ตอนที่ 409 เสี่ยวเฟิง / ตอนที่ 410 ส่งอาหาร

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 409 เสี่ยวเฟิง

หูเฟิงโยนผักกาดขาดที่หั่นเสร็จแล้วลงไปในหม้อ เขาเติมน้ำมันหมูและเกลือด้วย เมื่อสุกแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ขณะนี้ข้าวก็ออกจากหม้อแล้วเช่นกัน จูซื่อหยิบกล่องอาหารออกมา ใส่ข้าวถ้วยหนึ่งและผักกาดขาวถ้วยหนึ่งใส่กล่อง

จูซื่อส่งกล่องอาหารให้เด็กหนุ่ม “เจ้าชื่ออะไร”

เด็กหนุ่มรีบรับกล่องอาหารที่จูซื่อยื่นมาให้ ยิ้มตอบว่า “ข้าชื่อเสี่ยวเฟิง”

จูซื่อเห็นเขารูปร่างผอมแห้ง ก็พลันรู้สึกอดไม่ไหว “เจ้าหิวหรือไม่ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เจ้ากินก่อนแล้วค่อยไปส่งข้าวก็ได้”

เสี่ยวเฟิงมองข้าวสวยร้อนๆ ที่มีควันพวยพุ่งออกมาจากในหม้อขนาดใหญ่ ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างแรง “มะ ไม่เป็นไร ข้าส่งข้าวแล้วค่อยกลับมากินดีกว่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น จูซื่อก็ไม่คะยั้นคะยอต่อ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “แล้วแต่เจ้า เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ รีบไปรีบมานะ”

เด็กหนุ่มนามว่าเสี่ยวเฟิงพยักหน้ารับคำ แล้วหมุนกายถือกล่องอาหารจากไป

จูซื่อเห็นหูเฟิงเหม่อมองเงาหลังของเสี่ยวเฟิงที่เพิ่งออกไป จึงถอนใจกล่าวว่า “เด็กคนนี้น่าสงสารเสียจริง ถูกส่งมาที่ค่ายทหารตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้ เขาผอมแห้งเพราะอยู่ที่บ้านไม่เคยได้กินข้าวจนอิ่มท้องเป็นแน่ ความจริงแล้วเขาทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ถึงได้มาร่วมกองทัพกระมัง”

หูเฟิงมุ่นคิ้ว จากนั้นก็หันไปมองผักกาดขาวที่เพิ่งต้มจนสุกในหม้อ เขาคล้ายพูดกับจูซื่อ แต่ก็คล้ายพูดกับตัวเองเช่นกัน “บนโลกใบนี้ หากได้อยู่ดีกินดีอยู่ที่บ้าน ใครเล่าจะอยากมาร่วมกองทัพ ฟันศีรษะลอยเคว้ง เลือดร้อนๆ สาดกระเซ็น พูดให้น่าฟังหน่อยนับเป็นการปกป้องแว่นแคว้น แต่หากจะให้พูดจริงๆ แล้ว ความจริงเป็นการส่งตนเองไปตายหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้”

“คนที่มาเข้าร่วมกองทัพส่วนใหญ่มาเพื่อหาข้าวกินให้อิ่มท้อง แทนที่จะหิวตายอยู่ที่บ้านเกิด สู้มาเสี่ยงกันสักตั้งที่นี่ดีกว่า อาจจะรอดชีวิตกลับไปก็ได้ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังเล็กๆ”

จูซื่อก็มีสีหน้าเห็นด้วย “จริงด้วย ใครว่าไม่ใช่เช่นนั้นกัน ข้าก็มาเข้าร่วมกองทัพเพราะลูกชาย หากไม่ได้เงินสิบตำลึงเงิน ครอบครัวของข้าจะรอดผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้หรือไม่ก็พูดยาก”

เรียวคิ้วของหูเฟิงยิ่งขมวดเข้าหากัน มือที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวกำเป็นหมัด ตรงหน้าอกคล้ายกับมีอะไรบางอย่างอุดตันอยู่ แม้แต่หายใจตอนนี้ก็ยังรู้สึกลำบากนัก

ในอดีต ตอนที่เขายังเป็นฉู่เยี่ยน เขาเป็นถึงจิ้นอ๋องผู้สูงส่ง เขาไม่เคยรู้เลยว่าความลำบากของผู้คนคืออะไร และเขาไม่เคยคิดเลยว่าบนโลกใบนี้มีคนที่ไม่มีแม้กระทั่งข้าวกินมากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่เคยคาดคิดว่าในทุกๆ วันมีคนตายไปเพราะความทุกข์ยากเช่นนี้อีกตั้งมากมาย

เขาเคยคิดว่าเหล่าทหารในกองทัพล้วนมาร่วมรบเพราะอยากปกป้องบ้านเมือง เพื่อขับไล่ศัตรูตามความมุ่งมาดของตนเอง เขาร่วมกินร่วมอยู่กับพวกทหารในกองทหารม้าเกราะเหล็ก ก็นับได้ว่ามีความพันธ์ที่แน่นแฟ้น เขาคิดว่าตนเข้าใจทหารที่กล้าหาญเหล่านั้นมากแท้ๆ

จนกระทั่งวันนี้เขาถึงได้เข้าใจ ฉู่เยี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา อย่างไรก็เป็นจิ้นอ๋องอยู่วันยันค่ำ เป็นจอมพลสามเหล่าทัพไปตลอดกาล ส่วนพวกเขายืนอยู่เบื้องหน้าตน ล้วนไม่เคยได้อยู่ในระดับเดียวกัน แล้วพวกเขาจะกล้าบอกคำพูดที่อยู่ในใจกับเขาได้อย่างไรกัน

เรื่องพวกนี้ มีแต่ได้ประสบพบเจอด้วยตนเองถึงจะเข้าใจ ว่าอะไรคือความหิวโหย อะไรคือความยากจนและสิ้นหวัง!

