ตอนที่ 265 ชิงเฉินและเฟยเยียน

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ มองไปตามทิศทางที่ผู้คนปั่นป่วนอยู่

 

 

ไกลออกไป ลำแสงขาวดุจหิมะสายหนึ่งร่อนลงจากบนฟ้าสีคราม นี่คือลำแสงเฉพาะของผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณน้ำแข็ง ก็เหมือนกับลำแสงสีมรกตของหลัวอวี้เฉิงที่มีรากวิญญาณลม เป็นความสง่างามเฉพาะตัวของพวกเขาที่ยากจะปิดบังได้

 

 

มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นคึกคักของผู้บำเพ็ญเพียรรอบๆ ได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางสายตาคลั่งไคล้ของผู้คน หญิงสาวที่เย็นดุจน้ำแข็งคนหนึ่งยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามา

 

 

นางตัวสูงมาก ส่วนสูงของมั่วชิงเฉินนับว่าสูงโปร่งในบรรดาผู้หญิงแล้ว ทว่าหากยืนอยู่ข้างหญิงผู้นี้ กลับต้องเตี้ยกว่าครึ่งช่วงศีรษะเต็มๆ

 

 

เพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็จำได้ว่านางต้องเป็นมั่วเฟยเยียนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ที่จริงว่ากันด้วยรูปโฉมเพียงอย่างเดียว มั่วเฟยเยียนไม่มีจุดเด่นอะไรที่ทำให้คนจากกันหลายสิบปียังสามารถจำได้ในปราดเดียว ทว่าปราณวิญญาณน้ำแข็งเฉพาะตัวของนาง กลับเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเลียนแบบได้

 

 

มั่วเฟยเยียนไม่นับเป็นคนสวย ในบรรดาแม่นางในตระกูลมั่วรุ่นนี้ ไม่พูดถึงมั่วชิงเฉินที่งามหยาดเยิ้มไร้ผู้เทียมทาน มั่วหรั่นอีที่งามตะลึงน่าเสน่หา หากเพียงแค่พูดถึงหน้าตา ต่อให้เทียบกับมั่วอวี้ฉี มั่วหนิงโหรวก็เทียบไม่ติด ทว่าบุคลิกของนางกลับเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน

 

 

ใบหน้านางขาวสะอาดดุจน้ำแข็ง ดวงตาเยือกเย็นดังหมึก ส่องประกายน้ำค้างแข็งอันเยือกเย็น สวมชุดสีขาวดุจหิมะเดินอย่างเงียบสงบอยู่บนถนน ก็เหมือนเมฆาลอยผ่าน ไม่เปราะเปื้อนฝุ่นผงแม้สักนิด

 

 

แสงจันทร์สุกสกาว หิมะส่องประกาย นั่นคือสีของหิมะที่ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์ ทำให้คนมองแล้วละอาย

 

 

“ชิงเฉิน ใช่นางหรือไม่?” ต้วนชิงเกอส่งเสียงทางจิตเงียบๆ

 

 

“ใช่” มั่วชิงเฉินจับจ้องมั่วเฟยเยียนที่ยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามา

 

 

ที่น่าสนใจคือผู้บำเพ็ญเพียรมากมายของลั่วสยาเห็นมั่วเฟยเยียนแล้วแม้ตื่นเต้นอย่างเหลือล้น กลับไม่มีคนขึ้นหน้าไปสักก้าว ราวกับการทำเช่นนั้นจะทำให้สาวงามหิมะตรงหน้ามัวหมอง

 

 

มั่วเฟยเยียนเดินไปในตลาดอย่างไม่ว่อกแว่ก สีหน้าสงบ ไม่มีสีหน้าได้ใจเพราะความกระตือรืนร้นของทุกคนแม้แต่น้อย ราวกับทุกสิ่งนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง

 

 

มั่วชิงเฉินตามขึ้นไปอย่างใจเย็น

 

 

มั่วเฟยเยียนเดินไปถึงที่หนึ่งแล้วนั่งลง เริ่มหยิบของออกมาติดๆ กัน ไม่นานนักก็ตั้งแผงขายของขึ้นมา

 

 

