หนานกงเยี่ยคลี่ยิ้ม มากล้นด้วยออร่าความสง่างาม “แต่ผมเคยพูดแล้ว ขอแค่คุณยินดีที่จะเป็นเหลิ่งรั่วปิง คุณก็เป็นเธอได้”
เหลิ่งรั่วปิงกะพริบตาอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ขนตางอนยาวงดงาม แววตาของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของหนานกงเยี่ย “คุณหนานกงเยี่ยคะ คุณเคยคิดพิจารณาดูไหมคะ บางทีคุณอาจจะไม่ได้รักเหลิ่งรั่วปิงมากขนาดนั้น คุณแค่ไม่พอใจที่เธอทิ้งคุณไปก็เท่านั้น” หยุดพูดครู่หนึ่ง มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา สีหน้าของเขาในตอนนี้นิ่งสงบ “ตอนนี้คุณใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันได้ เช่นนั้นคุณก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับจางหนิงซยาหรือหลี่หนิงซยาได้เหมือนกัน ขอเพียงแค่หาผู้หญิงที่รักษาสมดุลในใจของคุณได้ คุณก็ปล่อยมือจากเหลิ่งรั่วปิงได้”
แววตาของหนานกงเยี่ยอ่อนโยนและเคร่งขรึม มุมปากของเขากระตุกยิ้มบางเบา “ฉู่หนิงซยา ตอนนี้ผมรู้ใจตนเองดีกว่าครั้งไหนๆ และรู้ดีว่ากว่าครั้งไหนๆ ว่าผมต้องการอะไร ตั้งแต่วันแรกที่เหลิ่งรั่วปิงทิ้งผมไป เขาก็รู้ตัวแล้วว่าตนเองรักเธอมากเท่าไหร่ ผมเคยบอกคุณแล้ว ขอเพียงแค่วิญญาณของผมไม่แตกสลาย ผมจะรักเธอ”
“แล้วคุณจะรั้งฉันเอาไว้แบบนี้ทำไมคะ” ในเมื่อรักมากขนากนั้น ทำไมต้องหาคนมาเป็นตัวแทนของเธอด้วย
“ถ้าผมบอกว่า ต้องหาใครสักคนมาแทนที่เธอ จางหนิงซยา หลี่หนิงซยาล้วนไม่ได้ มีแค่ฉู่หนิงซยาคนเดียวเท่านั้นที่ได้”
“…ทำไมคะ” เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม คำพูดของหนานกงเยี่ยทำให้เธอยากที่จะเข้าใจ เธอคิดด้วยความหวาดกลัว หรือเขาจะรู้เรื่องที่เธอใส่หน้ากากแล้ว ทว่าวินาทีต่อมาเหลิ่งรั่วปิงก็ปฏิเสธความคิดนี้ ถ้าเขารู้ความจริงแล้ว จากนิสัยของเขา ต้องเปิดโปงเธอทันทีแน่นอน พร้อมทั้งกักขังเธอเอาไว้ข้างกายเขาอีกครั้ง พาตัวเธอกลับมาเหมือนเมื่อครั้งตอนที่อยู่เมืองเฟิ่ง ไม่มีทางอดทนและคอยตามใจเธอเหมือนกับตอนนี้
ริมฝีปากของหนานกงเยี่ยกระตุกยิ้ม “พอได้แล้วครับ พวกเราไปฉลองวันสิ้นปีกันก่อน พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปเที่ยว แล้วค่อยบอกคำตอบคุณ”
เที่ยว? เหลิ่งรั่วปิงยากที่จะเข้าใจการกระทำของผู้ชายคนนี้ “อากาศหนาวแบบนี้ ฉันไม่อยากไปเที่ยวที่ไหนทั้งนั้น”
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วใช้หลังมือวาดไปที่แก้มของเธอ “ผมรู้ว่าคุณกลัวอากาศหนาว พวกเราไปเที่ยวทางใต้ ไปเที่ยวที่ที่อากาศอบอุ่นเหมือนกับอยู่ในฤดูร้อน”
ประเทศต้าย่าเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ครอบคลุมเขตอบอุ่นและเขตกึ่งร้อน ถึงแม้ว่าตอนนี้อากาศในเมืองหลงจะหนาว แต่ทางใต้ของประเทศกลับยังคงมีอุณหภูมิสูงราวกับฤดูร้อน
ท่องเที่ยวเทศกาลตรุษจีน เป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองของคนสมัยใหม่ หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีวันหยุดยาว ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่บ้าน ทว่าเป็นการไปเที่ยวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
