เช้าวันที่สอง เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ ท้องฟ้าแจ่มใสมาก แสงแดดเจิดจ้าสาดส่องมาบนพื้น นกกางเขนร้องเรียกไม่หยุด คล้ายเป็นการส่งผ่านความสุขมายังโลกใบนี้
แดดส่องผ่านม่านหน้าต่าง กระทบลงบนเตียงทำให้เกิดแสงเป็นจุดๆ และกระทบลงบนใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิง เธอลืมตาขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับตื่นจากฝัน ดวงตาคู่สวยมองดูรอบๆ กวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ราวกับผ่านมายาวนาน ไม่อยากเชื่อว่าตนกลับมาอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋ออีกครั้ง
ตอนนั้นสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่ขนาดนั้น แต่สุดท้ายหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย เธอก็กลับมาอยู่ข้างกายหนานกงเยี่ยอีกครั้ง
รู้สึกว่าชีวิตคนเราเป็นเรื่องตลกจริงๆ
ก๊อกๆๆ!
ประตูห้องถูกเคาะเป็นจังหวะเสียงเบา
เหลิ่งรั่วปิงลงจากเตียงนอนด้วยความเกียจคร้าน เดินไปเปิดประตู เดินออกมาจากผ้าห่มที่อบอุ่นกะทันหันแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมา เธอจึงหันไปหยิบผ้าห่มแล้วเอามาคลุมตัว จากนั้นค่อยไปเปิดประตู
หนานกงเยี่ยไม่ได้สวมชุดสูทสีดำเหมือนทุกครั้ง วันนี้เขาแต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อคอวีสีดำ ด้านนอกทับด้วยเสื้อกันหนาวขนสัตว์สีเดียวกับเสื้อตัวใน เขาดูมีชีวิตชีวา ยิ้มสดใส “ฉู่หนิงซยา วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีแล้ว คืนนี้ก็คืนส่งท้ายปี คุณอย่าเอาแต่นอนขี้เกียจอีกเลย”
เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้สึกอะไรพิเศษ เธอกระชับผ้าห่มด้วยความหนาว “มีอะไรพิเศษเหรอคะ ไม่มีอะไรให้ทำสักหน่อย ฉันอยากออกแบบงานของฉัน ตอนนี้คุณสั่งให้คนไปขนย้ายกระดาษและอุปกรณ์จากที่บริษัทมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ฉู่หนิงซยา คุณอย่าทำเป็นไม่สนใจอะไรแบบนี้ได้ไหมครับ วันนี้เป็นวันที่พิเศษมาก พรุ่งนี้คุณจะอายุมากขึ้นหนึ่งปี วันนี้คุณไม่อยากระลึกถึงตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นหรอครับ” จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ตกหลุมรักแตงโม เขาเบ้ปากทำหน้าบึ้ง
เหลิ่งรั่วปิงมองดูเขาด้วยความตกใจครู่หนึ่ง จากนั้นมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนมองคนโง่ ความหมายของเธอชัดเจนมาก ถ้าออดอ้อนไม่เป็นก็อย่าทำ!
