บทที่ 182 สงบ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 182 สงบ (2)
“ช่างเถอะๆ เจ้าไม่ต้องฟังคำสั่งเขาทั้งหมดก็ได้ แต่ถ้ามีคนถือเครื่องยืนยันมา เจ้าต้องสนับสนุนเขาสุดกำลัง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร กำลังคน หรือข้อมูล ไม่มีปัญหากระมัง เจ้าพูดกับข้าตามจริง” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็หุบยิ้มใคร่ครวญ

“คุณหนูจิ่วหลี่ไม่ต้องห่วง ถ้าความต้องการของอีกฝ่ายเกี่ยวกับท่าน ข้าน้อยจะสนับสนุนสุดกำลัง”

ได้ยินเขาตอบแบบนี้ ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็วางใจแล้ว

ความจริงแม้นางจะควบคุมแดนเหนือแต่เพียงในนาม แต่ว่าคนที่ควบคุมอย่างแท้จริงยังคงเป็นลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ในฐานะยอดฝีมือระดับตรีลักษณ์ แม้พลังของลู่เซิ่งจะสู้นางไม่ได้ แต่ถือเป็นแม่ทัพใหญ่ในสังกัด หนำซ้ำอายุยังน้อย การพัฒนาในอนาคตผู้ใดก็บอกไม่ได้

ถ้าหากการทำแบบนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เขา อย่างไรก็ไม่ดี

สามารถควบคุมอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่เช่นแดนเหนือให้มั่นคงได้ แม่ทัพเก่งกาจแบบนี้ไปอยู่ที่ไหน ก็เป็นมือดีที่ตระกูลใดๆ ต่างก็ชิงตัว

ยิ่งไปกว่านั้นลู่เซิ่งอายุยังน้อยก็ก้าวสู่ระดับตรีลักษณ์แล้ว ต่อให้อยู่ในตระกูลซั่งหยาง ระดับนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

นี่เป็นเหตุผลที่ซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับลู่เซิ่ง

ถ้าหากว่ามีคนเก่งๆ แบบนี้โผล่มาสักหลายคน นางก็ฝึกฝนในภูเขาได้อย่างวางใจ

“เอาล่ะ ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง เจ้าเล่าให้ข้าฟังที แล้วน้องชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ซั่งหยางจิ่วหลี่ซักไซ้

ลู่เซิ่งก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องหลังจากซั่งหยางเซ่อต่อสู้ได้ชัย และขึ้นเรือออกทะเล แล้วเล่าเรื่องที่ผุ้คุมจัตุรัสแดงเข่นฆ่าคนครั้งใหญ่ จากนั้นก็หายตัวไปพร้อมเย่หลิงม่อ

ตอนแรกซั่งหยางจิ่วหลี่ยังใจเย็น แต่พอได้ยินว่าคนระดับประมุขจวนสองคนหายไป สีหน้านางก็เคร่งเครียด

“แดนเหนือนี่วุ่นวายจริงๆ เจ้าพยายามรักษาสภาพเดิม ลอบตรวจสอบว่าเป็นขุมกำลังใดก่อกวนกันแน่ ถ้าตรวจเจอ อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด เจ้ารับมือขุมกำลังที่สู้กับระดับประมุขจวนไม่ได้แน่” ซั่งหยางจิ่วหลี่กำชับ

ลู่เซิ่งในตอนนี้เป็นแม่ทัพในสังกัดของนาง ถ้าเกิดมีอันเป็นไปเพราะสาเหตุนี้ ก็ขาดทุนจริงๆ แล้ว

นางนับคนในสังกัด คนที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับลู่เซิ่งได้มีอยู่มากมาย แต่คนที่มีความสามารถในการจัดการเท่าเขา กลับไม่มีเลย

“ข้าน้อยทราบแล้ว” ลู่เซิ่งรู้แล้วว่าสถานะภายนอกของตนในปัจจุบันคือคนของซั่งหยางจิ่วหลี่ แต่เช่นนี้ก็ดี

คนอย่างซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่สนใจสิ่งใด โหยหาระดับที่สูงกว่าเดิม ลำบากฝึกฝนมาโดยตลอด ขอแค่มอบทรัพยากรที่มากพอให้นาง ก็ใช้บารมีของนางได้ตามใจ มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการซ่อนพลังและสถานะของเขา

ทั้งสองคนหนึ่งถามหนึ่งตอบ คุยกันสักพัก ไม่นานเงาแดงสายหนึ่งก็ทิ้งตัวลงจากฟ้า เป็นนกสีเลือดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ขานกมัดม้วนกระดาษ บินลงบนโต๊ะหินอย่างแผ่วเบา ซั่งหยางจิ่วหลี่จับนกน้อยเพื่อเอาม้วนกระดาษออกมาอ่าน

