ตอนที่ 266 พวกเราแลกเปลี่ยนวิชากันอยู่

พันธกานต์ปราณอัคคี

“มั่วชิงเฉิน” สามคำพูดออกมา มั่วเฟยเยียนที่หน้าดุจน้ำแข็งตลอดเวลาเงยหน้าขึ้นทันที สายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉินตรงๆ

 

 

“ศิษย์พี่สวี่ ศิษย์พี่จ้าว พวกเจ้ายังรออะไรอีก!” หรวนหลิงซิ่วกระทืบเท้าอย่างแรงทีหนึ่ง ดึงแส้ยาวสีทองประกายแวววาวตวัดใส่หน้ามั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินเท้าซ้ายก้าวออกข้างๆ ร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางลอยออกไปไกลหลายจั้งทันที แล้วก็เห็นเงาแส้สายหนึ่งพันอยู่ด้วยกันกับแส้ยาวสีทอง

 

 

“ต้วนชิงเกอ เจ้าก็มาแส่หรือ?” หรวนหลิงซิ่วสีหน้าตึงเครียด ตะคอกด้วยความโกรธว่า

 

 

ต้วนชิงเกอกลับไม่พูดสักคำ ตวัดแส้ยาวในมือจนเหมือนผีเสื้อร่ายรำ ทำให้คนมองกระบวนท่าไม่ชัด เห็นเพียงเงาแส้เต็มท้องฟ้าเหมือนกรงขังกักขังสองคนไว้ข้างใน

 

 

“ชิงเกอ ระวังด้วย” ความเข้าใจมาหลายปีทำให้มั่วชิงเฉินรู้ว่าต้วนชิงเกอรับมือหรวนหลิงซิ่วจะไม่เสียเปรียบ กำชับเสียงหนึ่งแล้วกระโดดขึ้น ร่อนลงหน้าสวี่เซี่ยวถันที่กำลังเข้าใกล้มั่วเฟยเยียน แล้วยิ้มเยาะว่า “สหายเต๋าสวี่ สองคนสู้หนึ่งคนช่างไร้ความหมาย ไม่สู้เรามาประลองกันดีกว่า?”

 

 

สายตาสวี่เซี่ยวถันกวาดผ่านหน้ามั่วชิงเฉิน เห็นนางอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี ผมข้างหน้าบังตามองหน้าตาไม่ชัด การแต่งตัวเช่นนี้กลับขับให้ดูหน้าเด็กยิ่งขึ้น จึงอดฮึเสียงเย็นไม่ได้ว่า “อาศัยเจ้าน่ะหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินอดหัวเราะไม่ได้แล้ว สหายเต๋าสวี่ผู้นี้หน้าตาดูหนุ่มยิ่งนัก อายุจริงเกรงว่าไม่มาก สามารถมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้คิดว่าพรสวรรค์คงโดดเด่น ทว่าดูเหมือนจะหลงตัวเองไปหน่อย

 

 

“สหายเต๋าสวี่ อาศัยหรือไม่มิใช่แค่พูดด้วยปาก เราดูกันที่ฝีมือดีกว่า” มั่วชิงเฉินยื่นมือขวา กระบี่ชิงมู่ก็ปรากฏขึ้นในมือ

 

 

ทางด้านนั้น มั่วเฟยเยียนและจ้าวเจิ้นหมิงสู้อยู่ด้วยกันแล้ว

 

 

อาวุธเวทที่มั่วเฟยเยียนใช้คือกงล้อบินสีเขียวรูปร่างเหมือนดอกเหมยคู่หนึ่ง ใหญ่กว่าลูกดอกธรรมดามาก พร้อมด้วยฟันแหลมคม

 

 

เห็นนางสะบัดมือสองข้าง วงล้อดอกเหมยสองอันก็หมุนจู่โจมคู่ต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว ที่ที่บินผ่านบนฟ้าเกิดควันคละคลุ้งขึ้นทันที ไอเย็นแผ่กระจายตามมา

 

 