หนานกงเยี่ยถูกมองด้วยสายตาดูถูกจนรู้สึกเสียหน้า เขาแค่อยากให้เธอผ่อนคลายเล็กน้อย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันในวันพิเศษแบบนี้ เขาเป็นคนนิสัยไม่ดี ข้อนี้เขารู้ดี เธอเองก็เป็นผู้หญิงที่ดื้อรั้นมาก เธอดื้อรั้นมากกว่าผู้หญิงคนไหนบนโลกใบนี้ เขาอยากให้เธอมีความทรงจำที่ดี ไม่อยากให้เธออารมณ์เสีย
แต่ว่า เธอไม่ไว้หน้าเขาเลยจริงๆ
เขาไม่รู้ว่าการคบกันเป็นยังไง เรื่องนี้เขายอมรับ แต่เขากำลังค่อยๆ เรียนรู้
หนานกงเยี่ยพยายามจัดการกับอารมณ์ของตนเอง บอกกับตนเอง ไม่ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะทำอะไรก็ต้องใจกว้างให้อภัยเธอ เพราะถ้าไม่รู้จักยอมชีวิตนี้ก็คงแต่งงานมีภรรยาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มออดอ้อน “ครับ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ พวกเรายังมีอีกหลายอย่างต้องทำ”
“มีเรื่องอะไรต้องทำคะ” เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีเรื่องอะไรต้องทำ งานที่บริษัทก็ดูเหมือนว่าเขาจะจัดการเสร็จหมดตั้งแต่ก่อนงานเลี้ยงประจำปี หรือจะเป็นเรื่องที่บ้านกับเรื่องคนงาน แต่นอกจากเที่ยวกินแล้ว เขายังมีอะไรเรื่องอะไรให้ทำ
ความอดทนของหนานกงเยี่ยถูกบั่นทอนทีละน้อยๆ “ตรุษจีนแล้ว แน่นอนว่าต้องมีหลายอย่างต้องทำ อย่าชักช้า รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
เหลิ่งรั่วปิงคลุมตัวด้วยผ้าห่ม เธอไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อากาศหนาวแบบนี้ เธอไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อีกทั้งยังต้องทำร่วมกันกับเขาอีก สภาพของผู้ชายตรงหน้าในตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าไอคิวของเขาลดลง เขาดูปัญญาอ่อนเพียงชั่วข้ามคืน อีกทั้งเมื่อคืนเขาฉวยโอกาสตอนที่เธอไม่ทันระวัง จูบเธอ ในใจของเธอยังคงรู้สึกปฏิเสธเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงที่อยากจะไล่ตนไปให้ไกล หัวใจที่หวานชื่นมีความสุขของหนานกงเยี่ยในตอนแรก ถูกเตะเข้าไปในทะเลสาบน้ำแข็งพันปี “ฉู่หนิงซยา คุณหมายความว่ายังไง จะฉลองตรุษจีนไหม”
“ตรุษจีนๆๆ มีอะไรให้ฉลองคะ ตรุษจีนมันสำคัญมากเหรอคะ” เหลิ่งรั่วปิงดูไม่ออกว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับเทศกาลต่างๆ
หนานกงเยี่ยอยากจะลากเธอขึ้นมาจากเตียง เม้มกัดฟันแล้วสูดลมหายใจเข้า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี คนอื่นพากันติดคำอวยพรกลอนคู่ พวกเราเองก็ห้ามล้าหลัง”
ติดคำอวยพรกลอนคู่? เหลิ่งรั่วปิงมองหนานกงเยี่ยด้วยแววตาที่เหมือนกำลังมองมนุษย์ต่างดาว หัวเราะเสียงใสราวกับเสียงของกระดิ่ง “ล้อเล่นอะไรคะ คุณจะให้ฉันติดคำอวยพรกลอนคู่กับคุณ?” ดวงตาคู่สวยยิ้มตาหยีไปตามเสียงหัวเราะ “คุณหนานกง คุณเป็นราชาที่อยู่เหนือทุกคนไม่ใช่เหรอคะ ราชาที่เย็นชามาโดยตลอด จะติดคำอวยพรกลอนคู่ด้วยตนเอง เช้าที่ผ่านมาคุณกินยาลืมเขย่าขวดใช่ไหมคะ”
หนานกงเยี่ยรู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับในใจ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะสิ่งที่เธออัดไว้ในเครื่องบันทึกเสียงว่าอยากจะมีครอบครัว เขาจึงอยากสร้างบรรยากาศครอบครัวกับเธอ เมื่อคืนเขาหาข้อมูลตลอดทั้งคืนว่าครอบครัวของคนทั่วไปนั้น ในช่วงเทศกาลตรุษจีนสามีภรรยาทำอะไรกัน ดังนั้นวันนี้เขาจึงตื่นแต่เช้า สั่งให้สาวใช้หยุดงานกลับบ้านไปให้หมด ทำกาวติดคำอวยพรกลอนคู่ด้วยตนเอง ทั้งยังเตรียมคำอวยพรกลอนคู่เอาไว้ เพื่อที่จะติดกับเธอ
แต่ท่าทางของเธอในตอนนี้มันคืออะไร
หนานกงเยี่ยเป็นคนที่พูดน้อย ถ้าใช้คำพูดเพียงพยางค์เดียวในการสื่อความหมาย เขาก็ไม่มีวันพูดสองพยางค์ แต่กับเหลิ่งรั่วปิง เขารู้สึกว่าตนเองพูดในสิ่งที่ไม่มีความหมายไปมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขากลับพบว่า ไม่ว่าเขาจะพูดจนเปลืองน้ำลายและเสียเวลาแค่ไหน เธอก็ไม่มีวันสนใจในตัวเขาแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีของเขาถูกเหยียบย่ำอย่างหนัก
เดิมทียังมีความอดทนสูง ทั้งยังเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น จู่ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน แววตาเย็นยะเยือกมองไปเหนือศีรษะของหญิงสาวด้วยความสับสน
เหลิ่งรั่วปิงหุบยิ้ม ไม่เห็นความโมโหของเขาอยู่ในสายตา เธอกระชับผ้าห่ม ก่นด่าเขาในใจ ผู้ชายคนนี้ยังคงนิสัยแย่ไม่เปลี่ยน ไม่ดีขึ้นเลย!
