ภาคที่ 2 บทที่ 187 ประลองฝีมือ

มู่หนานจือ

จงเทียนอี้อดที่จะสะกิดหลี่เชียนไม่ได้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าจะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเจียงลวี่จริงหรือ? เขาโดดเด่นเรื่องขี่ม้ากับยิงธนูมาก ตอนเขาเป็นแม่ทัพโหยวจีที่ต้าถง เคยได้รับคำสั่งให้ไปปราบโจรที่ภูเขาอู่ไถ ลูกธนูดอกเดียวทะลุผ่านคนสองคน คนในยุทธภพต่างก็รู้ ปกติคนที่เป็นแม่ทัพใหญ่อย่างพวกเขาล้วนคิดรอบคอบมาก เจ้าอย่ามองว่าเขาพูดจาเหลวไหลเชียว ไม่แน่อาจจะขุดกับดักรอให้เจ้ากระโดดมานานแล้วก็ได้ เจ้าระวังหน่อย!”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เวลานี้ข้าก็เป็นแม่ทัพโหยวจีของกองบัญชาการซานซีเหมือนกัน”

จงเทียนอี้อึ้งไป แล้วก็หัวเราะออกมา เขาส่งสายตาให้หลี่เชียน พลางเอ่ยว่า “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร!”

หลี่เชียนยิ้ม และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าช่วยข้าจับตาดูหวังจ้านเอาไว้!”

“ซื่อจื่อชินเอินป๋อ?!” จงเทียนอี้แปลกใจมาก และเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะให้ข้าช่วยลอบวางแผนทำร้ายเจียงลวี่เสียอีก!”

“ไม่ได้!” หลี่เชียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ตระกูลเจียงไม่มีทางอยากได้ลูกเขยที่เหมือนคนขี้ขลาด ข้าจำเป็นต้องชนะเจียงลวี่อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เจ้าห้ามแทรกแซงและทำลายงานใหญ่ของข้าเด็ดขาด ขอแค่ปกป้องซื่อจื่อชินเอินป๋อก็พอแล้ว”

จงเทียนอี้รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที และเอ่ยว่า “ปกป้องอย่างไร? หยอกเขาเล่น? หรือแค่ชนะเขาก็พอแล้ว?”

“อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา!” หลี่เชียนเอ่ยเสียงเบาว่า “เขาเป็นพี่ชายของท่านหญิงเจียหนาน หลานชายของไทฮองไทเฮา หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขาที่นี่ เจียหนานคงจะเกลียดข้าไปตลอดชีวิต จะเกิดเรื่องขึ้นกับใครก็ได้ แต่จะเกิดเรื่องขึ้นกับเขาไม่ได้”

จงเทียนอี้กับหลี่เชียนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ มักจะเล่นเกมขุนนางจับโจร ทั้งสองคนก็ถือได้ว่ารู้จักกันดีเช่นกัน จงเทียนอี้เข้าใจเจตนาของเขา จึงพยักหน้าและตอบว่า “ข้ารู้แล้ว” ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก และทยอยออกจากห้องโถงตรงประตูใหญ่

ด้านนอกเป็นลานกว้างที่ปูพื้นด้วยหิน สถานที่กว้างขวาง สองข้างทางปลูกต้นไม้โบราณใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิพอดี ใบไม้จึงผลิออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมองเห็นว่าเต็มไปด้วยสีเขียวอ่อน

เจียงลวี่ยืนตัวตรงเหมือนต้นสน และชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมา

ใบหน้าของหลี่เชียนฉายแววเคร่งขรึมเป็นครั้งแรกตั้งแต่พบเจียงลวี่

เดิมทีกระบี่ก็เป็นราชาของอาวุธนานาชนิดอยู่แล้ว กระบี่อ่อนนั้นตัวกระบี่อ่อนเหมือนสิ่งทอที่บางและทนทาน ไม่เพียงแต่ควบคุมกำลังในการใช้งานยากมาก ทว่ากระบี่แบบนี้ยังหายากและแพงมากๆ ด้วย อย่าว่าแต่หลอมขึ้นมาเลย คนทั่วไปไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ แล้วก็เพราะกระบี่อ่อนนั้นอ่อนเกินไป จึงไม่เหมาะกับการฟันและแทง แต่กลับตัดเส้นเลือดกับเส้นเอ็นที่ข้อต่อขาดได้ง่ายมาก หากกวัดแกว่งขึ้นมาและโจมตีไม่โดนในครั้งเดียวเพียงแค่สะบัดครั้งหนึ่งก็โจมตีครั้งต่อไปได้อย่างเร็วมากเหมือนแส้ ทำให้คนป้องกันไม่ทัน

นี่เจียงลวี่คงอยากฆ่าเขากระมัง!