จ้าวเจิ้นหมิงอัญเชิญอาวุธเวทต้านไว้ทันที ยังแตะไม่ถูกลูกดอกดอกเหมยที่บินมาก็ถูกไอเย็นนั่นแช่แข็งแล้ว ขยับไปข้างหน้าไม่ได้อีกแม้ครึ่งก้าว

 

 

เขาหน้าถอดสี อัญเชิญอาวุธเวทอีกอันหนึ่งออกมาทันที

 

 

ทางด้านนี้อาวุธเวทจู่โจมของสวี่เซี่ยวถันคือกระบี่คู่คู่หนึ่ง กระบี่สองเล่มยาวเล่มสั้นเล่ม ใหญ่เล่มเล็กเล่ม ทองเล่มแดงเล่ม เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญกระบี่ชิงมู่ออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โยนกระบี่สั้นสีแดงในมือออกไป

 

 

กระบี่สั้นสีแดงวาดผ่านอากาศ เกิดแสงสีแดงประหลาดขึ้นสายหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินตวัดกระบี่ชิงมู่ในมือ ดอกไม้วิญญาณพรั่งพรูออกจากปลายกระบี่มากมาย ล่องลอยโปรยปรายล้อมกระบี่สีแดงที่จู่โจมมาไว้

 

 

“ของหลอกเด็ก!” สวี่เซี่ยวถันยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง ขยับนิ้วมือตีเคล็ดวิญญาณออกสายหนึ่งใส่กระบี่สั้นสีแดง ก็เห็นกระบี่สั้นสีแดงเปล่งแสงสีแดงเรืองรอง บุปผาวิญญาณที่ถูกปกคลุมใต้แสงสีแดงไหม้เป็นตอตะโกในพริบตา จากนั้นกระจัดกระจายหายไปในอากาศ

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นเยียบ กวาดมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง

 

 

กระบี่สั้นของคนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะมีพิษโดยธรรมชาติ

 

 

นึกถึงก่อนหน้านี้ไม่นานตนก็เพราะโล่ชิงมู่ถึงถูกแมงป่องพิษที่ยายแก่ประหลาดคนหนึ่งเลี้ยงไว้จู่โจม ทำให้ตนถูกพิษแมงป่อง ทันใดนั้นจึงไม่กล้าประมาท มือถือกระบี่ชิงมู่สงบจิตใจ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ค่อยๆ สำแดงออกมา

 

 

สวี่เซี่ยวถันที่บังคับการจู่โจมของกระบี่สั้นสีแดงพบทันทีว่าความเร็วของกระบี่สั้นช้าลง จึงเพิ่มพลังวิญญาณในมือหลายส่วนกลับพบว่าไม่ได้ดั่งใจ

 

 

กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งพุ่งเข้ามา จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการโคจรพลังวิญญาณในกายช้าลงหลายส่วน ทันใดนั้นหน้าถอดสี ร้องขึ้นเสียงหนึ่งซัดกระบี่ยาวสีทองในมือออกมาอย่างไม่ลังเล

 

 

มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ทันทีว่าปราณกระบี่คมกริบอย่างที่สุดสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ยังไม่เข้าใกล้ก็กวาดจนใบหน้านางเจ็บ จึงร่ายรำกระบี่ชิงมู่อย่างแน่นหนา ด้านหนึ่งใช้โล่ชิงมู่ต้านปราณกระบี่ ด้านหนึ่งตวัดบุปผาวิญญาณนับไม่ถ้วนถักทอเป็นโซ่ดอกไม้ล้อมกระบี่ยาวสีทองไว้จนเป็นห่วงดอกไม้อันแล้วอันเล่า

 

 

กระบี่ยาวสีทองถูกห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนขวางไว้ หยุดอยู่กลางอากาศเดินหน้าไม่ได้

 

 

สีหน้าสวี่เซี่ยวถันยิ่งดูไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่านางหนูน้อยที่ดูแล้วไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยคนนี้จะขวางกระบี่ปราณทองแกของเขาได้ จึงรีบโคจรพลังวิญญาณทั่วร่างทันที ปากเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “กระบี่คู่ร่วมใจ!”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นกระบี่สีทองสีแดงสองเล่มเปล่งแสงวิญญาณขึ้นพร้อมกัน แล้วซ้อนเข้าด้วยกัน จากนั้นกระบี่สั้นสีแดงค่อยๆ เข้าไปอยู่ในแกนกระบี่ยาวสีทอง กลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงทองเล่มหนึ่ง