“เอาล่ะ ข้าจะต้องกลับบ้านแล้ว ถ้าเจ้าเจอเรื่องที่จัดการไม่ได้ ก็เผาเครื่องยืนยัน ข้าจะส่งคนมาช่วยเหลือ” นางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง

“หวังว่าเจอกันครั้งหน้า เจ้าจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นหนึ่ง” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวประโยคสุดท้ายจบ ก็สะกิดเท้า คนดั่งโผบิน พุ่งไปยังอากาศ แขนเสื้อโบกพลิ้ว กางต้านลม แล้วร่อนออกไปเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ บินออกไปหลายร้อยหมี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโดดอีกครั้ง ยืมแรงบินต่อไป

ลู่เซิ่งมองตามจนนางจากไป ก็เก็บกล่องหอมในมือ ยืดตัวขึ้น

‘มีนางคุ้มกันอยู่ด้านหน้า มีผลลัทธ์ใช้ได้’ เขาแสยะยิ้ม ร่างกายวูบไหว พุ่งปราดไปยังที่ไกล พริบตาเดียวก็หายไปในป่ารกชัฏ

เขาไม่หยุดเลยตลอดทางจนถึงพรรค ทางเฉินอวิ๋นซี รอยตราบนร่างนางหายไปเพราะการตายของผู้คุมจัตุรัสแดง

ขุมกำลังในแดนเหนือของจัตุรัสแดงล่มสลาย โดดกวาดล้างอย่างเงียบเชียบ

เขาเริ่มติดต่อกับขุมกำลังที่หลงเหลือของพันธมิตรบู๊อย่างเป็นทางการ กระจายข่ายกระเรียนหยินอย่างเงียบงัน เมื่อใช้ความสามารถซ่อนลมปราณของมัน ยอดฝีมือธรรมดาเหล่านี้ก็ยากสัมผัสได้

ไม่ทันไรพวกเขาก็ค้นพบอย่างประหลาดใจระคนยินดีว่า พลังยุทธ์ของตัวเองเริ่มพัฒนาแบบก้าวกระโดด ความเร็วในการยกระดับพลังฝึกปรือสูงกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัว ปราณภายในไม่มีคอขวด พุ่งทะยานสู่ด้านบน

แน่นอนว่าเป็นเพราะคุณสมบัติร่างกายมีขีดจำกัด ปราณภายในที่เขาบรรจุได้มีจำกัด อย่างมากสุดไม่เกินร้อยปี แต่แบบนี้ก็สุดยอดแล้ว

ลู่เซิ่งคิดจะรออีกหลายปีค่อยเก็บเกี่ยว ถ้าจำนวนคนเพิ่มขึ้น ปริมาณปราณภายในที่เก็บเกี่ยวคงน่าดูชมทีเดียว

เวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าๆ

เรื่องผู้คุมจัตุรัสแดง การหายตัวไปของเย่หลิงม่อ บวกกับการหายตัวไปอย่างต่อเนื่องของยอดฝีมือจากจวนอู๋โยว ทำให้ขุมกำลังในแดนเหนือหวาดหวั่น ไม่กล้าก่อการใหญ่โตอีก

ขุมกำลังทั้งหลายหดเขี้ยวเล็บกลับไปเงียบๆ เจียมเนื้อเจียมตัว แดนเหนือต้อนรับความสงบสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ว่าความสงบสุขนี้สำหรับลู่เซิ่งกลับเป็นความสงบสุขชั่วคราว

“ฮ่าๆๆ! ลู่เซิ่ง นึกไม่ถึงว่าข้าจะไม่ตายกระมัง ข้าหงฟางไป๋ปีนขึ้นมาจากนรก เพื่อแก้แค้นเจ้าอีกครั้ง! ไปตายซะ! วิญญาณลวงห้าฟาดฟัน!”

ผัวะ!