แผงขายของนั้นเล็กมาก ข้างบนวางยันต์ไว้หลายชนิด ที่สะดุดตาที่สุดก็คือยันต์ที่มีลวดลายยันต์รูปเกล็ดหิมะสีขาวอมเขียวอ่อนตั้งหนึ่ง นั่นคือยันต์ใจผนึกน้ำแข็งแบบที่มั่วชิงเฉินเพิ่งซื้อนั่นเอง

 

 

จนกระทั่งยามนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่มองมั่วเฟยเยียนตาปริบๆ ถึงกรูกันเข้ามา

 

 

“เซียนน้ำแข็ง ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่ข้าขอซื้อใบหนึ่ง”

 

 

“เอ๊ะ เจ้าบังข้าแล้ว เซียนน้ำแข็ง ข้าขอซื้อสองใบ”

 

 

 

 

“ข้าเหมาหมด!” เสียงโดดขึ้นมาเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

“เอ๊ะ เจ้าใครน่ะ ถือดีอะไรเหมาหมดล่ะ… อุ๊ย คุณหนูหรวน!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งร้องด้วยความตกใจ

 

 

กลุ่มคนเงียบงันลงทันที จากนั้นแยกออกไปข้างๆ เผยให้เห็นเงาร่างสีเลือดหมูเงาหนึ่งออกมา นั่นคือหรวนหลิงซิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เห็นโฉมหน้าของคนที่มาอย่างชัดเจนแล้ว กลุ่มคนสงบลงทันที กลับไม่ยอมจากไป เพียงแต่มุงดูอย่างเงียบๆ

 

 

หรวนหลิงซิ่วเหล่มั่วเฟยเยียนปราดหนึ่ง ในดวงตาฉายแววริษยาที่จับได้ยากแวบหนึ่ง จากนั้นชี้ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งตั้งนั้นว่า “อันนี้ ข้าซื้อหมดเลย”

 

 

มั่วเฟยเยียนหลุบตาจัดยันต์ ไม่พูด

 

 

หรวนหลิงซิ่วเลิกคิ้ว ขึ้นเสียงสูงว่า “เฮ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่ ยันต์นี่ข้าซื้อหมดเลย!”

 

 

“ได้ยินแล้ว” เสียงเพราะพริ้งไพเราะดั่งหยกน้ำแข็งกระทบกันลอยมา

 

 

“รู้แล้วยังไม่เก็บขึ้นให้ข้าอีก” หรวนหลิงซิ่วเอ่ยอย่างรำคาญ

 

 

มั่วเฟยเยียนยกตาขึ้นช้าๆ กวาดหรวนหลิงซิ่วนิ่งเรียบปราดหนึ่ง จากนั้นหลุดออกมาสองคำ “ไม่ขาย!”

 

 

“ซี้ด!” เสียงสูดลมดังมาจากในกลุ่มคน

 

 

“ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี่ใครน่ะ โอหังถึงเพียงนี้?” ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักอื่นที่เพิ่งมาถึงสำนักลั่วสยาได้ไม่นานถามเบาๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ รีบกระชากเขาทีหนึ่งว่า “ชู่ เจ้าเบาหน่อย ถูกท่านย่านั่นสังเกตเห็นก็ซวยแล้ว”

 

 

“เอ๊ะ เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าเซียนน้ำแข็งท่านนี้มีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน ฐานะในสำนักลั่วสยาไม่ธรรมดาอย่างไรล่ะ หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรนั่นความเป็นมายิ่งใหญ่กว่า?” ผู้บำเพ็ญเพียรก่อนหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ สายตายิ่งไม่ยอมออกห่างจากสองสาวที่อยู่ในนั้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “พูดเช่นนี้ก็จริง ฐานะของเซียนน้ำแข็งในสำนักลั่วสยาไม่ธรรมดาก็จริง ทว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้ยิ่งไม่มีคนกล้าตอแยด้วย นางเป็นบุตรสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักเชียวนะ รู้จักท่านหรูอวี้เจินจวินที่อยู่ลั่วสยายามนี้หรือไม่?”

 

 

“รู้จัก” คนก่อนหน้านี้รีบพยักหน้า

 

 

“นั่นคือท่านน้าแท้ๆ ของนาง!”