 

 

ตวัดกระบี่สีแดงทองที่เพิ่งประกอบร่างโดยพลัน ห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนที่พันอยู่ข้างบนคลายออกทันทีกลับมาเป็นโซ่ดอกไม้ดังเดิมเส้นหนึ่งห้อยหล่นลงไป

 

 

กระบี่สีแดงทองเล่มนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง ตวัดไม่หยุดกลางอากาศแล้วเปล่งเสียงร้องเบาๆ เป็นระลอก จากนั้นก็เห็นกระบี่ยาวสีแดงทองขยายขึ้นโดยพลัน กลายเป็นดาบยักษ์ใหญ่ไม่เป็นสองรองใครเล่มหนึ่งยกขึ้นสูงแล้วแทงไปที่มั่วชิงเฉิน

 

 

“อ๊าก!” คนที่มุงดูอุทานออกมา

 

 

ยามนี้ศิษย์ผู้ดูแลรุดมาแล้ว เห็นหน้าคนก่อเรื่องชัดเจนแล้วอดมองหน้ากันไม่ได้ พวกเขาส่วนใหญ่มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลาง ต่อให้มีใจห้ามการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายแต่กำลังไม่ได้ดั่งใจ

 

 

ผู้ก่อปัญหาเพียงคู่เดียวที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง คนหนึ่งในนั้นกลับเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักลั่วสยาของพวกเขา ด้วยอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ผู้นี้หากพวกเขาเข้าห้ามอย่างทะเล่อทะล่า ไม่แน่ยังต้องโดนด่ายกหนึ่งด้วย

 

 

ทว่าอีกสองคู่สภาพการสู้ล่อแหลม หากปล่อยให้พัฒนาต่อไปไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ นึกถึงตรงนี้ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งในนี้ตัดสินใจโยนยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไปทันที

 

 

ปราณอันคมกริบของกระบี่ยักษ์ทำให้มั่วชิงเฉินขนหัวลุกขึ้นมาทันที ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่านี่ต้องเป็นท่าไม้ตายของอีกฝ่ายแน่นอน จึงโคจรพลังวิญญาณทั้งร่างขึ้นมาอย่างไม่ลังเลทันที ปากตะโกนเช่นกันว่า “พายุทะเลบุปผา!”

 

 

แล้วก็เห็นดอกไม้นับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกจากปลายกระบี่ชิงมู่ ดอกไม้ที่สมจริงพวกนี้หมุนอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นพายุงวงช้าง พุ่งไปที่กระบี่ยักษ์พร้อมกลิ่นหอมจางๆ

 

 

“สวยแต่รูป!” สวี่เซี่ยวถันฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง กระดกมุมปากขึ้น กระบี่แดงทองสองเล่มของเขารวมตัวกันเมื่อไร ความคมของมันในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันยังไม่มีคนต้านทานได้ เป็นสิ่งที่กระบวนท่าเหละแหละพวกนี้ต้านทานได้เช่นนั้นหรือ

 

 

ทว่าต่อจากนั้นรอยยิ้มที่มุมปากของเขากลับต้องค้างอยู่อย่างนั้น

 

 

เห็นเพียงพายุทะเลบุปผายิ่งโตยิ่งใหญ่ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว พริบตาก็กลืนกระบี่ยักษ์หายไป จากนั้นพากระบี่ยักษ์บินขึ้นฟ้าไป ไปถึงความสูงระดับหนึ่งจู่ๆ ก็ผลิดอกไม้สีแดงสดดอกใหญ่ออกกลืนปราณกระบี่คมกริบที่แผ่ออกจากกระบี่ยักษ์จนหมด บานๆ หุบๆ อยู่กลางอากาศเหมือนดอกไม้ไฟงดงามเหลือจะกล่าว

 

 

