ภาคที่ 2 บทที่ 186 ช่วงชิง

มู่หนานจือ

เจียงลวี่เอ่ยปนหัวเราะ เหน็บแนมปนเสียดสี ถากถางและเยาะเย้ยหลี่เชียนอย่างรุนแรง

จงเทียนอี้สีหน้าแดงก่ำ ส่วนหวังจ้านดีใจหลังจากที่หลุดพ้นจากการถูกกดดันมานาน

ทว่าหลี่เชียนกลับวางตัวเหมือนเดิม เขาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังและยังคงมีมารยาทว่า “จากเมืองหลวงถึงหยางเฉวียนระยะทางไกลมาก ซื่อจื่อรีบเดินทางอย่างสุดกำลังทั้งวันทั้งคืน เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ตามหลักแล้ว พวกเราควรจะนัดเวลาพบกันพรุ่งนี้ถึงจะถูก เวลานั้นจิตใจของซื่อจื่อคงจะสงบลงนานแล้วอย่างแน่นอน ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีเรื่องอะไรก็จะคุยกันเข้าใจได้ง่ายขึ้นเช่นกัน แต่สุดท้ายข้าก็คิดว่าพบซื่อจื่อเร็วหน่อยจะดีกว่า ประการแรกจะได้ทำให้ซื่อจื่อสบายใจ ประการที่สองก็อยากแก้ไขเรื่องนี้เร็วหน่อยเช่นกัน ดีกับพวกเราทั้งสองตระกูล” เขาเอ่ยจบก็ยังเติมชาให้เจียงลวี่อย่างสุภาพอีกถ้วย

เจียงลวี่โกรธมาก

เจ้าลักพาตัวน้องสาวของข้าไป เวลานี้ยังให้ข้าใจเย็นหน่อย ถามว่าข้ามีเงื่อนไขอะไร?

เขายิ้มอย่างโกรธสุดขีด แล้วย้อนถามว่า “เช่นนั้นใต้เท้าหลี่มีความคิดอย่างไร?”

หลี่เชียนมองเจียงลวี่ นัยน์ตาสีดำสนิทลุ่มลึกและเงียบสงบ สีหน้าจริงจังมาก และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ไม่รู้ว่าท่านเคยเจอเรื่องแบบนี้ในชีวิตหรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าผิด กลับรู้สึกว่าหากตนเองไม่ทำ จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”

เจียงลวี่อึ้งไป

หลี่เชียนเอ่ยแล้วว่า “ตอนนี้ข้าเจอเรื่องแบบนี้” เสียงของเขาแผ่วเบา ราวกับควันที่หมุนเป็นเกลียวและลอยขึ้นสู่อากาศ เจือความชนบทของคนธรรมดา จริงใจและสนิทสนม “รู้ดีว่าผิด กลับยอมร่างกายแหลกละเอียดเพื่อที่จะทำ และจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเสียใจเช่นกัน…”

เจียงลวี่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

น้ำเสียงที่หลี่เชียนพูดทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

เจียงลวี่รู้สึกไม่พอใจ จึงยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้จริงๆ นั่นเป็นเพราะท่านพ่อมักจะสอนข้าว่า ต้องเลือกทำสิ่งที่สำคัญและไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หากคนๆ หนึ่งไม่สามารถแยกแยะได้แม้กระทั่งถูกผิด ไม่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งความปรารถนา เช่นนั้นเขากับสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นแตกต่างกันตรงไหน? ดังนั้นข้าจึงไม่เข้าใจที่ท่านบอกว่าร่างกายแหลกละเอียด และเสียใจไม่เสียใจอะไรนั่น ข้ารู้เพียงว่า คนที่เสวยสุขกับเกียรติยศของตระกูลมีหน้าที่รักษาเกียรติยศของตนไว้ ไม่ใช่ให้มันทำให้ตระกูลแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ จนไม่มีวันฟื้นคืนได้ เพราะความคิดส่วนตัวของตนเอง!”

