางไม่ค่อยชอบนัก
“โจวจื่อจินจะเทียบกับนายท่านสามได้อย่างไร!” อวี้ถังหลุดปากออกไปแทบไม่ต้องคิด
“เจ้าเคยพบโจวจื่อจินแล้วจริงๆ ด้วย!” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างตกใจ มองพินิจนางขึ้นลง “ถึงว่า เหตุใดเจ้าจึงไม่สงสัยเท่าใด? ที่แท้ไม่เพียงเจ้าจะเคยพบเผยสยากวง ยังเคยพบโจวจื่อจินอีกด้วย!”
อวี้ถังลนลานขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนเจียงหนาน ย่อมมีโอกาสพบพวกเขามากกว่าเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนโจวจื่อจินก็เคยมาหลินอัน ในเมืองหลินอันก็ไม่ใช่มีเพียงข้าที่เคยพบพวกเขาทั้งสองคนเสียหน่อย มีอะไรให้โอ้อวดกัน”
คุณหนูสวีย่ำเท้า “ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุคสมัยนี้ มีเพียงเผยสยากวงและโจวจื่อจินที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน เผยสยากวงออกจากราชการแล้ว ครั้งนี้หากข้าไม่ได้พบ เกรงว่าภายหลังก็คงไม่อาจได้พบอีกแล้ว โจวจื่อจินยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากเขาจะออกจากราชการ ยังเทียวไปเทียวมาอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ครั้งนี้ข้าโชคดีที่โอกาสประจวบเหมาะ อย่างไรก็ต้องพบให้ได้เสียหน่อย!”
อวี้ถังไม่เข้าใจความดื้อรั้นเช่นนี้
คุณหนูสวีเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ข้าและอินหมิงหย่วนกำลังเรียบเรียงบันทึกของจิ้นซื่อ อยากรวบรวมข้อมูลจิ้นซื่อสิบอันดับแรกในช่วงไม่กี่ปีมานี้ให้หมด เขียนข้อมูลจิ้นซื่อและวาดภาพ ยามนี้ขาดเพียงโจวจื่อจินเท่านั้น”
อวี้ถังตกตะลึง คล้อยหลังก็หน้าชา
นางยังคิดว่าคุณหนูสวีอยากพบเขาเพราะเบื่อเฉยๆ เสียอีก
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า!” งานบรรยายธรรมของวัดเจาหมิงใกล้เข้ามาแล้ว สกุลเผยกลัวจะเกิดเรื่อง จึงส่งผู้คุ้มกันมาเฝ้ารอบวัดเจาหมิง ในความคิดของอวี้ถัง วัดเจาหมิงย่อมปลอดภัยเหมือนกับเรือนหลังของสกุลเผย นางจึงตอบตกลงทันที
คุณหนูสวีดีใจอย่างยิ่ง ดึงนางวิ่งไปพลาง เอ่ยไปพลาง “ถึงเวลานั้นเจ้าต้องชี้ให้ข้าดู”
อวี้ถังถูกนางดึงก็เซไปเซมาอยู่นาน จึงค่อยตามฝีเท้านางทัน
“โจวจื่อจินอยู่ที่ไหน?” นางหอบหายใจถามคุณหนูสวี “พวกเราจะเจอเขาได้อย่างไร? เขามาร่วมงานบรรยายธรรมของวัดเจาหมิงอย่างนั้นรึ?”
ถามติดต่อกันจนคุณหนูสวีล้วนไม่รู้จะตอบอะไรดี ทำได้เพียงเอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามาก็เพียงพอแล้ว”
ทั้งสองคนวิ่งเหยาะๆ ไปตามทาง ก่อนจะยืนปักหลักที่ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “พวกเรารออยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว นี่เป็นเส้นทางที่เผยสยากวงจำเป็นต้องผ่านออกมา โจวจื่อจินมาวัดเจาหมิง ย่อมต้องเข้ามาเยี่ยมเยียนเผยสยากวง…”
นางพูดไม่ทันจบ อวี้ถังกลับเห็นกู้เจาหยางในชุดคลุมผ้าหังโฉวสีน้ำเงิน ผิวขาวกระจ่าง เผยท่าทีองอาจสง่างาม เดินเข้ามาทางนี้พร้อมผู้ติดตามที่ล้อมรอบอีกสี่ห้าคน
“ไฉนกู้เจาหยางจึงอยู่ที่นี่?” อวี้ถังตกใจ “ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ที่เมืองหลวงหรอกรึ?”
คุณหนูสวีก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดพักใหญ่ ก่อนจะพึมพำ “หรือผู้ตรวจการที่ส่งมาเจียงหนานจะเป็นกู้เจาหยาง?”
“หมายความว่าอย่างไร?” อวี้ถังไล่ต้อน
คุณหนูสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าจะออกจากเมืองหลวง ทุกคนก็เล่าลือกันว่าทางน้ำของเกาโหยวเกิดปัญหา ฝ่าบาทจึงให้สำนักตรวจการส่งผู้ตรวจการไปที่เกาโหยว ดูท่า ผู้ตรวจการคนนี้ก็คือกู้เจาหยาง!”
