ตอนที่ 407 ปอดแหก / ตอนที่ 408 ค่ายบูรพาที่เจ็ด

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 407 ปอดแหก

สงครามบนสนามรบทางตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ปะทุอย่างเต็มที่ ตอนนี้มีเพียงกองทหารเล็กๆ บุกไปเท่านั้น ทางฝ่ายศัตรูคล้ายกำลังคอยท่ากองทัพใหญ่มาสมทบ

หูเฟิงจงใจนำเศษดินขึ้นมาป้ายหน้า เพื่อปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงเอาไว้ คนที่รู้จักกันจะได้จำไม่ได้

ทุกเรื่องในโลกหล้าล้วนยากจะคาดเดา แม้จะบอกว่ามีโอกาสน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาส ระแวดระวังไว้บ้างย่อมเป็นการดี

ทหารใหม่สิบนายที่ยกขบวนมาจากหมู่บ้านหวงถัว ถูกสังกัดไปที่กองเสบียง ส่วนทหารเดิมที่อยู่ในกองนี้ถูกส่งไปเข้าร่วมกองทหารฝ่ายจู่โจม เตรียมพร้อมเข้าสู่สนามรบทุกเมื่อ

จูซื่อ คนจากหมู่บ้านหวงถัวที่คุ้นเคยกับหูเฟิงระหว่างทางมานี้กล่าวว่า “เหตุใดไม่ให้พวกเราไปที่สนามรบเล่า มาตามหาพวกเราไกลถึงเพียงนี้ เพื่อให้พวกเรามาทำอาหารอย่างนั้นหรือ นี่ไม่เท่ากับไม่ใช้คนให้เหมาะกับงานหรือไร” เขาคิดเพียงอยากร่วมรบเข่นฆ่าศัตรู เพราะหลงใหลเรื่องราวของวีรบุรุษกลางสมรภูมิที่คนเล่านิทานเคยเล่าไว้

หูเฟิงหยิบผักกาดขาวในถังออกมา วางไว้บนเขียงแล้วหั่นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวเสียงเรียบว่า “ในกองทัพมีกฎเกณฑ์มากมาย พวกเราเพิ่งมาที่นี่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ย่อมต้องให้พวกเราเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ที่นี่ก่อน เมื่อเจ้าเข้าใจกฎในค่ายนี้แล้ว เห็นคนออกไปร้อยคน กลับมาเพียงสามสิบจนเคยชินเมื่อไร เจ้าก็จะมีสิทธิ์เข้าสู่สมรภูมิ เพียงแค่ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์นี้เท่านั้นเอง”

จูซื่อตะลึง “อะไรนะ ออกไปร้อยคน กลับมาเพียงสามสิบ? แล้วอีกเจ็ดสิบคนไปที่ใดล่ะ”

หูเฟิงสับมีดหั่นผักบนเขียง พลางหันไปมองจูซื่อที่มีสีหน้างงงวย “ย่อมตายระหว่างรบ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาจะไปที่ใดกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น จูซื่อก็พลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง จริงด้วย ย่อมตายระหว่างรบ ไม่เช่นนั้นแล้วจะไปที่ใดได้

บริเวณหน้าอกของเขาเกิดความรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาโดยพลัน เพราะระหว่างทางคิดเพียงจะเป็นวีรบุรุษกลางสมรภูมิ กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากมาถึงสมรภูมิแล้ว จะยังมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่

เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ จะยิ้มขึ้นมา “ถ้าข้าไปถึงสมรภูมิ ข้าจะต้องเป็นหนึ่งในสามสิบคนที่กลับมาได้แน่นอน”

หูเฟิงหั่นผักกาดขาวต่อไป เขาพูดโดยไม่หันไปมองว่า “จะอย่างไรที่นั่นก็เป็นสนามรบ รูปแบบบนสนามรบเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น ถึงแม้แม่ทัพจะร่วมรบด้วย ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าตนเองจะรอดชีวิตกลับมาเช่นกัน ไม่มีเรื่องใดในโลกที่แน่นอน ในเมื่อคิดจะมาร่วมรบแล้ว ก็ต้องเตรียมพร้อมตายในสนามรบทุกเมื่อ ไม่ใช่หวังว่าตนเองจะโชคดี รอดชีวิตกลับมาได้อย่างแน่นอน”

จูซื่อไม่ใช่คนขี้ขลาดกลัวตาย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่มาร่วมกองทัพเช่นนี้