แต่หนานกงเยี่ยเป็นคนที่ทำงานยุ่งตลอดสามร้อยหกสิบห้าวัน อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบการท่องเที่ยว เขาเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่ายและน่าเบื่อมาโดยตลอด จู่ๆ บอกว่าจะพาเธอไปเที่ยว เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกตกใจ “คุณไม่ชอบท่องเที่ยวไม่ใช่เหรอคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น “ดูเหมือนคุณจะรู้จักผมเป็นอย่างดีเลยนะครับ”
“…” เหลิ่งรั่วปิงพูดไม่ออก เธอลืมไปว่าตอนนี้ตนเองคือฉู่หนิงซยา ฉู่หนิงซยาไม่รู้เรื่องของหนานกงเยี่ยมากเท่าไรนัก
หนานกงเยี่ยหัวเราะ ไม่ได้คิดมากไรกับเรื่องนี้ “พอได้แล้วครับ เราติดคำอวยพรกลอนคู่กันเถอะ”
ขณะที่เก็บคำอวยพรกลอนคู่แล้วกำลังจะเดินไปนั้น หนานกงเยี่ยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาเดินไปหยิบผ้าพันคอในตู้เสื้อผ้ามาพันให้กับเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นหยิบถุงมือมาสวมให้เธอ แล้วค่อยเดินออกไปพร้อมกับคำอวยพรกลอนคู่และกาว
เหลิ่งรั่วปิงมองดูผ้าพันคอบนคอและถุงมือที่สวมเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเธอเคยใช้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บมันเอาไว้ เขาบอกว่า ขอแค่วิญญาณของเขาไม่แตกสลาย เขาจะรักเธอ
“ใจลอยอะไรอยู่ครับ เร็วเข้า ผมต้องให้คุณช่วยยื่นกาวและคำอวยพรกลอนคู่ให้ผมนะ” หนานกงเยี่ยพูดเร่งเร้า
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยายามขับไล่ความคิดเหลวไหลพวกนี้ แล้ววิ่งตามเขาออกไป “มีสาวใช้อยู่ไม่ใช่เหรอคะ ทำไมต้องให้ฉันทนอากาศหนาวๆ ตามคุณออกมาด้วย”
“ผมให้พวกเขาหยุดกลับบ้านกันหมดแล้วครับ” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วยื่นกล่องคำอวยพรกลอนคู่ให้เหลิ่งรั่วปิง จากนั้นทากาวตรงเสาต้นใหญ่หน้าประตูบ้าน “วันนี้ในบ้านมีแค่พวกเราสองคนครับ”
หลังจากทากาวเสร็จ หนานกงเยี่ยหยิบคำอวยพรกลอนคู่ออกมา พร้อมทั้งติดไปบนเสา “หลังจากติดคำอวยพรกลอนคู่เสร็จ พวกเราไปกินอาหารเช้ากันเถอะครับ แล้วพอกินอาหารเช้าเสร็จเราค่อยไปเดินห้างกับซุปเปอร์มาร์เก็ตกัน”
“คุณจะไปเดินห้าง ไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ต?” เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหลือเชื่อ คนอย่างเขาที่ต้องการเสื้อผ้าก็แค่สั่งผู้ช่วย อยากกินข้าวก็แค่อ้าปาก แต่กลับจะไปเดินห้าง ไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ต น่าตกใจเล็กน้อย!
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับดูเป็นปกติมาก เขาไม่สนใจในความตกใจของเธอ “พวกเราไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ที่ห้าง แล้วไปซื้อวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำมื้อค่ำ”
เหลิ่งรั่วปิงถือกล่องคำอวยพรกลอนคู่ ขมวดคิ้วเป็นปม “คุณไม่มีเสื้อผ้าใส่เหรอคะ สั่งให้ผู้ช่วยซื้อก็พอแล้ว?”
ดูเหมือนหนานกงเยี่ยจะมีความอดทนมากขึ้น สำหรับความเฉยเมยของเธอเขาไม่โมโหเลยสักนิด ยิ้มแล้วมองดูเธอ “คุณน่าเบื่อจริงๆ ตรุษจีนทั้งที ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุดเพื่อเป็นการฉลอง และยังต้องห่อเกี๊ยวซ่า ทำอาหารค่ำเพื่อส่งท้ายปีเก่า จุดพลุ ทั้งหมดนี้พวกเราห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว หืม?”