จากนั้นพายุงวงช้างที่ก่อร่างจากบุปผาวิญญาณกลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไปในทันที กระบี่ยาวสีแดงทองที่โผล่ออกมามืดมนไร้แสงตกสู่ด้านล่างไป ยามอยู่กลางอากาศก็แยกออกเป็นกระบี่หนึ่งทองหนึ่งแดงสองเล่ม หมดอาลัยตายอยากราวกับจิ้งหรีดที่สู้แพ้ เคร้งเสียงหนึ่งตกถึงพื้นจนฝุ่นคละคลุ้งไปหมด

 

 

ยามนี้ต้วนชิงเกอที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ฉวยโอกาสไว้ แส้ยาวสีเขียวในมือฟาดลงบนตัวหรวนหลิงซิ่วดังเพี้ยะ หรวนหลิงซิ่วร้อง ‘โอ๊ย’ อย่างอนาถเสียงหนึ่ง ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นสีหน้าซีดเซียวทันที อาวุธเวทหลุดออกจากมือจู่โจมไปที่ต้วนชิงเกอ

 

 

มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ทันใดนั้นโกรธแค้นเหลือคณา ในมือปรากฏก้อนอิฐเป็นประกายทองแวววับขึ้นทันที แล้วดังฟิ้วๆ ไปถึงหน้าศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้น ต่อจากนั้นตบลงบนหน้าเขาอย่างไม่ไว้หน้า คนผู้นั้นร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งแล้วหงายหลังไปตรงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ในฐานะศิษย์ผู้ดูแลกลับเล่นทีเผลอ บัดนี้นางถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางสำหรับต้วนชิงเกอที่ผ่านการสู้มาแล้วละก็เป็นการคุกคามไม่น้อย สำหรับตนที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้วกลับไม่มีค่าแม้แต่ให้เอ่ยถึง ก้อนอิฐที่รักที่ถูกผนึกมานานในที่สุดก็ได้ออกโรงแล้ว

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินจู่โจมศิษย์ผู้ดูแล ศิษย์ผู้ดูแลที่เหลือรีบลงมือทันที อีกด้านหนึ่งมั่วเฟยเยียนโยนยันต์ใจผนึกน้ำแข็งสองแผ่นออกตกไปที่ศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนนั้น แล้วกลายเป็นเมฆขาวดุจหิมะสองก้อนเหนือศีรษะศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนนั้น ต่อจากนั้นก็เห็นลูกเห็บร่วงลงมาอย่างแน่นขนัด ตกจนสองสามคนนั้นกอดศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน จากนั้นเมฆขาวดุจหิมะสองก้อนนั้นแผ่ขยายออกกลายเป็นคุกน้ำแข็งในบัดดล หล่นตึ้งลงไปล้อมสองสามคนนั้นไว้ สองสามคนนั้นหนาวจนมือเท้าสั่นทันที

 

 

“หยุดให้หมด!” เสียงดุจอสนีบาตเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

“เจ้าโถงหม่า…” ศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนเหมือนได้รับการปลดปล่อย มองคนที่มาพลางเรียกเหมือนขอความช่วยเหลือ

 

 

คนที่มาก็คือเจ้าโถงโถงปฏิบัติงานสำนักลั่วสยาหม่าผิงชวน คนผู้นี้เสียงดังแต่กำเนิด เห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงมองมั่วเฟยเยียนแล้วตะโกนเสียงเหมือนตีกลองว่า “ศิษย์หลานมั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

 

มั่วเฟยเยียนแตะนิ้วทีหนึ่ง อานุภาพที่เหลืออยู่ของยันต์ใจผนึกน้ำแข็งสลายไป ถึงมองไปที่เจ้าโถงหม่าแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ถามหรวนหลิงซิ่ว”

 

 

พูดพลางเม้มปากไว้แน่น ราวกับไม่ยอมพูดมากขึ้นแม้อีกคำเดียว สายตากลับมองไปหามั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปที่มั่วเฟยเยียนเช่นกัน จู่ๆ ก็ฉีกยิ้มออกมา ลักยิ้มข้างริมฝีปากปรากฏขึ้นทันที

 

 