หลี่เชียนสูดหายใจลึก

จงเทียนอี้ผิวปากใส่เจียงลวี่ทีหนึ่ง “ร่ำรวยจริงๆ! ข้าเพิ่งเคยพบคนใช้กระบี่อ่อนเป็นครั้งแรก ดูเหมือนซื่อจื่อจะสำเร็จทั้งมวยภายในมวยภายนอก”

เจียงลวี่ไม่เอ่ยสิ่งใด สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

หลี่เชียนยื่นมือออกไปหาปิงเหอที่อยู่ข้างกาย

มิน่าเล่าเจียงลวี่ถึงน้าวธนูที่ต้องใช้แรงสองต้านได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ไม่ใช่ว่าเจียงลวี่มีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เกิด ทว่าตระกูลเจียงมีเคล็ดลับในการฝึกวิทยายุทธ

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลี่เชียนรู้สึกถึงความแตกต่างของตระกูลหลี่กับตระกูลเจียง

ตระกูลหลี่เป็นวิทยายุทธที่ดิ้นรนเพื่อป้องกันตัวและรักษาชีวิตในยุคที่ระส่ำระสาย แต่ตระกูลเจียงกลับยืนฝึกฝนลูกหลานของตนเองผ่านการถ่ายทอดและการสืบทอดมาอย่างยาวนาน ตระกูลหลี่สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ เพราะได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์และโชคดีมากจริงๆ

ปิงเหอส่งดาบประจำตัวให้หลี่เชียน

สายตาของเจียงลวี่ทอประกายเล็กน้อย

หลี่เชียนใช้ดาบพิชิตอาชาที่ธรรมดามาก

ฐานที่มั่นทางเหนือของราชสำนักในเวลานี้ต่างก็ใช้ดาบแบบนี้กันทั้งนั้น

หากเป็นคนอื่น เจียงลวี่จะต้องไม่สนใจอย่างแน่นอน

ทว่าคนที่ใช้ดาบแบบนี้คือหลี่เชียน

เขาคิดไปถึงแผนการหลอกลวงแต่ละขั้นของหลี่เชียนก่อนหน้านี้ แล้วก็รู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันที

เจียงลวี่รู้สึกกังวลมาก แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เขาเอ่ยกับองครักษ์ที่ตามเขามาเสียงดังว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงเอากำลังที่โจมตีชนกลุ่มน้อยทางเหนือออกมา ไม่ว่าตายหรือเจ็บ ล้มได้คนหนึ่งก็นับเป็นหนึ่ง อีกไม่นานเหล่าพี่น้องจากต้าถงก็จะมาถึงแล้ว เกิดอะไรขึ้นข้ารับผิดชอบเอง กลับไปเชิญทุกคนไปดื่มเอ้อร์กัวโถว[1]และกินหัวหมูที่ร้านตระกูลไป๋”

เหล่าองครักษ์หัวเราะและชักดาบที่พกติดตัวออกมาพร้อมกัน

จงเทียนอี้เอ่ยกับอวิ๋นหลินเสียงทุ้มว่า “กั๋วกงน้อยเจียงไม่ธรรมดา เจ้าพาคนไปสกัดพวกองครักษ์เอาไว้ ข้าจัดการหวังจ้านเอง” เขาเอ่ยจบก็กระโดดขึ้นมาทันที โดยไม่รอให้อวิ๋นหลินตอบ แล้วกระโจนใส่หวังจ้านอย่างเบาราวกับก้อนเมฆและเร็วราวกับฟ้าแลบ “ซื่อจื่อชินเอินป๋อ ข้าเป็นผู้ช่วยของหลี่เชียน ท่านเป็นผู้ช่วยของกั๋วกงน้อยเจียง พวกเขาสู้กันของพวกเขา พวกเราก็มาสู้กัน” ระหว่างที่พูดนั้นก็ยื่นนิ้วมือทั้งห้าไปจับหวังจ้านแล้ว

ดีที่หวังจ้านเชื่อฟังคำพูดของเจียงลวี่ จึงสังเกตและวิเคราะห์ได้หลายด้าน ตอนที่จงเทียนอี้กระโจนมาหา เขาจึงถอยหลังติดกันหลายก้าวแล้ว และตอนที่จงเทียนอี้กำลังจะร่วงลงมา เขาก็ชักดาบแทงไปทางจงเทียนอี้แล้ว

ดาบที่หน่วยองครักษ์ใช้นั้นทำขึ้นในวังหลวง โดยรวบรวมกำลังจากทั่วแคว้นตีให้ขึ้นรูป ดาบธรรมดาไหนเลยจะเทียบได้

ดาบของหวังจ้านกับมือของจงเทียนอี้ปะทะกัน เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา

จงเทียนอี้ยิ้มและชมว่า “ดาบดี” แล้วอาศัยแรงของดาบขยับออกมาเหมือนปุยสีขาวของเมล็ดหลิว