หนานกงเยี่ยเปลี่ยนไปแล้ว เขาเปลี่ยนเป็นเหมือนผู้ชายที่มีครอบครัว นี่คือความคิดแรกของเหลิ่งรั่วปิง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่ารอบตัวเขามีออร่าแห่งความอบอุ่น ออร่านี้ดึงดูดเธอมาก ไม่ว่าจะทำเช่นไรเธอก็ละสายตาไปไม่ได้
หลังจากติดคำอวยพรกลอนคู่เสร็จ หนานกงเยี่ยหันหลัง ยิ้มร่าเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้เธอมองเขา ให้เธอมองตามสบาย
เหลิ่งรั่วปิงดึงสติกลับมา พบว่าตนเองใจลอยไปแล้ว วันนี้เธอใจลอยเป็นครั้งที่สองแล้ว ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ยัดกล่องคำอวยพรกลอนคู่ไว้บนมือหนานกงเยี่ย หมุนตัวหันหลังเดินกลับไป เหมือนกำลังหนี
รอยยิ้มของหนานกงเยี่ยชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม เขาจ้องมองดูแผ่นหลังของเธอ แล้วเดินตามไปช้าๆ เข้าไปในวิลล่าพร้อมกัน
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกเธอก็รีบขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที อยากจะหนีเข้าไปอยู่ในห้องนอน แต่ด้านหลังมีเสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้น “ขึ้นไปชั้นบนทำไมครับ มากินอาหารเช้า”
เหลิ่งรั่วปิงชะงักฝีเท้า กัดฟันเดินลงมาจากบันได แล้วเดินตามเขาเข้าไปในห้องอาหาร
อาหารเช้าล้วนมากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีทั้งขนมปังปิ้งกับแคร์รอต สเต็กเนื้อ สลัดผลไม้ และน้ำเต้าหู้ห้าธัญพืช
เหลิ่งรั่วปิงตกใจมาก “คุณหนานกง คนที่มีอำนาจอย่างคุณ ทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ” เธอจำได้ว่าเขาทำอาหารไม่เป็น
หนานกงเยี่ยกินขนมปังปิ้งไปด้วย พร้อมพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “เมื่อก่อนทำไม่เป็นครับ แต่หลายเดือนที่ผ่านมานี้หลังจากเหลิ่งรั่วปิงไปจากผม ผมก็เริ่มฝึกทำอาหาร เธอบอกว่าอยากมีครอบครัวที่มีความสุข ผมคิดว่าหัวหน้าครอบครัวในครอบครัวที่มีความสุขควรจะทำอาหารเป็น ดังนั้นผมควรจะฝึกทำอาหารให้เป็น”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าลงแล้วดื่มน้ำเต้าหู้ของตนเอง การกระทำของเขาในตอนนี้เป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ เป็นผู้ชายที่ดีเหมือนพ่อ เธอเริ่มรู้สึกโหยหา แต่ว่า หลังจากเดินข้ามผ่านเส้นทางที่โรยด้วยขวากหนาม เธอยังไม่มีความกล้าที่จะหันกลับมา เพราะถ้าหันกลับมา อาจจะเป็นพายุที่นองไปด้วยเลือด ซือคงอวี้ต้องโมโหจนเผาเมืองหลงอย่างแน่นอน
“ผมเคยบอกแล้ว ขอแค่เหลิ่งรั่วปิงยอมกลับมา พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน” หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังหลุบตาลง “ผมรู้ว่าเธอมีเหตุผลที่ไม่อาจเลือกได้ อาจจะมีคนที่มีอำนาจทำให้เธอกลับมาไม่ได้ ไม่อนุญาตให้เธอกลับมาอยู่ข้างผม แต่สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ ผมหนานกงเยี่ยไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอ ผมมีความสามารถในการปกป้องผู้หญิงของผม และผมก็รักเธอด้วย ไม่ว่าเธอจะเป็นใครผมก็ไม่แคร์ ขอแค่เธอยอมกลับมาอยู่เคียงข้างผม”
เหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่พูด ทว่าขนตางอนยาวของเธอสั่นไหว เขาสืบจนรู้เรื่องอะไรแล้ว? หรือเขาจะรู้แล้วว่าเธอคือสายลับของวิหาร
เขาบอกว่าเขาไม่แคร์!
