บทที่ 181 สงบ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 181 สงบ (1)
ลู่เซิ่งเก็บคัมภีร์ประณีตเล็กจิ๋ว ก่อนหันไปมองปมร่วมใจที่เล็กๆ ปมนั้น

ปมร่วมใจสีชมพูดูเหมือนทำขึ้นอย่างหยาบๆ กระนั้นยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รอดพ้นจากไฟและจากการระเบิดแบบนี้ได้ ช่างไม่ธรรมดา

เขาหยิบปมร่วมใจขึ้นมา ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยัดใส่ถุงดำ

สุดท้ายมองดูไปรอบๆ ไฟยังคงแผ่ลาม ควันหนาตลบอบอวล อีกเดี๋ยวคงจะดึงดูดตัวตนคนที่แข็งกล้าที่เหลือเข้ามา

‘ยอดฝีมือระดับอสรพิษเหล่านี้ ต่อให้จะเป็นศพก็ไม่ใช่ของธรรมดา… จะนำกลับไปทั้งหมดโดยไม่ทิ้งร่องรอยยังไงดี’ เขาย่นคิ้ว

ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็เห็นเรือมีหลังคาที่ถูกน้ำพัดไปอยู่มุมหนึ่งของแม่น้ำ

‘ได้การล่ะ!’

เขาไม่ได้นำศพของพวกยักษ์ไปด้วย เพราะหนักเกินไป ปิดบังได้ยาก แต่ศพที่เหลือก็สะดวกสบาย

ศพของผู้คุมจัตุรัสแดงกับอิงอิง รวมถึงซากของเย่หลิงม่อถูกยัดใส่เรือมีหลังคาลำนั้น

ฝนโปรยปรายจนหนักขึ้นเรื่อยๆ ผสมกับแสงไฟ ละอองน้ำที่ยิ่งมายิ่งหนาระเหยขึ้น

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หัวเรือ ไม่ทราบหาไม้ถ่อได้มาจากไหน ถ่อเรือไปตามแม่น้ำ

จวนอู๋โยว

อู๋โยวอ๋องลูบแหวนนิ้วโป้งที่ทำจากหยกแดงในมือ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ยืนอยู่กลางสวนป่า กลับไม่สนใจทิวทัศน์บุปผาดั่งแพรพรรณ

“ยังไม่มีข่าวอีกหรือ”

“เจ้าค่ะ…ไม่ได้ตอบกลับมาสองสัปดาห์แล้ว” เจาหรงรองประมุขจวนตอบเบาๆ อยู่ด้านข้าง

“เย่หลิงม่อกำลังทำอะไรอยู่?! โจวเหอผีเกศาแดงเล่า” อู๋โยวอ๋องถามเสียงทุ้ม

“โจวเหอออกไปตรวจสอบด้านนอก ตอนนี้ยังไม่มีข่าวเจ้าค่ะ” เจาหรงตอบ

“แดนเหนืออันตรายถึงขาดนั้นเชียว?” อู๋โยวอ๋องขมวดคิ้ว “เสียมือดีไปตั้งมากมาย ตอนนี้แม้แต่เย่หลิงม่อก็หายตัวไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เขารู้จักนิสัยของเย่หลิงม่อดี แม้คนผู้นี้จะมีข้อเสียและความน่ารำคาญมากมาย แต่จุดเด่นที่ดีที่สุดคือตรงเวลา อีกฝ่ายเคยบอกว่าหนึ่งสัปดาห์จะตอบจดหมายมาครั้งหนึ่ง เช่นนั้นไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆ

ทว่าตอนนี้ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วยังไม่ตอบจดหมายมา

“ติดต่อซั่งหยางจิ่วหลี่ ขอให้นางรวบรวมขุมกำลังในท้องที่ ช่วยข้าตรวจสอบ คำขอเล็กๆ แค่นี้ ตระกูลซั่งหยางไม่มีทางปฏิเสธ” อู๋โยวอ๋องเอ่ยเสียงทุ้ม

เจาหรงดวงตาฉายแววประหลาดใจ “ท่านอ๋อง เย่หลิงม่อก็แค่คนนอก ไม่แน่เขาอาจจะผิดสัญญาละทิ้งคุณธรรมไปแล้วก็ได้…” นางยังพูดไม่ทันจบ

“หุบปาก!” อู๋โยวอ๋องตวาดเสียงเฉียบ “ทราบหรือไม่ว่าทำไมข้าจึงใช้เขา ถ้าเจ้ามีความสามารถนอกจากเรื่องบนเตียง ข้าจะแต่งตั้งคนนอกเป็นรองประมุขจวนหรือ เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าเขามีความทะเยอทะยานแค่ไหน”

เจาหรงพลันแสดงสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ

อู๋โยวอ๋องมองนาง ใจอ่อนลงบ้าง ยื่นมือไปโอบนางเข้าสู่อ้อมอก ล้วงมือบีบคลึงหน้าอกอย่างเปิดเผย

“ข้าเองก็รู้ว่า ที่แล้วมาเจ้าช่วยข้ารวบรวมของดีๆ ตั้งมากมายมาหลายปีอย่างยากลำบาก แต่เรื่องเหล่านี้เจ้าทำไม่ได้จริงๆ”

เจาหรงซบบนตัวอู๋โยวอ๋อง “ถ้าเย่หลิงม่อไม่กลับมาจริงๆ พวกเราควรทำอย่างไร”

“จะแบ่งกำลังอีกไม่ได้แล้ว ราชวงศ์รุกคืบทีละก้าว พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มาก ตอนนี้พวกเขาแค่กลัวข้า กลัวข้าเสี่ยงชีวิตด้วย” อู๋โยวอ๋องเอ่ยอย่างวิตก “พวกเราจะจัดพิธีกฎเกณฑ์ในเขตอื่น เสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว”

“เจาหรงทราบแล้ว”

การตายของเย่หลิงม่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนมากมาย ทุกคนอาจนึกว่าเขาแอบหนีไป ถึงอย่างไรเดิมทีเขาก็เข้ากับจวนอู๋โยวในเวลาอันตราย ไม่นับว่ามีความซื่อสัตย์นัก นอกจากผีเกศาแดงโจวเหอที่พยายามค้นหาที่อยู่ของลูกพี่ไปทั่วแล้ว คนที่เหลือก็เป็นคนของจวนอู๋โยวที่ตามไปค้นหา

แต่การค้นหาเช่นนี้ไม่มีประสิทธิภาพที่ดีนัก เซียวหงเย่ควบคุมการเสาะหาในครั้งนี้ เขาสัมผัสได้จากปรากฏการณ์ที่หายตัวไปเหมือนก่อนหน้านี้ว่า การตามหามีผลลัพธ์ไม่มากนัก

มีแต่ผีเกศาแดงโจวเหอที่ยังคงทุ่มเทตามหาไปทั่วเหมือนกับเฒ่าเฮยเมื่อก่อนหน้า

แต่ว่าครั้งนี้เขาไม่เจอร่องรอยใดเลยจริงๆ เย่หลิงม่อไม่เหมือนกับเฒ่าเฮยในตอนนั้นซึ่งมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหว เขานัดหมายกับผู้คุมจัตุรัสแดง โดยไม่ได้บอกใคร

ที่อยู่ของช่องแคบก็ห่างจากเมืองเลียบคีรีค่อนข้างไกล ไม่มีทิศทางให้ค้นหา

ปฏิกิริยาของจวนอู๋โยวเรียบเฉย การตายของผู้คุมจัตุรัสแดงสร้างความปั่นป่วนยิ่งกว่า

ชื่อเสียงของผู้คุมจัตุรัสแดงหยั่งรากในแดนเหนือและในใจของพวกไป๋เฟิงเหล่าเต้ามานานแล้ว

สตรีวิปลาสนางนี้เป็นตัวแทนระดับชั้นที่แข็งแกร่งที่สุดรุ่นแรกๆ ของแดนเหนือ ต่อให้เป็นซั่งหยางจิ่วหลี่ ก็มีแค่หลังจากเลื่อนระดับถึงจะงัดข้อกับนางได้

เพราะพลังแบบนี้ ตระกูลขุนนางที่มีศักยภาพด้อยกว่าจึงไม่กล้าผลีผลามลงมือกับนาง

และด้วยเหตุนี้ หลังจากวิญญาณเร่ร่อนซึ่งถูกควบคุมในหน่วยหลักจัตุรัสแดงเป็นจำนวนมากหนีกระเจิดกระเจิงในคืนเดียว กลิ่นอายของผู้คุมจัตุรัสแดงกับรอยตราทั้งหมดก็หายไป ขุมกำลังทั้งหมดค่อยทราบอย่างแท้จริงว่าผู้คุมจัตุรัสแดงตายแล้ว

นางควบคุมวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นด้วยตัวเอง มีแต่หลังจากนางตาย วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้สัมผัสการควบคุมในวิญญาณไม่ได้ จึงค่อยหลบหนีกันอย่างจ้าล่ะหวั่น

มีคนไม่เชื่อ ส่งนักรบเดนตายไปยังที่อยู่เก่าของหน่วยหลักจัตุรัสแดง ที่นั่นว่างเปล่าไร้สิ่งใด

ขุนนางตรวจการหว่านแหไปทั่ว ถึงขั้นระดมกองทัพเฟยเหลียน ใช้การลาดตระเวนเป็นข้ออ้างเพื่อทดลองตรวจสอบ

