“น้องอวี้ นี่นายมองมันออกได้ยังไง?”

หลังจากปรับอารมณ์ลงมาให้ใจเย็นได้แล้ว หลินป๋อจึงเอ่ยถามขึ้นต่อด้วยสีหน้าหดหู่

ไข่มุกราตรีลูกนั้นคือสมบัติล้ำค่าในตำนานที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ว่าอวี้ฮ่าวหรานสามารถมองมันออกได้ยังไงเพียงแค่ช่วงเวลาแวบเดียว

“มันไม่ยากหรอก ถึงแม้ว่าแสงที่เรืองออกมาจากมันจะดูมหัศจรรย์ แต่ถ้าหากทุกคนสังเกตดีๆ จะเห็นว่าจริงๆ แล้วจุดกำเนิดของแสงไม่ได้เกิดจากด้านในแกนกลางของสิ่งนี้แต่เกิดจากพื้นผิวของมันต่างหาก”

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานอธิบายจุดสังเกตให้ทุกคนเห็นอีกหลายจุดอย่างละเอียด

“สรุปแล้วไอ้เจ้าของสิ่งนี้มันถูกเคลือบเอาไว้ด้วยสารฟอสเฟอร์เกรดสูง ซึ่งคนที่สร้างมันขึ้นมาทำออกมาได้แนบเนียนมากจนคนธรรมดาไม่อาจดูออก”

หลังจากอธิบายจบผู้คนในห้องต่างก็ตกตะลึง

เมื่อครู่พวกเขาคิดว่าอวี้ฮ่าวหรานเก่งมากแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดผิดไปถนัด ชายหนุ่มคนนี้เก่งกว่าที่พวกเขาคิดไปไกลโข!!

“น้องอวี้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ดูสิในถ้วยนั่นมันเต็มไปด้วยสารฟอสเฟอร์เต็มไปหมดเลย!”

“พวกเรามองมันไม่ออกเลย ช่างน่าทึ่งจริงๆ!”

“เทคโนโลยีการปลอมแปลงสมัยนี้มันก้าวล้ำเกินไปจริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะน้องอวี้มาดูให้แล้วล่ะก็พวกเราคงไม่มีวันรู้ความจริงแน่นอนว่ามันเป็นของปลอม”

ทุกคนต่างถอนหายใจกับความเก่งกาจของชายหนุ่มที่หลินป๋อเชิญมา

แน่นอนว่าใครหลายคนที่เมื่อครู่นี้ชมว่าไข่มุกราตรีชิ้นนี้มันช่างงดงามต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายที่พวกเขาเพิ่งเอ่ยชมของปลอมไปหยกๆ

แต่คนที่อับอายที่สุดย่อมไม่พ้นเป็นหลินป๋อ เขามองไปที่ไข่มุกราตรีที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เขาโดนคนหลอกอีกแล้ว!

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเฉลยผลลัพธ์เกี่ยวกับไข่มุกราตรีเรียบร้อย เขาก็เดินลงไปนั่งที่ของเขาและกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

อย่างไรก็ตาม ซูหว่านเอ๋อนั้นไม่สามารถสงบใจตัวเองได้เมื่อมองไปที่อวี้ฮ่าวหราน

ผู้ชายคนนี้น่ามหัศจรรย์จริงๆ

“หืม? หน้าของผมมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตัวว่าซูหว่านเอ๋อกำลังจ้องมองเขาอยู่

“อ้ะ ปะ..เปล่าไม่มีอะไรๆ”

เมื่อถูกทัก ซูหว่านเอ๋อก็ก้มหน้าหลบสายตาอย่างรวดเร็ว แก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย

“วะ…ว่าแต่…คุณมองมันออกได้ยังไง? คุณเคยเห็นไข่มุกราตรีปลอมแบบนี้มาก่อนงั้นเหรอ?” เมื่อปรับอารมณ์ให้มั่นคงได้แล้ว ซูหว่านเอ๋อเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องเพื่อลดบรรยากาศกระอักกระอ่วน

ซูหว่านเอ๋อรู้สึกคาใจ หากอวี้ฮ่าวหรานไม่เคยเห็นของปลอมแบบเดียวกันมาก่อน เขาจะมองมันออกได้ไวขนาดนี้ได้ยังไง?

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเล็กน้อยและตอบกลับ “ถูกต้องผมเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว แต่ไข่มุกราตรีที่ผมเห็นไม่ใช่ของปลอมแต่เป็นของจริงและมันเป็นของๆ ผมเอง”

“หา? นี่คุณมีไข่มุกราตรีของจริงงั้นเหรอ!?”

ด้วยความตกตะลึง ซูหว่านเอ๋ออุทานเสียงดังลั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว

ต้องรู้ว่าเธอเองก็เป็นคนที่มาจากตระกูลร่ำรวย แต่ของอย่างไข่มุกราตรีนั้นเธอยังไม่เคยมีโอกาสเห็นมันด้วยซ้ำ

ของสิ่งนี้มันคือของในตำนานที่คนร่ำลือกันเท่านั้น

แน่นอนว่าเสียงของซูหว่านเอ๋อดึงความสนใจคนอื่นๆ ในทันที

อย่างไรก็ตามสายตาของคนอื่นไม่ได้จับจ้องไปที่เธอแต่จับจ้องไปที่อวี้ฮ่าวหรานแทน!