คำพูดในใจยังบ่นไม่จบ หนานกงเยี่ยเดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาหา เขากระชากผ้าห่มออกจากตัวของเธอ เหลิ่งรั่วปิงคว้าผ้าห่ม “หนานกงเยี่ย คุณจะทำอะไรของคุณ”
“ในเมื่อคุณไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง ถ้าอย่างนั้นผมช่วยเปลี่ยน!”
เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นนั่งด้วยความโมโห ดวงตาคู่สวยจดจ้องไปยังหนานกงเยี่ย แววตาข่มขู่ของเขาทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก “คุณหนานกงเยี่ย ฉันขอเตือนคุณนะคะ ฉันเป็นแค่ตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงที่ต้องทำหน้าที่นี้แค่สามเดือน อีกทั้งคุณรับปากกับฉันเอาไว้ก่อนแล้ว จะไม่ทำอะไรฉันเด็ดขาด คุณอย่าลืมสถานะของตนเอง” เม้มกัดริมฝีปากแน่น “คุณควรขอโทษฉันกับการกระทำของคุณเมื่อคืน?”
“เมื่อคืนมีเรื่องอะไรครับ” หนานกงเยี่ยมองดูเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังโมโหอย่างรู้สึกตลก แววตาเย็นยะเยือกมีความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่
“!!!” เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม แววตาของเธออัดแน่นด้วยความโกรธที่แทบอยากจะหลอมละลายคนตรงหน้าให้กลายเป็นเถ้าถ่าน “คุณหนานกงเยี่ย ลูกผู้ชาย ทำแล้วก็ควรกล้าที่จะยอมรับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สมควรเป็นผู้ชาย”
“หึๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา โน้มตัวแล้วเชยคางเธอขึ้นเบาๆ “เมื่อคืนผมจูบคุณ แต่คุณไม่ได้ปฏิเสธผมนี่ครับ” ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆ รดตรงหน้าเธอ “การที่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ปฏิเสธผู้ชายที่มาใกล้ชิด ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รังเกียจเขา ฉู่หนิงซยา ความเป็นจริงแล้วในใจของคุณมีผม คุณอย่าเอาแต่ปฏิเสธได้ไหมครับ”
ภายในใจมีเขาหรือเปล่า ตอนนี้เธอเองก็ไม่แน่ใจ แต่ร่างกายของเธอจดจำเขาได้ ถูกความรักของเขาโอบรัด ทำให้เธอไม่อาจควบคุมหัวใจของตนเองไม่ให้ใจเต้นแรงได้ เหลิ่งรั่วปิงหันหน้าหนีจากการสัมผัสของเขา “คุณอย่าหลงตัวเอง!”
มองดูใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ รอยยิ้มของหนานกงเยี่ยลุ่มลึกมากกว่าเดิม “ครับ คุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ผมรอคุณด้านนอกนะ”
เหลิ่งรั่วปิงยังไม่ทันดึงสติกลับมา แก้มของเธอก็ถูกเขาหอมฟอดหนึ่ง เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปากต่อว่าเขา หนานกงเยี่ยก็เดินออกไปจากห้องอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังปิดประตูลง
เหลิ่งรั่วปิงเช็ดแก้มของเธอด้วยความโมโห โยนผ้าห่มทิ้ง แล้วลุกไปอาบน้ำแปรงฟัน
ตอนแปรงฟัง เธอนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมากะทันหัน บางทีความรู้สึกที่หนานกงเยี่ยมีต่อเหลิ่งรั่วปิงอาจจะไม่ได้มากมายขนาดนั้น เขาเพียงแค่ไม่พอใจเท่านั้น ขอเพียงหาคนที่คล้ายกับเหลิ่งรั่วปิงก็ทำให้เขาลืมเธอได้ ฉู่หนิงซยาในตอนนี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ เขาทำแบบนี้กับฉู่หนิงซยา เช่นนั้นก็ต้องทำแบบนี้กับจางหนิงซยา หลี่หนิงซยาได้เหมือนกัน เขาจูบ กอดและทำเรื่องยิ่งกว่านี้ ขอเพียงแค่มีคนคนหนึ่ง ที่มาแทนที่เหลิ่งรั่วปิง
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เธอก็เดินลงไปชั้นล่าง
หนานกงเยี่ยนั่งอยู่ในห้องรับแขก เขากำลังง่วนอยู่กับการทำคำอวยพรกลอนคู่ ท่าทีของเขาดูจริงจังมาก เหมือนผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ในวันพิเศษแบบนี้ เขากำลังศึกษาวิธีการขอพรศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น อ่านเนื้อหาของคำอวยพรกลอนคู่อย่างละเอียดหนึ่งรอบ มีความเป็นพ่อบ้าน
ถึงแม้จะทำเรื่องธรรมดา แต่เขายังคงมีมาดของราชา เป็นราชาแสนอ่อนโยนที่ไร้ซึ่งความเย็นชาและความเผด็จการ ใบหน้าคมชัด เรือนร่างกำยำสูงโปร่ง สะท้อนเข้ากับคำอวยพรกลอนคู่สีแดง ทำให้เขาดูหล่อและมีเสน่ห์เหนือทุกคน
เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีไร้ที่ติ
เหลิ่งรั่วปิงยืนอยู่ด้านข้างโซฟา มองดูด้วยความเหม่อลอย สายตาของเธอจับต้องไปยังตัวของหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยในเวอร์ชั่นนี้ เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ผู้ชายแบบนี้ เธอไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคย เพราะพ่อของเธอก็เป็นผู้ชายแบบนี้เหมือนกัน หล่อเหลา มีสง่า ทะนงตน แต่เขากลับทำให้คุณรู้สึกเหมือนคนในครอบครัว ทำให้คุณอดไม่ได้ที่จะซบลงในอ้อมกอดของเขา ดื่มด่ำกับความรักที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเขา เพราะคุณจะรู้สึกว่า การถูกผู้ชายแบบนี้รักใคร่ คุณเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก
คล้ายว่าร่วมมือกับการมองของเธอ แม้จะผ่านไปนานแต่หนานกงเยี่ยยังคงไม่พูดกับเธอ เขานั่งทำงานของตนเองเงียบๆ แต่เขารู้สึกว่าเธอมองเขาอยู่ตลอดเวลา มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็เงยหน้าขึ้นมา เขายิ้มด้วยรอยยิ้มละลายใจ เสียงของเขาอ่อนโยนราวกับเสียงบรรเลงของไวโอลิน “มองพอหรือยังครับ อยากกอดผมมากเลยใช่ไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงดึงสติกลับมา เสี้ยวเวลาสั้นๆ แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ รู้สึกเขินอายที่เขาอ่านใจเธอออก หรือว่าเขาอ่านใจคนได้ เมื่อกี้เธอกำลังจินตนาการความรู้สึกตอนสวมกอดเขา เพราะตัวของเขามีภาพซ้อนของพ่อเธอ
กะพริบตาปริบๆ ด้วยความหงุดหงิด พยายามกำจัดความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใบหน้า เหลิ่งรั่วปิงนั่งลงบนโซฟา “มีแต่ผีเท่านั้นที่อยากจะกอดคุณ”
หนานกงเยี่ยไม่ได้โกรธ รอยยิ้มในแววตาของเขาลุ่มลึกมากกว่าเดิม “ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของผม ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดบนโลกอย่างแน่นอน”
“แล้วยังไงคะ” เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองหนานกงเยี่ย “มีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันเป็นแค่ตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงเท่านั้น”