เขาเข้าร่วมกองทัพเพราะมีสองเป้าหมาย หนึ่งคือเงิน เพื่อให้บุตรชายที่เพิ่งอายุครบปีเต็มและภรรยาไม่ต้องหนาวหรืออดตายในฤดูหนาวปีนี้

สองก็คือต้องการเห็นท่วงท่าอันสง่างามของวีรบุรุษในสนามรบ หวังว่าตนเองจะสามารถมีชื่อเสียงอันดีงามเช่นนั้นบ้าง และมีวันที่สวมเสื้อผ้าทำจากผ้าไหม

เขาเตรียมสวมเสื้อผ้าไหมแล้วเรียบร้อย แต่กลับไม่ได้เตรียมสละชีวิตเพื่อแว่นแคว้น เขาไม่อยากตาย ไม่อยากให้ภรรยาและลูกของตนเองไปร่วมชีวิตกับบุรุษคนอื่น

จูซื่อไม่ได้กล่าวอะไรอีก หูเฟิงจึงหันไปมองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยิ้มจางๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเกินไปหรอก ขอเพียงเจ้าเรียนรู้กฎของค่ายทหารไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่ให้เจ้าไปที่สนามรบ ขอเพียงไม่ไปที่สนามรบ เจ้าก็จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้”

หูเฟิงพูดถูก ขอเพียงเขาไม่เรียนรู้กฎในค่ายทหาร เมื่อไม่รู้กฎแล้วจะร่วมรบเข่นฆ่าศัตรูได้อย่างไร ผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นไม่มีทางส่งเขาไปตายในสนามรบแน่ เขาก็จะได้ทำงานอยู่ในกองเสบียงเช่นนี้ไปตลอด ปอดแหกสักหน่อยก็ไม่ต้องส่งตัวเองไปตายแล้ว!

เขาเข้าไปใกล้หูเฟิง ถามพลางยิ้มกริ่มว่า “แล้วเจ้าเล่า เจ้าคิดอย่างไร”

หูเฟิงยักไหล่ “ไม่ได้คิดอย่างไร ก็แค่อยู่ไปวันๆ ให้ข้าทำอะไรข้าก็ทำ ทำกับข้าวก็ดี ร่วมรบฆ่าศัตรูก็ได้ ได้ทั้งนั้นแหละ”

……….

ตอนที่ 408 ค่ายบูรพาที่เจ็ด

จูซื่อตอบรับ “วรยุทธ์ของเจ้าเป็นเลิศ ไปร่วมรบฆ่าศัตรูแล้วยังต้องกลัวอะไรอีก เจ้าอาจจะสร้างความดีความชอบก็ได้!” เขามองหูเฟิงด้วยความอิจฉา หากเขามีวรยุทธ์เช่นเดียวกับหูเฟิง เขาก็ไม่กลัวที่จะต้องไปรบ ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชื่อเสียง ได้เสื้อผ้าไหมที่แท้จริงกลับบ้านเกิดก็เป็นได้

หูเฟิงยิ้ม ไม่ได้คุยเล่นต่อ เพียงทำงานในมืออย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป

“ทำข้าวเย็นเสร็จแล้วใช่หรือไม่”

เสียงอันคุ้นหูดังมาจากข้างหลังของหูเฟิง เขาพลันหยุดมือที่กำลังหั่นผัก ก่อนจะปิดบังใบหน้าด้วยเขม่า

สามปีมาแล้ว เขาได้ยินเสียงนี้อีกครั้ง ถึงแม้จะผ่านไปอีกสามปี เขาก็ไม่มีทางลืมเสียงนี้แน่นอน

หูเฟิงไม่ได้หมุนกายกลับไป มีแต่จูซื่อที่รีบเข้าไปต้อนรับบุรุษสวมเกราะที่งดงาม “ใต้เท้า ตอนนี้ยังไม่เสร็จขอรับ ยังต้องรออีกสักครู่”

คนผู้นั้นขมวดคิ้ว ถลึงตามองจูซื่อด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “ไยทำงานชักช้าเช่นนี้ ตกลงแล้วพวกเจ้าทำอาหารเป็นหรือไม่ หากทำไม่เป็นข้าจะเปลี่ยนคนอื่นมาทำแทน”

เมื่อได้ยินว่าจะเปลี่ยนคน จูซื่อก็พลันร้อนใจ หากเปลี่ยนคน เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องไปสนามรบแล้วไม่ใช่หรือ

“อย่าเลยขอรับ ใต้เท้าท่านอย่าเพิ่งโมโห พวกข้าเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก ท่านให้โอกาสพวกข้าสักครั้งนะขอรับ พวกข้ารับรองว่าจะทำออกมาได้ดีแน่”