แม้จะเตรียมตัวมาล่วงหน้า ทว่าเมื่อเผชิญกับการข่มขู่ของเจียงลวี่ หลี่เชียนก็ยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อยอยู่ดี

สิ่งที่ควรทำเขาทำแล้ว หากเจียงเซี่ยนถามขึ้นมา เขามีคำอธิบายให้นางสักคำ นี่ก็พอแล้ว

เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะอาศัยคำพูดของเขาไม่กี่คำก็ทำให้ทุกคนพอใจได้ เพียงแต่เขาไม่ตัดใจ และอยากลองดูเท่านั้น

ความคิดหมุนวนอยู่ในสมองของหลี่เชียนแล้วก็ถูกเขาโยนทิ้งไปข้างๆ ทันที เขายกถ้วยชาขึ้นมาค่อยๆ จิบอึกหนึ่ง แล้วยิ้มออกมาอย่างค่อนข้างจนใจ พลางเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ในเมื่อพวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง และท่านกับข้าต่างก็ไม่อยากถอยกันคนละก้าว ข้าคิดว่า…พวกเราต่างก็มาจากตระกูลทหาร ก็อย่ามาขี้ขลาดเหมือนพวกบัณฑิตเลย สู้เจอฝีมือที่แท้จริงตอนลงมือดีกว่า หากพวกท่านชนะ ก็เท่ากับข้าทำงานที่ควรทำไม่สำเร็จเอง ไม่มีกำลังปกป้องนาง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ แล้วแต่พวกท่านจะจัดการ แต่หากข้าชนะ ข้าขอเพียงซื่อจื่ออย่าแทรกแซงเรื่องของพวกเราสองตระกูลอีก แน่นอนว่า หากซื่อจื่อยอมยืนอยู่ฝ่ายข้า ข้าก็จะยิ่งซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้…”

ไม่อย่างนั้นหลี่เชียนยังคิดว่ามีวิธีอะไรสามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ได้?

แสดงความอ่อนแอออกมาด้วยการร้องไห้สักสองสามหยด?

บอกว่าตนเองชอบเป่าหนิงแค่ไหน?

เจียงลวี่ยิ้มเยาะ และค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยว่า “พูดจาเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย ระหว่างท่านกับข้านอกจากต่อสู้กันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ส่วนว่าจะแทรกแซงเรื่องของสองตระกูลหรือไม่ จวนเจิ้นกั๋วกงนั้นท่านพ่อเป็นผู้ดูแลตระกูลและมีสิทธิตัดสินใจเรื่องในครอบครัว ข้าก็เพียงแค่รับคำสั่งจากท่านพ่อให้ตามรอยมาไกลมากเท่านั้น หากสติปัญญาและความสามารถของข้าสู้คนอื่นไม่ได้ และกลับไปด้วยความล้มเหลว ก็ย่อมมีผู้อาวุโสในตระกูลรับผิดชอบตัดสินใจ ท่านขอบคุณข้าไปก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน!”

ได้เปรียบแล้วไม่ใช้นั่นคือคนโง่

คิดว่าเขาเป็นเหมือนพวกลูกหลานตระกูลขุนนางในเมืองหลวงที่ได้ชื่อเสียงอันดีและเกียรติยศมาด้วยวิธีมิชอบ หลี่เชียนคิดว่าแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนประจบประแจง และแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น แล้วจะทำให้เขาหลงกลหรือ?

หลี่เชียนเป็นคนสูงส่งและมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี หากเขาแพ้ก็ไม่ให้แทรกแซงเรื่องของพวกเราสองตระกูลไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเขาก็จะทำตามคำพูดของหลี่เชียนโดยไม่เอ่ยถึงตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่ ชนะเขาจะพาเป่าหนิงกลับไป แพ้ก็ให้ท่านพ่อออกหน้าจัดการหลี่เชียนกับตระกูลหลี่

ให้โอกาสคุณชายหลี่คุยโวโอ้อวด!

แล้วก็รอเสียใจให้พอแล้วกัน!

เจียงลวี่ถอดเสื้อคลุมยาวที่คลุมอยู่ด้านนอกออกและพลิกมือโยนให้ฝูเซิง เผยให้เห็นชุดที่ทะมัดทะแมง

นี่เตรียมมาล่วงหน้าหรือ!

จงเทียนอี้เลิกหางตาขึ้นเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืนตาม

หวังจ้านตาแดง เขาจ้องหลี่เชียนเหมือนจ้องเหยื่อ

เขาตะโกนเรียกว่า “ท่านพี่อาลวี่” เสียงดัง และก้าวเข้าไปยืนข้างกายเจียงลวี่ แล้วมองหลี่เชียนพลางเอ่ยว่า “ข้าจะสู้กับเขาเอง!”

เพียงแต่เจียงลวี่ยังไม่ทันตอบ หลี่เชียนก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ หรือว่าพวกเราจะตะลุมบอนอย่างนั้นหรือ?”

“เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ?” เจียงลวี่หัวเราะเยาะ “เรื่องแบบนี้ยังต้องแยกความแตกต่างต่างๆ ด้วยอย่างนั้นหรือ? ถึงอย่างไรก็ตัดสินแพ้ชนะ แค่ตัดสินได้ก็พอแล้ว จะต่อสู้ตัวต่อตัวหรือตะลุมบอนแตกต่างกันตรงไหน?”