และตอนนี้เอง ซั่งหยางจิ่วหลี่ในที่สุดก็ออกจากด่านแล้ว

ครืนๆ…

หินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้งกลิ้งช้าๆ ไปด้านข้าง เผยให้เห็นถ้ำที่มืดสนิทอยู่ด้านหลัง

ในถ้ำรูปวงรี เงาคนปล่อยผมยาวเป็นกระเซิง สวมมงกุฎเดินเอื่อยๆ ออกมา

เงาคนเมื่อเดินใต้แสงอาทิตย์ สองตาพลันหยีลง นางไม่ได้เห็นแสงมานานแล้ว ต้องใช้เวลาปรับให้ชิน

“ยินดีกับคุณหนูที่ข้ามขีดจำกัดสำเร็จ!” เสียงหนึ่งดังด้านขึ้นนอกถ้ำ

“ผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว” เงาคนถามเสียงทุ้มต่ำ

“เรียนคุณหนูจิ่วหลี่ ผ่านไปสองเดือนแล้ว” ลู่เซิ่งเดินออกมาจากเงามืด กล่าวอย่างเคารพขึ้นที่ด้านข้าง

เขาสวมเสื้อบัณฑิต ใบหน้ากระจ่างซีดขาว ดูเหมือนความสุภาพเรียบร้อยในตอนแรกจะกลับมาอีกแล้ว

“อ้อ เจ้ากลับมาได้พอดีนัก” ซั่งหยางจิ่วหลี่มองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจ

ประมุขพรรคแดนเหนือตัวเล็กๆ คนนี้กลับมองเรื่องราวได้กระจ่าง กล้าหาญละเอียดอ่อน รู้จักรุกถอย ทั้งยังเอาใจใส่

“คุณหนูจิ่วหลี่สำเร็จออกด่าน ข้าน้อยในฐานะบริวาร จะไม่มาถึงเป็นคนแรกได้อย่างไร” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลวๆ เจ้ารู้งานใช้ได้ สมกับที่ข้าต้านแรงกดดันให้มากขนาดนั้น” ซั่งหยางจิ่วหลี่พยักหน้าอย่างพอใจ “จะว่าไปต้องขอบคุณกระถางติ่งใบเล็กที่เจ้าให้ข้าในครั้งนั้น มันช่วยข้าได้มาก ครั้งนี้การเลื่อนระดับค่อนข้างหวาดเสียวทีเดียว”

“คุณหนูจิ่วหลี่พอใจก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งก้มน้ำเอ่ย “เพียงแต่ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าระดับอสรพิษหลังจากระดับสัตตะลักษณ์มีความแตกต่างจากระดับพันธนาการตรงไหนกันแน่ ขนาดคนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอย่างคุณหนูยังต้องใช้เวลานานกว่าจะเลื่อนระดับได้ ไม่ทราบว่าคุณหนูจิ่วหลี่ไขข้อข้องใจได้หรือไม่”

เขาไม่รู้จริงๆ สำหรับระดับพลังหลังจากเขาแปลงร่าง จะเป็นอสรพิษดำหรือไม่ เขาก็ฆ่าได้เหมือนกันหมด ต่อหน้าพลังระเบิดอันรุนแรง ทุกอย่างเหมือนกระดาษกาว

ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าระดับพันธนาการกับระดับอสรพิษต่างกันตรงไหน

ซั่งหยางจิ่วหลี่เพิ่งเลื่อนระดับ ตอนนี้อารมณ์ดี จึงอธิบาย

“ระดับอสรพิษกับระดับพันธนาการเป็นการบรรยายถึงเยื่อดำ การรวมเยื่อดำเป็นอสรพิษดำมีกระบวนการซับซ้อนมาก แต่บอกไว้ก่อนว่าเจ้าอาจเข้าสู่ขั้นนี้ตอนมีชีวิตอยู่ได้”

ลู่เซิ่งพลันทำท่าตั้งใจฟัง

ซั่งหยางจิ่วหลี่ออกจากถ้ำ ผมยาวสยาย แม้คิ้วขาวยังดุร้าย แต่ดูอ่อนโยนเป็นมิตรขึ้นมาก

นางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งหินข้างโต๊ะหินด้านนอกถ้ำ

“เจ้าสนใจถือว่าสมเหตุสมผล ระดับอสรพิษที่แล้วมาเรียกว่าระดับประมุขจวน เป็นเพราะเมื่อถึงระดับนี้ ก็แทบสร้างสำนักตั้งจวน ปั้นขุมกำลังของตัวเองได้ สามารถยึดครองอาณาเขตสักแห่ง เก้าตระกูลจงหยวนจะไม่เลือกล่วงเกินเจ้าง่ายๆ แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีดึงเป็นพวก”