อวี้ถังเอ่ยว่า “เช่นนั้นเขาก็ควรจะอยู่ที่เกาโหยวสิ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
“เขามาไกลอยู่บ้าง” คุณหนูสวีเอ่ย เผยสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง
อวี้ถังเอ่ยว่า “ผู้ตรวจการของเจียงหนานเดินทางไปไหนมาไหนตามใจชอบได้อย่างนั้นรึ?”
“พวกเขาต้องตรวจสอบคดี ย่อมเดินทางไปไหนมาไหนตามใจได้” คุณหนูสวีจับจ้องที่ทางเดิน นิ่งเงียบไปพักใหญ่ เอ่ยเสียงเบาว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์ชายทั้งสองหรือไม่?”
ไฉนยังพัวพันกับเรื่องของราชวงศ์อีก?
อวี้ถังวูบไหวในใจ
คุณหนูสวีรีบหัวเราะขึ้นมา เอ่ยอย่างขัดเขิน “ข้าเพียงแค่เดาส่งเดชเท่านั้น…ทุกคนล้วนกล่าวกันว่าเงินที่กรมโยธาธิการจัดสรรให้ใช้ซ่อมแซมทางน้ำของเกาโหยวถูกคนยักยอกไป ข้าจึงได้พูดเช่นนี้ ตกลงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ต้องตรวจสอบดูก่อนถึงจะรู้!”
ยิ่งนางอธิบายอวี้ถังก็ยิ่งกังวลใจ
“นี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสกุลเผยกัน?” นางถามอย่างไม่สบายใจ
คุณหนูสวีขบคิดอยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยเสียงแผ่ว “สกุลใหญ่เหล่านี้ของเจียงหนาน อย่ามองว่าขัดแย้งกันภายใน ยามที่เกิดเรื่องสำคัญกลับสมัครสมานกันอย่างยิ่ง ใครก็พูดแน่นอนไม่ได้ว่าจะกลายเป็นศัตรูยามใด ทั้งจะจับมือสามัคคีกันยามใด โจวจื่อจินปรากฏตัวในยามนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน!”
อวี้ถังไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ไปในแง่ร้าย เอ่ยเคร่งขรึมว่า “ไม่แน่ว่าคนอื่นเขาอาจจะมาเพราะงานแต่งของคุณหนูกู้และคุณชายใหญ่สกุลเผยก็ได้!”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” คุณหนูสวีลูบคาง คล้ายกับการกระทำของผู้ชาย เอ่ยว่า “เดิมทีงานแต่งของสกุลกู้และสกุลเผยก็เกิดอย่างกะทันหัน ย่อมยังมีเรื่องที่ไม่ทันได้ปรึกษากันดี เขามาด้วยตัวเองก็เป็นไปได้ ประการแรกเพื่อกำหนดเรื่องงานแต่งของสองสกุลให้แน่นอน ประการที่สองอาจมาเพื่อหนุนหลังน้องสาว สกุลกู้บ้านรอง ไม่ค่อยมีหน้ามีตาเท่าไร” พูดจบ นางก็ถามอวี้ถัง “ไฉนหลายวันนี้ล้วนไม่เห็นนายหญิงใหญ่สกุลเผย นางควรจะตามทุกคนเข้ามาในวัดด้วยไม่ใช่รึ?”
“ไม่ทราบเช่นกัน” อวี้ถังเอ่ย “ข้าไม่ได้สังเกต”
นางนั้นไม่ได้สังเกตจริงๆ
คุณหนูสวีร้อง ‘อ้อ’ ออกมา ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง อวี้ถังเห็นว่ากู้เจาหยางเข้ามาใกล้พวกนางขึ้นเรื่อยๆ เร่งเอ่ยว่า “พวกเราควรไปหลบหลังต้นไม้หรือไม่? พวกเรายืนอยู่เช่นนี้ จะถูกกู้เจาหยางเห็นได้ง่าย”
คุณหนูสวีได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะดึงมืออวี้ถังเตรียมเดินออกไป “พวกเราควรเป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนี้ให้คนสงสัย พวกเราเดินเข้าไป หากเขารั้งตัวถามพวกเรา พวกเราก็พูดว่าไปว่ามาขอเข้าพบเผยสยากวง หากเขาหลีกทางให้พวกเรา พวกเราก็ทำเป็นไม่เห็นเขาเสีย เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
อวี้ถังเป็นคนขี้ขลาดระวังระมัดอยู่เรื่อยมา หากเป็นยามปกติ นางอาจจะคิดว่าทำเช่นนี้ไม่ดี แต่ยามนี้ นางอยากรู้ว่ากู้ฉ่างมาด้วยเหตุใด? เรื่องของเกาโหยวเกี่ยวข้องกับสกุลเผยหรือไม่?
นางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปพร้อมกับคุณหนูสวี
———————–