ประกาศ ปนท้าทายเล็กน้อย

พวกเขามาชิงตัวคน ไม่ได้มาประลองยุทธกันเสียหน่อย ยังต้องแยกแยะคู่ต่อสู้และใช้จุดเด่นของตนเองรับมือกับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ?

เจียงลวี่เงยหน้าปรายตามองหลี่เชียน

แต่หลี่เชียนกลับรู้สึกอบอุ่น

เวลาเป่าหนิงโกรธ ก็ชอบมองคนแบบนี้เหมือนกัน

เหมือนแมวที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่ง ทว่าสิ่งที่พูดออกมากลับทุบคนตายได้

นี่เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูลเจียงของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

เขายิ้มเล็กน้อย และถอดเสื้อคลุมที่นักบวชลัทธิเต๋าสวมด้านนอก เผยให้เห็นชุดผู้ชายที่เป็นเสื้อกับกางเกงผ้าเนื้อหยาบด้านใน

เห็นได้ชัดว่าเตรียมมาล่วงหน้าเช่นกัน

เจียงลวี่รู้สึกผิดหวังมาก

หลี่เชียนรอให้ลาภลอยมาหาโดยไม่ลงแรงเอง ล่อพวกเขามาตลอดทาง เขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถพาเป่าหนิงไปได้ง่ายขนาดนั้น

แต่หลี่เชียนกลับยังคงสงบนิ่งได้ในขณะที่เขาเยาะเย้ยและเสียดสีอย่างเจ็บแสบและโหดร้าย นี่ก็ไม่ธรรมดามากแล้ว…หรือว่าเขายังมีที่พึ่งอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?

เจียงลวี่กำชับหวังจ้านเสียงเบา “เจ้าอย่าวู่วาม คนที่แซ่จงข้างกายหลี่เชียนนั่นหากข้าดูไม่ผิด ก็เป็นยอดฝีมือเหมือนกัน และยังเป็นยอดฝีมือของยุทธภพ แบบที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ตัวต่อตัวเป็นพิเศษ น่าจะเป็นคนที่หลี่เชียนเชิญมาช่วยรบ ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่รอบคอบ คิดว่าเขาจะหนีหัวซุกหัวซุนไปตลอด คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะกล้ารอพวกเราอยู่ที่นี่…” เจียงลวี่เอ่ยถึงตรงนี้ ก็โกรธเล็กน้อย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาตัดสินผิด ทว่าไม่นานเขาก็ยับยั้งความรู้สึกแปลกๆ นี้เอาไว้ได้ และเอ่ยต่อว่า “คนที่ข้าพามาล้วนเป็นยอดฝีมือในกองทัพ การรวมตัวเป็นกองทัพและการวางแผนไม่มีปัญหา แต่การต่อสู้ตัวต่อตัวต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ข้าสู้กับหลี่เชียนเอง เดี๋ยวเจ้ารับผิดชอบจัดการคนที่ชื่ออวิ๋นหลิน ฝีมือของเขากับเจ้าพอๆ กัน ส่วนคนอื่นก็ตะลุมบอน หาใครก็ได้สักสองสามคนกวนคนที่แซ่จงเอาไว้ก็พอ เพียงแค่ข้ากับหลี่เชียนตัดสินแพ้ชนะได้ การต่อสู้นี้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าชนะทุกคนได้ คอยจับตาดูคนที่แซ่จงหรือหลี่เชียนเอาไว้”

หวังจ้านรู้ว่าฝีมือของตนเองสู้เจียงลวี่ไม่ได้ และกรีธาทัพทำสงครามก็สู้เจียงลวี่ไม่ได้เช่นกัน แม้จะรู้สึกโกรธเคือง ทว่าก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และเอ่ยว่า “ข้าเชื่อฟังท่านพี่อาลวี่”

หลังจากเจียงลวี่จัดการน้องชายที่อาจจะระเบิดได้ตลอดเวลาเหมือนประทัดเรียบร้อยแล้ว ก็โล่งอกเป็นอย่างมาก และเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

หวังจ้านเหลือบมองหลี่เชียนครั้งหนึ่งอย่างโมโห และเดินตามเจียงลวี่ออกไปจากห้องโถงตรงประตูใหญ่อย่างว่องไว

หลี่เชียนเงยหน้าขึ้น และหรี่ตาเพ่งมองภาพเงาด้านหลังของหวังจ้าน สีหน้าหม่นหมอง