 

 

“หา ไยเซียนน้ำแข็งนั่นยังกล้าทำเช่นนี้ นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ?” คนก่อนหน้านี้ส่ายศีรษะ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ถอนใจว่า “เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ความขัดแย้งของพวกนางสองคนไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว คอยดูเถอะ”

 

 

“ไม่ขาย? มั่วเฟยเยียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หรวนหลิงซิ่วถามด้วยสีหน้าโมโห

 

 

เสียงนิ่งๆ เรียบๆ ของมั่วเฟยเยียนลอยมา “ขายยันต์”

 

 

หรวนหลิงซิ่วสูดลมเข้าอย่างแรงอึดหนึ่ง แล้วจ้องมั่วเฟยเยียนตาไม่กะพริบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าถือดีอะไรไม่ขายให้ข้า?”

 

 

สายตาเยือกเย็นของมั่วเฟยเยียนกวาดผ่านหน้าหรวนหลิงซิ่ว แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไม่ถือดีอะไรทั้งนั้น ไม่ขาย” พูดจบก้มหน้าจัดยันต์ที่วางอย่างยุ่งเหยิงเพราะการแย่งของผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อครู่ให้เรียบร้อยอย่างไม่รีบร้อน ราวกับหรวนหลิงซิ่วที่ไฟลุกสามจั้งตรงหน้าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ถูกเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ นอกจากคู่อาฆาตนั่นแล้วก็คือมั่วเฟยเยียนที่น่ารังเกียจคนนี้แล้ว หรวนหลิงซิ่วแอบแค้นอยู่ในใจ จึงอดโกรธคนตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนไม่ได้ เสียดายที่ตบะตนสู้เขาไม่ได้ ไม่สามารถระบายอารมณ์ด้วยตนเองได้ ยังดีครั้งนี้เตรียมตัวมา

 

 

“ศิษย์พี่สวี่ ศิษย์พี่จ้าว พวกเจ้าดูที่ข้าพูดไว้ไม่ผิดสินะ นางหนูนี่รังแกคน เจาะจงสร้างความลำบากใจให้ข้า” หรวนหลิงซิ่วหันหลัง พูดกับผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างๆ

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตากว้างด้วยความตะลึง นางนึกมาตลอดว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานระยะปลายสองคนนี้เป็นคนมุงดู ไม่คิดว่าจะเป็นกำลังหนุนของหรวนหลิงซิ่ว

 

 

เป็นอันใด นี่นางจงใจเตรียมตัวมาหาเรื่องมั่วเฟยเยียนเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินหรี่ตาขึ้นมา

 

 

ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่หลังหรวนหลิงซิ่วมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายทั้งคู่ คนหนึ่งใส่ชุดสีเหลืองทึม หน้าตาธรรมดา อีกคนหนึ่งใส่เครื่องแต่งกายของนิกายเลี่ยนเป่า ใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา จุดเด่นที่มีร่วมกันของทั้งสองคน ก็คือหน้าแฝงความผยอง

 

 

หรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งฉ่ำเยิ้มกวาดทั้งสองคนปราดหนึ่ง กลับแอบขมวดคิ้ว

 

 

ตั้งแต่ที่นางกลับสำนักลั่วสยาถึงพบว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ชื่อเซียนน้ำแข็งคนหนึ่งได้รับการเทิดทูนจากศิษย์ในสำนักมาก ท่ามกลางการสังเกตถึงพบว่าที่แท้เซียนน้ำแข็งที่ผู้คนพูดถึงก็คือนางหนูน้อยที่อาจารย์อาเฮ่าเย่ว์พากลับมาเมื่อหลายสิบปีก่อน

 

 

ยามนั้นมั่วเฟยเยียนยังเล็ก หรวนหลิงซิ่วผ่านไปไม่กี่ปีก็ออกไปท่องเที่ยวฝึกตนแล้วพบกับเยี่ยเทียนหยวน นับแต่นั้นรากรักฝังลึกตามเขาไปอยู่ในพรรคเหยากวง อยู่ทีหนึ่งก็ยี่สิบกว่าปี ไม่คิดว่าหลังจากกลับมาแล้วถึงพบว่าถูกมั่วเฟยเยียนคนนี้แย่งความสนใจไปเสียทุกเรื่องแล้ว

 

 