“น้องอวี้ นายมีไข่มุกราตรีของจริงงั้นเหรอ?”

หนึ่งในผู้คนที่อยู่ในห้องเอ่ยถามขึ้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง

ในตอนนี้ทุกคนได้คำตอบแล้วว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงสามารถมองออกว่าไข่มุกราตรีของหลินป๋อเป็นของปลอมได้ภายในช่วงเวลาครู่เดียว

ที่แท้ชายหนุ่มคนนี้มีของจริงอยู่ในครอบครองนี่เอง!

ทุกคนต่างใฝ่ฝันว่าจะได้เห็นไข่มุกราตรีของจริงสักครั้งในชีวิต แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีของจริงอยู่ที่บ้าน ถ้างั้นมันก็หมายความว่าเขาสามารถเชยชมความงามของมันได้ทุกวันเลยใช่ไหม?

“นั่งลงเถอะ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจสายตาของผู้คนในห้องส่วนตัว เขาเอ่ยบอกซูหว่านเอ๋อให้นั่งลง

สำหรับเขาแล้วไข่มุกราตรีไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ดินแดนแห่งเทพนั้นมีพวกมันอยู่เกลื่อนกลาดมากมาย แถมขนาดของพวกมันก็ไม่ใช่เล็กเท่าฝ่ามือ บางก้อนมันมีขนาดใหญ่กว่าทีวี 50 นิ้วซะอีก

และหากเขาต้องการ เขาก็มีพวกมันมากพอจะเอามาปูพื้นวังของเขาทั้งหมดเลยก็ยังได้

แต่ใครจะทำแบบนั้น ขืนทำแบบนั้นแสงของพวกมันคงแยงลูกตาเขาจนน่ารำคาญทุกวันจริงไหม?

ในขณะที่ทุกคนกำลังมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าตกตะลึง หลินป๋อก็ค่อยๆ เก็บไข่มุกราตรีปลอมเข้าไปในกล่องหยกด้วยสีหน้าหดหู่ก่อนที่จะกลับมานั่งลงข้างอวี้ฮ่าวหราน

“น้องอวี้ วันนี้ฉันขอโทษจริงๆ ที่ทำให้นายต้องมาเห็นภาพที่น่าอับอายของฉัน เฮ้อ ฉันดันเอามุกหยกคุณภาพต่ำมาให้นายดูซะได้ ฉันทำให้นายต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่ายังไงวันนี้ผมมาที่นี่เพื่อตรวจสอบมันให้อยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่าหรอก และอีกอย่างที่นี่ก็ไม่ได้ไกลอะไรนักจากบริษัทของผม” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นปลอบใจหลินป๋อ “พวกเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าวัตถุโบราณส่วนใหญ่ที่ขายกันเป็นของปลอม การซื้อวัตถุโบราณทุกชิ้นมีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นคุณอย่าเก็บเอาความผิดพลาดครั้งนี้ไปใส่ใจมากนักเลย คนเราย่อมมีวันพลาดกันได้”

วันนี้เขาตั้งใจมาตอบแทนอีกฝ่ายอยู่แล้ว ดังนั้นหากเขาเอ่ยคำพูดซ้ำเติมอะไรไปอีกมันคงเป็นบาปหนัก

และยิ่งไปกว่านั้นหากวันนี้เขาไม่เฉลยให้อีกฝ่ายรู้ก่อนว่าไข่มุกราตรีนี้มันเป็นของปลอม อนาคตอีกฝ่ายอาจจะอับอายมากกว่านี้อีกก็ได้จากไข่มุกราตรีปลอมก้อนนี้

“เฮ้อ น้องอวี้ไม่จำเป็นต้องปลอบฉันหรอก มันเป็นความผิดของฉันเองที่แก่ปูนนี้แล้วก็ยังถูกคนอื่นหลอกเอาได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่านิสัยไว้ใจคนของฉันนี่มันแก้ไม่หายจริงๆ”

สีหน้าของหลินป๋อดีขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงหัวเราะอย่างขมขื่นให้กับตัวเองอยู่ดี

“น่าเสียดายที่ไอ้คนที่มันขายไข่มุกราตรีปลอมอันนี้ให้ฉันมันถูกศาลตัดสินว่าล้มละลายและออกจากเมืองไปแล้ว ไม่งั้นล่ะก็ฉันจะทำให้มันรู้ว่าการมาหลอกหลินป๋อผู้นี้สุดท้ายจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายขนาดไหน!”

หลังจากที่เอ่ยประโยคนี้จบ สีหน้าของหลินป๋อก็เปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้นทันที

เขาเสียเงินให้กับไอ้มุกหยกราคาถูกนี้ไปตั้งหลายล้าน!

และยิ่งไปกว่านั้นเขายังเสียหน้าให้กับวงสังคมของเขาอีกต่างหาก ความผิดระดับนี้บทลงโทษเดียวของคนผู้นั้นคือความตาย!