คนผู้นั้นเห็นว่าท่าทางสำนึกผิดของจูซื่อออกมาจากใจจริง จึงผ่อนน้ำเสียงลง “ไม่มีโอกาสหน้าแล้วนะ เร็วเข้า”

“ขอรับๆ” จูซื่อพยักหน้ารับเป็นพัลวัน

“หลังจากทำอาหารเสร็จแล้ว ส่งคนหนึ่งไปส่งอาหารที่ค่ายบูรพาที่เจ็ดด้วย” คนผู้นั้นกล่าวอีก

จูซื่อจึงรีบถามว่า “ส่งให้ทหารที่ค่ายบูรพาที่เจ็ดหรือขอรับ”

คนผู้นั้นโบกมือ “อย่าถามมากความ ไปส่งแล้วก็บอกว่านายพลหูสั่งให้มา เดี๋ยวจะมีคนนำทางเจ้าเอง”

จูซื่อก็รับคำทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น หลังจากส่งนายพลหูผู้นั้นออกไปแล้ว เขาก็รีบปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากทิ้ง แล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา

จูซื่อบ่นอุบ “เป็นใครกันถึงต้องส่งข้าวให้ด้วย ไม่ใช่ว่าคนจากแต่ละค่ายต้องมารับอาหารด้วยตนเองหรอกหรือ”

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่งก็แบกฟื้นเข้ามา เขาได้ยินเสียงบ่นของจูซื่อ จึงรีบถามว่า “ค่ายบูรพาที่เจ็ดหรือ”

“ใช่แล้ว ค่ายบูรพาที่เจ็ด เจ้ารู้จักหรือ” จูซื่อพยักหน้ากล่าว

เด็กหนุ่มอาสา “ข้าไปส่งเอง ข้ารู้จักทาง”

จูซื่อพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กคนนี้ดูท่าทางอย่างมากก็อายุเพียงสิบสองสิบสามปี ทั้งเตี้ยทั้งผอม ในค่ายทหารมีเด็กที่ตัวเล็กเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย!

“เจ้าไปไหวใช่หรือไม่” จูซื่อถาม

เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า “ข้าไหว ข้าทำได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปส่งมาแล้ว และข้าอยู่ที่นี่มาปีกว่าแล้ว เดิมทีอยากไปร่วมรบด้วย แต่นายพลกู้เห็นว่าข้าอายุยังน้อย จึงให้ข้าทำงานอยู่ที่นี่ต่อไป พี่ชาย ข้าทำได้จริงๆ”

หูเฟิงหันไปมองเด็กหนุ่มคนนั้น เขาอายุพอๆ กับไป๋จื่อ ผิวเหลือง ใบหน้าซูบตอบ เหมือนกับท่อนไม้ไผ่เตี้ยๆ ที่ต้องลมแล้วจะโค่นล้มอย่างไรอย่างนั้น

ในดวงตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขามองอ้อนวอนจูซื่อ ด้วยหวังว่าจะได้รับภาระงานในครั้งนี้

หูเฟิงรู้จักค่ายบูรพาที่เจ็ด ที่นั่นเป็นกระโจมสำหรับคุมขังนักโทษ ทว่าตอนนี้สงครามยังไม่ได้ปะทุอย่างเต็มที่ ย่อมไม่มีทางมีเชลยศึก แล้วจะส่งข้าวไปให้ใครกัน หูหมิงจงสั่งการด้วยตนเองอีกต่างหาก ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

และเหตุใดเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ถึงอยากไปส่งข้าวที่ค่ายบูรพาที่เจ็ดมากถึงเพียงนั้น

หูเฟิงกล่าวกับจูซื่อว่า “พวกเราต้องเร่งทำอาหาร เขาคุ้นเคยเส้นทาง เช่นนั้นก็ให้เขาไปเถอะ”

เมื่อหูเฟิงเอ่ยปากเช่นนี้ จูซื่อจึงไม่มีความเห็นอื่น แม้จะบอกว่าจูซื่อเป็นผู้จัดการงานในกองเสบียงอาหารชั่วคราว แต่เขาก็รับฟังความเห็นของหูเฟิงทีเดียว เพราะสำหรับเขาแล้ว หูเฟิงต่างหากที่เป็นพี่ใหญ่

เด็กหนุ่มรีบกล่าวขอบคุณจูซื่อและหูเฟิง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ปรากฏแววตื่นเต้นและดีใจอยู่หลายส่วนทีเดียว