ดันคนอื่นล้วนปั้นหน้ายิ้มต้อนรับตน ก็มีเพียงมั่วเฟยเยียนคนนี้ที่เหมือนก้อนหินเน่าเหม็นก็ไม่ปาน คอยทำให้ตนอับอายไปเสียทุกที่ ที่น่าหงุดหงิดก็คือตบะยังสู้นางไม่ได้ เพื่อระบายอารมณ์ จึงได้แต่พาสองคนนี้มาแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองในสองคนนี้ชื่อสวี่เซี่ยวถัน เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลบำเพ็ญเพียรระดับกลางตระกูลหนึ่ง พรสวรรค์หนึ่งในหมื่น มีรากวิญญาณฟ้าธาตุทองที่หายากยิ่ง ครั้งนี้ตระกูลสวี่ส่งคนเข้าร่วมศึกเต๋ามาร ไม่รู้ว่ตั้งใจหรือไม่เจตนา สวี่เซี่ยวถันคนนี้คอยเอาอกเอาใจหรวนหลิงซิ่ว แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาขอความรัก

 

 

ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นศิษย์หัวกะทิแห่งนิกายเลี่ยนเป่า ชื่อจ้าวเจิ้นหมิง

 

 

นิกายเลี่ยนเป่าและสำนักลั่วสยาอยู่ติดกัน รู้ตื้นลึกหนาบางของสำนักลั่วสยามากว่าสำนักอื่นมาก จึงรู้ฐานะที่ไม่ธรรมดาของหรวนหลิงซิ่ว

 

 

หรวนหลิงซิ่วแม้เอาแต่ใจ กลับไม่ใช่คนโง่จริงๆ จากที่นางดูมาสองคนนี้มีใจขอความรักตน นอกจากพรสวรรค์ รูปโฉม สิ่งที่ยิ่งให้ความสำคัญคิดว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นฐานะของนาง

 

 

ยกตัวอย่างเช่นสวี่เซี่ยวถัน หากเขาแต่งงานกับตน เช่นนั้นตระกูลของพวกเขาต้องก้าวกระโดดกลายเป็นตระกูลบำเพ็ญเพียรใหญ่เป็นแน่ ส่วนจ้าวเจิ้นหมิง เกรงว่าก็เพื่อให้ฐานะในนิกายเลี่ยนเป่าสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

 

 

พูดถึงที่สุด พวกเขาล้วนสู้เขาไม่ได้ หากเขาชอบใครสักคน จะไม่มีทางมีความคิดมากมายเช่นนี้หรอก

 

 

หรวนหลิงซิ่วแอบถอนใจทีหนึ่ง หากไม่เพื่อระบายอารมณ์ นางก็ขี้เกียจสนใจสองคนนี้

 

 

เห็นหรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งมองมา สวี่เซี่ยวถันเอ่ยปากก่อนว่า “ศิษย์น้องหรวนวางใจได้ ศิษย์พี่ไม่ให้เจ้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแน่นอน” พูดพลางมองมั่วเฟยเยียนที่สีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

เดิมทีเขาได้รับคำสั่งจากในตระกูลให้ขอความรักคุณหนูใหญ่ท่านนี้ มีความไม่เต็มใจ ทว่าพบหน้ากันถึงพบว่าคุณหนูใหญ่คนนี้แม้เอาแต่ใจไปบ้างกลับเป็นคนตรง พรสวรรค์แม้สู้ตนเองไม่ได้อย่างไรเสียก็เป็นรากวิญญาณคู่ ที่สำคัญกว่าคือรูปโฉมโดดเด่น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สวยสู้ได้ยังมีไม่มากจริงๆ

 

 

อีกทั้งนึกถึงฐานะของนาง หากสามารถบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยจริง ก็ถือว่าหายาก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเลี่ยนเป่าอีกคนหนึ่งกลับไม่พูด แม้เขามีใจขอความรักหรวนหลิงซิ่ว กลับรู้ว่าเซียนน้ำแข็งตรงหน้าก็มิใช่คนที่ควรตอแยด้วย หากเกิดเรื่องอะไรจริงเจ้าสำนักลั่วสยาไม่กล่าวโทษบุตรสาวตน แต่ต้องพาลโกรธถึงพวกเขาสองคนแน่ๆ