มั่วเฟยเยียนร่างกายชะงัก ไม่ถอนสายตาจากลักยิ้มที่ข้างปากมั่วชิงเฉิน กะพริบตาน้ำตาใสแจ๋วก็ไหลลงมาอย่างไม่คาดคิด ต่อให้เช็ดไปอย่างรวดเร็วยังคงถูกมั่วชิงเฉินเห็นเข้า

 

 

มั่วชิงเฉินไม่คิดว่ามั่วเฟยเยียนที่เย็นชาดุจน้ำแข็งจะเผยให้เห็นอารมณ์เช่นนี้ ในใจกลับยากปิดบังความตื่นเต้นเช่นกัน เดินขึ้นหน้าไปสองก้าวว่า “พี่เก้า”

 

 

มั่วเฟยเยียนยามนี้ฟื้นคืนความเยือกเย็นในยามปกติแล้ว เสียงสงบราบเรียบว่า “น้องสิบหก ใช่เจ้าหรือไม่?” ความอบอุ่นที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาไม่ลดลง

 

 

ฉากเช่นนี้ทำให้ผู้คนชะงักงัน พักใหญ่หรวนหลิงซิ่วถึงกระโดดเข้ามาว่า “ดีนี่ ข้าว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงตะเภาเดียวกัน วุ่นวายอยู่ตั้งนานที่แท้คือพี่น้องกัน! ท่านอาจารย์อาหม่า ท่านต้องตัดสินให้ข้า จะละเว้นพวกนางสองคนไม่ได้ ใช่แล้ว ยังมีนางอีก!” พูดพลางชี้ไปที่ต้วนชิงเกอ

 

 

ตบะของหม่าผิงชวนแม้ไม่นับว่าโดดเด่นในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กลับรับหน้าที่เจ้าโถงโถงปฏิบัติงานมานาน อย่าเห็นว่าเขาพูดจาเสียงดัง การกระทำกลับไม่หยาบโลน เห็นคนหนึ่งคือบุตรสาวเจ้าสำนักคนหนึ่งคือบุตรผู้ได้รับการโปรดปรานจากฟ้าในสำนัก หญิงอีกสองคนล้วนใส่เครื่องแต่งกายของพรรคเหยากวง ดูอายุและตบะ แน่นอนก็ต้องเป็นศิษย์หัวกะทิในสำนักของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ศิษย์ชายสองคนเขาล้วนรู้จัก ความเป็นมาไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่กี่คนนี้ล้วนไม่น่าตอแยด้วย เรื่องนี้จัดการขึ้นมายุ่งยากมาก ทันใดนั้นจึงเอ่ยว่า “ศิษย์หลานไม่กี่ท่านตามข้าไปโถงปฏิบัติงานก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

 

 

“ฮึ!” หรวนหลิงซิ่วยืดตัวตรงถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าไปก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าโชคร้าย ทุกครั้งที่เจอหญิงบ้าผู้นี้ก็ไม่มีเรื่องดี ได้แต่เดินตามไป

 

 

ต้วนชิงเกอเดินอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิงเฉิน จะเที่ยงตรงแล้ว ไปโถงปฏิบัติงานเช่นนี้ พวกเรายังไปทันหรือไม่?”

 

 

เมื่อพูดออกไป หรวนหลิงซิ่วที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักโดยพลัน ศิษย์ผู้ดูแลที่เดินอยู่ข้างหลังเกือบชนนางเข้า

 

 

หรวนหลิงซิ่วถลึงตาใส่ศิษย์ผู้ดูแลนั่นอย่างดุดันปราดหนึ่ง

 

 

“ศิษย์หลานหรวน นี่เจ้าคือ?” หม่าผิงชวนถามเสียงดัง

 

 

หรวนหลิงซิ่วถลึงตาใส่พวกมั่วชิงเฉินสามคนปราดหนึ่งอย่างไม่ยอม ถึงเอ่ยว่า “ท่านอาจาย์อาหม่า ที่จริงพวกเราไม่กี่คนกำลังแลกเปลี่ยนวิชากันอยู่ ท่านดู โถงปฏิบัติงานก็ไม่ต้องไปแล้วเถอะนะ?”