หวังจ้านถึงเห็นว่าจงเทียนอี้ถือมีดสั้นอยู่ในมือ

ตัวดาบเล็ก ประณีตและบาง แต่กลับเปล่งแสงสว่างไสว ความหนาวเย็นแผ่ออกมารอบด้าน

สายตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย และตะโกนว่า “อีกที” เขาเข้าประชิดและแทงดาบใส่จงเทียนอี้

เจียงลวี่ยิ้มและเอ่ยว่า “หลี่เชียน เจ้าเป็นเจ้าบ้าน พวกเราเป็นแขก แขกเริ่มโจมตีแล้วเจ้าบ้านยังดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ ได้อย่างไร!” ยังไม่ทันพูดจบประโยค กระบี่อ่อนก็จู่โจมหลี่เชียนเหมือนงูพิษแล้ว

หลี่เชียนยกดาบสกัดการโจมตีของเจียงลวี่

เจียงลวี่มือสั่นเล็กน้อย กระบี่อ่อนเฉือนไปที่เข่าของเขาตามท่าดาบของเจียงลวี่

หลี่เชียนชี้ปลายดาบลงจรดลงบนกระบี่อ่อนของเจียงลวี่

“ฝีมือดี!” เจียงลวี่อมยิ้มและเอ่ยชม ทว่าสีหน้ากลับแผ่จิตสังหารออกมาเข้มข้นยิ่งขึ้น กระบี่อ่อนในมือกวัดแกว่งไปทางหลี่เชียนเร็วขึ้นทุกที

“ฝีมือของซื่อจื่อก็ไม่เลวเช่นกัน!” หลี่เชียนตอบ เขาถือดาบพิชิตอาชาที่ยาวเจ็ดฉื่อ[2]อยู่ในมืออย่างง่ายดายและทรงพลัง พลังรุนแรงจนบีบบังคับคน

ทั้งสองคนสู้กัน

เหล่าองครักษ์กับคนของหลี่เชียนก็ไม่ว่างเช่นกัน พวกเขาชักดาบออกจากฝัก และเริ่มตะลุมบอนกัน

ชายกลุ่มที่สวมชุดทะมัดทะแมงสีดำทยอยผ่านระเบียงคดไปอย่างแผ่วเบา พวกเขานั่งยองๆ ใต้ชายคาหน้าห้องโถงตรงประตูใหญ่ แล้วหยิบคันธนูกับลูกศรที่จะยิงติดต่อกันห้าดอกออกมาพาดบ่า

ปลายธนูที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์ส่องประกายแสงอันหนาวเย็นภายใต้แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ

เจียงลวี่กระโดดออกมาจากวงต่อสู้กับหลี่เชียน และตะโกนเสียงดังว่า “หลี่เชียน นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

หลี่เชียนทำให้ลมหายใจที่หอบเล็กน้อยสงบลง และเอ่ยเสียงดังว่า “ซื่อจื่อไม่ต้องตื่นตระหนก! ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะมีคนบุกเข้าไปในเรือนด้านในเพราะคิดว่าตนเองทำถูกต้อง จนรบกวนคนที่พักผ่อนเท่านั้น ขอเพียงพวกเขาไม่ข้ามเส้นนี้ก็จะไม่เป็นไร และในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะต่อสู้แพ้ชนะกับท่านแล้วก็จะไม่ผิดคำสาบาน! ขอซื่อจื่อโปรดวางใจ!”

“วางใจกับผีน่ะสิ!” เจียงลวี่นึกถึงวิธีโจมตีที่รนหาที่ตายด้วยการใช้ตัวขวางวิถีดาบของหลี่เชียนเมื่อครู่ แล้วก็อดที่จะด่าไม่ได้ว่า “ข้าว่าเจ้ากำลังสู้ด้วยชีวิต…”

เขาพูดอยู่ก็คิดได้ในทันใด

หลี่เชียนก็แค่กำลังต่อสู้ด้วยชีวิตไม่ใช่หรือ?

สู้ว่าเขาจะชนะได้หรือไม่!

สู้ว่าตระกูลเจียงจะปล่อยเขาไปหรือไม่!

สู้ว่าเขามีความสามารถที่จะเก็บเป่าหนิงเอาไว้หรือไม่!

บางทีเขาอาจจะยังกำลังสู้อยู่ด้วยว่า เป่าหนิงรักเขาหรือไม่กันแน่…

เจียงลวี่ “ถุย” ใส่หลี่เชียนครั้งหนึ่ง

เจ้าคนสารเลวนี่ กล้าเอาชีวิตมาข่มขู่เขากับน้องสาวของเขา คิดว่าเขาไม่กล้าฆ่าอย่างนั้นหรือ?

เจียงลวี่เม้มปาก และสู้กับหลี่เชียนอีกครั้ง

————————————–

[1] เอ้อร์กัวโถว เหล้าขาวที่มีดีกรีสูง

[2] 1 ฉื่อ = 10 นิ้ว ดังนั้น 7 ฉื่อ = 70 นิ้ว