 

 

ฐานะตนในนิกายเลี่ยนเป่าแม้ไม่ต่ำ ทว่าอย่างไรเสียนิกายเลี่ยนเป่าก็มีอิทธิพลสู้สำนักลั่วสยาไม่ได้ หากเจ้าสำนักสำนักลั่วสยาตำหนิลงมา ไม่แน่อาจารย์อาจด่าตนอย่างรุนแรงยกหนึ่ง

 

 

“เป็นอันใด ศิษย์พี่จ้าว ปกติเจ้าบอกว่าตนฉลาดเยี่ยมยุทธ์มิใช่หรือ ไยบัดนี้ไม่พูดแล้ว หรือว่าเห็นนางหนูนี่มีรากวิญญาณน้ำแข็ง ก็กลัวแล้ว?” หรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งเป็นประกายแวววับ กระแนะกระแหนว่า

 

 

สายตาต่อว่าของสวี่เซี่ยวถันกวาดมา

 

 

หากบอกว่าจ้าวเจิ้นหมิงก่อนหน้านี้ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ถูกคนงามกระตุ้นเช่นนี้ อีกทั้งได้รับสายตาต่อว่าจากศัตรูหัวใจ สติสัมปชัญญะไม่กี่ส่วนนั้นก็หายไปในทันที ทันใดนั้นจึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องหรวนเข้าใจศิษย์พี่ผิดแล้ว ศิษย์พี่ไม่เหมือนใครบางคนหรอกนะ ได้แต่พูดทำไม่เป็น”

 

 

“เซียนน้ำแข็ง ยันต์นี่อย่างไรเจ้าก็ขายให้ศิษย์น้องหรวนเป็นเช่นไร?” สวี่เซี่ยวถันยักคิ้วหลงคิดว่าสง่างาม ในความเป็นจริงการทำเช่นนี้บนใบหน้าธรรมดาของเขานั่นแล้ว กลับดูตลกเล็กน้อย

 

 

มั่วเฟยเยียนนั่งเงียบๆ ราวกับตรงหน้ามีแต่อากาศธาตุก็ไม่ปาน

 

 

“สุราคารวะไม่ดื่มดื่มสุราโทษ!” ในที่สุดสวี่เซี่ยวถันก็โกรธแล้ว อาวุธเวทกระบี่คู่ปรากฏขึ้นในมือ

 

 

มั่วเฟยเยียนลุกขึ้นยืน โบกมือเก็บแผงขายของขึ้น แล้วเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจทั้งสามคน

 

 

จ้าวเจิ้นหมิงก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งขวางทางไปไว้

 

 

หรวนหลิงซิ่วสองมือกอดอก มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะสายหนึ่ง

 

 

ในเวลานี้เอง เสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนเก็บยันต์ขึ้น ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนั่น ข้าเอาหมดแล้ว”

 

 

ผู้คนตกใจจนอ้าปากค้าง เหตุใดเวลาเช่นนี้ ยังมีคนยื่นขาเข้ามาข้างหนึ่งอย่างไม่กลัวตาย

 

 

ท่ามกลางสายตาตกใจอีกทั้งแฝงด้วยความตื่นเต้นรางๆ ของทุกคน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ดูแล้วท่าทางเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี ใส่ชุดเรียบง่ายสีเขียวเดินเข้ามาอย่างใจเย็น

 

 

หรวนหลิงซิ่วเห็นคนที่มาแล้วสีหน้าก็ดำทันที กัดฟันว่า “นางมาร ข้ายังไม่ได้หาเจ้าคิดบัญชี ไม่นึกว่าเจ้ายังกล้าเสนอหน้าขึ้นมาอีก!”

 

 

ดวงตาดอกท้อของมั่วชิงเฉินกวาดมองหรวนหลิงซิ่วอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วยิ้มร่าว่า “ไยข้าถึงไม่กล้า หรือว่าจะกลัวตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของเจ้า?”

 

 

เมื่อพูดออกไป ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยหัวเราะออกมาทันที

 

 

“มั่วชิงเฉิน พวกเจ้าแซ่มั่ว ช่างมีแต่คนน่ารังเกียจจริงๆ!” หรวนหลิงซิ่วโกรธมาก