“อ้อ นี่เพราะเหตุใด” ลู่เซิ่งงงงัน ก่อนถามขึ้น

“เจ้าเหมือนจะสนใจความรู้ด้านนี้จริงนะ…” ซั่งหยางจิ่วหลี่มองเขาอย่างสงสัย “เหตุผลหรือ แน่นอนว่าถ้าฆ่าไม่ตาย คนล่วงเกินก็ตาย อสรพิษดำเป็นตัวตนระดับสูงสุดที่มีศักยภาพก้าวสู่สามขั้นบน ถ้าเข้าสู่สามขั้นบน นั่นจะเทียบได้กับศัตรูร้ายกาจคนหนึ่ง สามขั้นบนของระดับอสรพิษเป็นพลังเด็ดขาดที่สะกดตระกูลขุนนางได้”

ลู่เซิ่งสองตาเป็นประกาย ครั้งนี้เขาได้รับข่าวที่ซั่งหยางจิ่วหลี่กำลังจะออกด่าน จึงมาแสร้งทำตัวเป็นข้ารับใช้ทันที เพราะอยากดูว่าตระกูลซั่งหยางจะมีท่าทีและปฏิกิริยาอย่างไร

ถึงอย่างไรระดับอสรพิษก็ตายไปถึงสองคน แดนเหนืออันตรายกว่าเดิม ซั่งหยางจิ่วหลี่จะยังอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ถือเป็นคำถาม

ดังนั้นเขาจึงคิดฉวยโอกาสมาหยั่งเชิง ผลลัพธ์เหมือนที่เขาคิดไว้ ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่รู้ข่าวทางด้านนี้โดยสิ้นเชิง

“คุณหนูซั่งหยาง สามขั้นบนนี้มีคำอธิบายว่าอะไร” ลู่เซิ่งถาม

“เก้าขั้นคือเก้าเศียร” ซั่งหยางจิ่วหลี่มองลู่เซิ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “บนกลางล่าง ทั้งหมดเก้าขั้น หมายถึงอสรพิษเก้าเศียร ทุกๆ ครั้งที่ยกระดับขึ้นขั้นหนึ่ง จะมีพลังขั้นหนึ่งของอสรพิษเก้าเศียร เมื่อบรรลุถึงขั้นเก้าซึ่งอยู่สูงสุด จะเทียบเท่ากับอสรพิษเก้าเศียรตัวจริงจุติสู่โลกมนุษย์ ระดับนี้เป็นผู้ถือครองอาวุธคนหนึ่งแบ่งไว้มานานแล้ว และใช้จนถึงทุกวันนี้”

นางสะบัดคอดังกร๊อกๆ

“เอาล่ะ เรื่องไร้สาระพอเท่านี้ ช่วงที่ข้าปิดด่าน เจ้าพยายามส่งทรัพยากรทั้งหมดที่ข้าต้องการให้ ข้าจะจดจำความดีนี้ไว้ ตอนนี้ข้าเลื่อนระดับสำเร็จ ที่บ้านสมควรส่งคนมาแจ้งให้ข้ากลับไป เจ้าอยู่แดนเหนือคนเดียวก็ดูแลให้ดีๆ ถ้าเจอปัญหา ให้เผาของสิ่งนี้” ซั่งหยางจิ่วหลี่หยิบกล่องหอมสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากแขนเสื้อ

“ขอบพระคุณคุณหนูจิ่วหลี่”

“ครั้งนี้ข้ากลับไป อาจจะต้องเข้ายอดเขาโลหิตเพื่อฝึกฝน ถ้ามีคนถือเครื่องยืนยันของข้ามา เจ้าต้องฟังคำสั่งเขา” นางหยิบหยกแขวนรูปกิเลนที่หายไปครึ่งหนึ่งออกมาให้ลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งรับมา ก้มหน้าตอบ

“ย่อมทำตาม” เขาทำหน้าพินอบพิเนา

ทว่าซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่เชื่อในท่าทางนี้ของเขา คนผู้นี้กล้าค้นศพผู้ประกอบพิธีระดับฉลักษณ์ ถ้าเชื่อฟังว่าง่ายอย่างเปลือกนอกจริงๆ นางคงไม่วางใจให้เขาสะกดแดนเหนือ

นางอยู่แดนเหนือมานาน จึงยึดถือเป็นอาณาเขตของตัวเอง ที่นี่ไม่มีคนรบกวน ทรัพยากรสมบูรณ์ อยากได้อะไรก็ได้ ทั้งยังอยู่ห่างจากวังวนการต่อสู้ในตระกูล สะดวกสบายมากจริงๆ

……………………………………….