ลู่เซิ่งตบเด็กหญิงที่พุ่งมาตรงหน้าตนจนล้มลงกับพื้น มองเด็กคนนี้อย่างปวดหัวเล็กน้อย

“ฮึอๆๆ…อิงอิง อิงอิงเจ็บ…” เด็กผู้หญิงสวมกระโปรงสีแดงตัวใหญ่ ถือร่มสีแดงกุมศีรษะ คลานขึ้นมานั่งลงกับพื้น แล้วเริ่มร้องไห้

วันหนึ่ง เขาออกไปด้านนอก หลังกลับมาก็พบว่าปมร่วมใจที่ผู้คุมจัตุรัสแดงกับอิงอิงทิ้งเอาไว้หายไป สิ่งที่มาแทนที่คือก้อนเนื้อสีแดงขนาดเท่าแตงโม

ตอนที่เขาเตรียมจะใช้ดาบผ่าก้อนเนื้อประหลาดเหมือนบิดานาจา[1] มันก็พลันแยกออก เด็กผู้หญิงตัวเล็กถือร่ม สวมกระโปรงแดง อายุไม่เกินสิบปีคนหนึ่งพุ่งออกมา

ดูจากเครื่องหน้าก็คืออิงอิงสตรีกางร่มในวัยเด็ก

นางถือร่มแดงคันใหญ่ที่คลุมตัวเองได้ทั้งตัว กระโปรงที่สวมใส่ก็เป็นแบบผู้ใหญ่ ลากชายกระโปรงยาวๆ ไว้ด้านหลังสองเท้า

ตอนเพิ่งออกมาก็ร่ำร้องจะแก้แค้นลู่เซิ่ง ผลคือพุ่งไปได้ครึ่งเดียวก็สะดุดชายกระโปรงล้มลงกับพื้น สลบไสลไป

ลู่เซิ่งลังเล ยังคงไม่กำจัดนาง ปลูกข่ายกระเรียนหยินในร่างนาง จากนั้นยึดถือเป็นของนำโชค เลี้ยงดูไว้ในพรรค

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภูตผีปีศาจหลังถูกสังหารแล้วคืนชีพได้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึก คุ้มค่าให้ศึกษา

แต่ก็นึกไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วัน นางก็อาละวาดในพรรคจนไก่บินสุนัขกระโดด

เด็กหญิงสตรีกางร่มไม่มีพลังทำลายล้าง ทำได้แค่ยกร่มสีแดงขึ้นมาเคาะหัวคน แต่ไม่แรงมาก เพียงแค่หัวโน เจ็บนั้นเจ็บ แต่ไม่มีอันตราย

ทุกคนนึกว่านางเป็นหลานสาวของลู่เซิ่ง จึงไม่กล้าตอบโต้ ได้แต่วิ่งหนี

นึกไม่ถึงนี่กลับกระตุ้นความทะนงตนของสตรีกางร่ม พอคนอื่นทำท่าอดกลั้นและหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นางก็รู้สึกว่าตัวเองโดนสบประมาท

พลังนางตกต่ำถึงขั้นนี้ ทุกอย่างเป็นฝีมือของลู่เซิ่ง จึงทุ่มเทความแค้นทั้งหมดใส่ลู่เซิ่ง

เด็กน้อยลอบโจมตีแบบเมื่อครู่ตลอดเวลาจนเป็นกิจวัตรประจำวัน

แม้ไม่มีพลังทำลายล้าง แต่ก็สร้างความรำคาญแก่ลู่เซิ่ง

“อิงอิง ครั้งหน้าอย่าไปยุ่งกับพี่สาวเจ้า กลับไปกินข้าวดีๆ เมื่อวานอาบน้ำหรือยัง” ลู่เซิ่งอุ้มสตรีกางร่มตัวน้อยขึ้น ให้อีกฝ่ายนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย

“อาบแล้ว…” อิงอิงแอบมองลู่เซิ่งอย่างเชื่อฟังและหวาดหวั่น

“กินข้าวเถอะ” ลู่เซิ่งยกถังข้าวด้านข้างขึ้น แกะย่างครึ่งตัววางด้านบน กินเนื้อพร้อมกับข้าวคำโต

บนโต๊ะข้าวมีแค่เขากับสตรีกางร่มตัวน้อย

บนโต๊ะใหญ่เหมือนถาดกลมวางเครื่องดื่มและอาหารรสชาติดีไว้หลายอย่าง อิงอิงใช้ถ้วยใบเล็ก เป็นถ้วยไม้สำหรับเด็ก กำลังถือตะเกียบคีบกับข้าวกินทีละคำ

“เจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าอิงอิง หรือเรียกว่าผู้คุมจัตุรัสแดง” ลู่เซิ่งทางหนึ่งกินข้าว ทางหนึ่งถาม

“ข้า…คืออิงอิง…ท่านพี่…ชื่อ…ว่า…หงฟางไป๋…” อิงอิงตอบตะกุกตะกัก

นางรู้สึกตัวเองพูดช้าไป จึงอดเงยหน้าขึ้นแอบมองลู่เซิ่งไม่ได้ ทำท่ากลัวเขาโกรธ

“ดูเหมือนเจ้าไม่แค้นข้าเลยใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว

“ไม่แค้น…ท่านพี่ เหนื่อยเกินไป…แบบนี้…ก็ดี…ใช้ร่างกาย…ของอิงอิง นางสามารถ…พักผ่อนได้…” อิงอิงกระซิบตอบ

ลู่เซิ่งค่อยกระจ่างแจ้ง หลังซักไซ้อย่างละเอียด อิงอิงค่อยพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างติดขัด

ที่แท้แม้อิงอิงจะเป็นผีชาง กระนั้นร่างจริงของนางเป็นความประหลาดลี้ลับ ความประหลาดลี้ลับถูกเปลี่ยนเป็นผีชาง เดิมนางไม่มีสติปัญญา เป็นผู้คุมจัตุรัสแดงคุยเป็นเพื่อนนางทุกวันเพราะรู้สึกเบื่อหน่าย ยึดถือนางเป็นน้องสาวจริงๆ จึงทำให้นางมีสติปัญญาอันมั่นคง

มาถึงช่วงสุดท้าย ความคิดอันแรงกล้าที่ไม่ยอมให้พี่สาวซึ่งเป็นผู้คุมจัตุรัสตรอกแดงตายไป ในที่สุดก็ทำให้ระหว่างนางกับผู้คุมจัตุรัสแดงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ย้อนกลับไม่ได้

นางใช้ตัวเองดูดผู้คุมจัตุรัสแดงไว้ ทั้งสองจึงคืนชีพด้วยกัน

‘ความประหลาดลี้ลับเป็นอมตะ’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงคำอธิบายนี้ เดิมเขานึกว่าความประหลาดลี้ลับไม่ตาย แต่พลังไม่มากพอจะทำลายเยื่อดำเท่านั้น

ทว่าตอนนี้เยื่อดำถูกทำลาย สตรีกางร่มยังคืนชีพได้ แม้นางจะสูญเสียพลังทั้งหมดไป แต่…

เขาพลันนึกถึงความประหลาดลี้ลับแต่ละอย่างที่ปรากฏบนผืนแผ่นดินใหญ่ของแดนเหนือในอดีต

ทุกๆ ครั้งที่ตระกูลขุนนางกำจัดความประหลาดลี้ลับที่โผล่มา เวลาที่พวกมันจะโผล่มาอีกครั้งห่างกันสั้นยิ่ง เพียงแค่สองสามปี

ดังนั้นจึงต้องให้พรรคใหญ่ๆ อย่างพวกเขารวบรวมข้อมูล สะกดความประหลาดลี้ลับที่โผล่มาใหม่อย่างต่อเนื่อง

“ตระกูลขุนนางฆ่าความมประหลาดลี้ลับได้จริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งพลันถาม

อิงอิงส่ายหน้า บอกว่าตนไม่รู้

ลู่เซิ่งมองแก้มน้อยๆ อันงดงามของสตรีกางร่ม เขาสงสัยอยู่บ้าง ต่อให้เป็นตระกูลขุนนาง ก็เกรงว่าจะได้แต่ทำให้ความประหลาดลี้ลับหายไปนานหน่อย ไม่อาจขุดรากถอนโคนพวกมันได้

“เจ้ากับผู้คุมจัตุรัสแดงใครโผล่มาตอนไหน ตกลงกันดีแล้วหรือ” ลู่เซิ่งถาม

เพราะมีร่างเดียว จึงเกิดปัญหามากมาย หนำซ้ำยังเป็นเด็กผู้หญิง

นิสัยของอิงอิงอ่อนโยนนุ่มนวล นิสัยของผู้คุมจัตุรัสแดงก้าวร้าว เป็นคนละขั้วกัน

“ขอแค่ท่านพี่ต้องการ อิงอิงตอนไหน…ก็ได้…” อิงอิงกล่าวคล่องแคล่วอย่างหาได้ยาก มองออกว่านางพูดอย่างจริงจัง

ความประหลาดลี้ลับเป็นอะไรกันแน่ ลู่เซิ่งสงสัยมาโดยตลอด แต่อิงอิงกับผู้คุมจัตุรัสแดงในฐานะภูตผีปีศาจยังอยู่ อาจจะหาคำตอบจากตัวพวกนางได้

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่ได้ฆ่าพวกนางเป็นครั้งที่สอง

อีกทั้งเขายังคิดทำความเข้าใจถึงแหล่งที่มาและสัดส่วนของปราณหยินด้วย

……………………………………….

[1] นาจาเกิดจากลูกแก้ว ซึ่งหลี่เจิ้งผู้เป็นบิดาใช้ดาบผ่าออกมา