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขารักเธอมากขนาดนี้จริงๆ เหรอ
หนานกงเยี่ยมองดูแววตาสับสนของเหลิ่งรั่วปิง แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ว่าเธอต้องการเวลาในการคิด เขาบีบเธอมากเกินไปไม่ได้
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หนานกงเยี่ยล้างจานด้วยตนเอง เมื่อไม่มีคนงาน เขาเป็นคนเสนอตัวที่จะทำงานบ้านทุกอย่าง
มองดูแผ่นหลังของเขาที่กำลังง่วนกับงานบ้าน ภายในใจของเหลิ่งรั่วปิงสับสนเป็นอย่างมาก ผู้ชายเย็นชาสูงศักดิ์อย่างเขา กลับเปลี่ยนตนเองเป็นพ่อบ้านที่แสนดีเพื่อเธอ เธอไม่ควรหวั่นไหวกับเขาหรือ
“คุณหนานกงเยี่ยคะ ให้ฉันช่วยทำอะไรไหมคะ”
“ไม่ต้องครับ ผมใกล้จะเสร็จแล้ว” หนานกงเยี่ยล้างจาน มองมาที่เหลิ่งรั่วปิงด้วยรอยยิ้ม “คุณขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวเราไปเดินห้างด้วยกัน”“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเชื่อฟังเขามากขึ้น เธอเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นบน
จู่ๆ เธอก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน อยากใส่เสื้อผ้าสีสว่างๆ เสื้อไหมพรมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าบูทส้นเข็มสีดำ เสื้อกันหนาวตัวยาวสีแดง เข้าชุดกับผ้าพันคอลายเสือดาวและกระเป๋าถือสีน้ำตาลใบเล็ก แต่งตัวแบบนี้ ทำให้เธอดูมีสง่า และมีชีวิตชีวา
เดินลงมาชั้นล่าง เมื่อเห็นหนานกงเยี่ย เธอเพิ่งสังเกตว่า เสื้อผ้าของเธอกับเขาคล้ายเสื้อคู่มาก เขาเองก็เปลี่ยนชุดแล้ว เขาสวมเสื้อไหมพรมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังสีดำ และเสื้อกันหนาวตัวยาวสีดำ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เหมือนว่าพวกเขาสองคนตั้งใจแต่งตัวแบบนี้
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย อ้าปากอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดเท่าไร สุดท้ายจึงเลือกที่จะเงียบ
หนานกงเยี่ยมองดูหญิงสาวที่เข้ากับตนมาก อารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วรื้อหาอะไรบางอย่างครู่หนึ่ง หยิบผ้าพันคอลายเสือดาวขึ้นมาแล้วพันเอาไว้
ตอนนี้ พวกเขาแต่งตัวเหมือนคู่รักมากยิ่งขึ้น
เหลิ่งรั่วปิงแลดูเขินอายมากกว่าเดิม แต่หนานกงเยี่ยกลับยิ้มร่าราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ “ไปกันเถอะครับ” เขาจับมือเธอแล้วเดินออกไป
นั่งอยู่บนรถ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกมีความจำเป็นต้องอธิบาย “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแต่งตัวเหมือนคุณนะคะ”
“ผมรู้ครับ” หนานกงเยี่ยยิ้ม แววตาลุ่มลึก “ใจตรงกัน คำพูดนี้หมายถึงพวกเรา”
เหลิงรั่วปิงเบ้ปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะเธอรู้ดีว่า ผู้ชายคนนี้ต้องมีคำพูดที่เลี่ยนยิ่งกว่ารอพูดกับเธอ
แต่ว่า ถึงแม้เธอจะไม่พูดอะไร ก็หยุดคำพูดเลี่ยนๆ ของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ “ถ้ามีลูกอีกสักคน พวกเราแต่งตัวเป็นพ่อแม่ลูกได้เลยนะครับ”
ลูก? แต่งตัวเป็นพ่อแม่ลูก?
เหลิ่งรั่วปิงไม่กล้าแม้แต่จะคิด “นี่ คุณหนานกง คุณอย่าพูดเกินเลยได้ไหมคะ” สีหน้าของเธอไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันเป็นแค่ตัวแทนชั่วคราว แม้แต่จูบก็ห้ามจูบตามอำเภอใจ นับประสาอะไรกับการมีลูก พูดจาโลดโผนแบบนี้ทำไม”