สามปีก่อน เขาตกจากยอดเมฆอันเป็นที่อยู่ขององค์ชายผู้สูงส่ง สู่ท่ามกลางดินเลนในเมืองมนุษย์ ดิ้นรนอยู่ในบ่อโคลนร่วมกับผู้คนที่อยู่ในระดับรากฐานที่สุดบนโลกใบนี้ แม้เขาในตอนนี้จะฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้แล้ว แต่กลับไม่อาจกลับเป็นฉู่เยี่ยนในอดีตได้อีกต่อไป

“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” จูซื่อกระทุ้งแขนของหูเฟิง “อย่าเอาแต่เหม่อสิ มีคนมารับข้าวแล้วนะ”

กองทหารเริ่มยุ่งวุ่นวายขึ้นมาแล้ว อาหารที่กำลังร้อนระอุถูกขนไปด้วยรถเข็นล้อเดียวคันแล้วคันเล่า และหลังจากทหารทั้งหมดแปดกองที่พวกเขาจัดการหุงอาหารให้ได้รับอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถึงจะกินอาหารที่เหลืออยู่ได้

……….

ตอนที่ 410 ส่งอาหาร

เพิ่งจะเว้นว่างได้ไม่เท่าไร เสี่ยวเฟิงที่ไปส่งอาหารก็กลับมา ในมือของเขาถือกล่องอาหารอยู่ด้วย ตาแดงน่าดู พวงแก้มข้างซ้ายก็บวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด

หูเฟิงวางงานในมือลง สาวเท้าเข้าไปหา “เจ้าเป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

เสี่ยวเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหูเฟิง กรอบตาที่แดงระเรื่อพลันมีน้ำตาซึมออกมา เขาพยายามอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ ทว่าก็กลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว

ชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะยื่นมือไปจับข้อมือของเสี่ยวเฟิงไว้ พาเด็กหนุ่มไปที่มุมลับตาคน ถามเสียงเบาว่า “แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครตีเจ้า”

เสี่ยวเฟิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า กล่าวเสียงสะอื้น “ผู้คุมของค่ายบูรพาที่เจ็ดแย่งไป พวกเขาไม่ให้ข้าเข้าไป”

หูเฟิงรับกล่องข้าวในมือเขามา เมื่อเปิดดูแล้วก็พบว่าข้างในนั้นว่างเปล่า แม้แต่ถ้วยและตะเกียบก็ไม่ได้นำกลับมาด้วย

“ในค่ายบูรพาที่เจ็ดขังใครไว้กันแน่” หูเฟิงถามเขา

เด็กหนุ่มตะลึงไปเล็กน้อย เขาช้อนสายตามองคนตรงหน้า ในดวงตามีความหวาดหวั่นฉายชัด อย่างไรเสียเขาก็ยังอายุน้อย ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอง

“ก็แค่ ก็แค่นักโทษธรรมดาเท่านั้น” เสียงของเสี่ยวเฟิงทุ้มต่ำอย่างชัดเจน ทันทีที่เขารู้สึกได้ถึงสายตาซักถามของหูเฟิง เขาก็หลุบตาลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าสบตากับชายหนุ่มอีก

หูเฟิงเห็นเขาไม่ยอมพูด จึงไม่ถามต่ออีกเช่นกัน เพียงพูดว่า “ไปนำอาหารมาอีกชุดหนึ่ง แล้วไปส่งพร้อมกันกับข้า”

ใบหน้าของเสี่ยวเฟิงปรากฏความปีติขึ้นมาทันควัน “จริงหรือ ท่านไปกับข้าได้จริงๆ หรือ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “แน่นอนว่าได้ เมื่อเช้าข้ากินข้าวไปเยอะทีเดียว ตอนนี้จึงยังไม่หิว นำอาหารส่วนของข้าไปนั่นแหละ จะได้ไม่มีใครกล้าว่าอะไร”

เสี่ยวเฟิงรีบโบกมือ “ไม่ได้ๆ จะนำอาหารของท่านไปได้อย่างไร หากจะนำไปส่งใหม่ก็ควรใช้ส่วนของข้า เพราะข้าทำเสียเรื่องเอง ควรจะส่งอาหารของข้าไปสิถึงจะถูก”

หูเฟิงทำหน้าเคร่ง กล่าวคล้ายกับออกคำสั่งว่า “ข้าบอกให้ใช้ส่วนของข้าก็ทำตามนั้น ตอนนี้เจ้าไปกินข้าวเสีย หากไม่กินละก็ ข้าจะไม่ตามเจ้าไปด้วย”

ขอบตาของเสี่ยวเฟิงชุ่มน้ำตาอีกครั้ง แม้เขาจะยังอายุน้อยอยู่ แต่กลับฉลาดเฉลียวทีเดียว พี่ชายตรงหน้าผู้นี้ถึงจะทำสีหน้าดุดันใส่เขา ทว่าก็หวังดีต่อเขายิ่งนัก ดีกว่าคนที่ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม แต่ความเป็นจริงใจดำอำมหิตไม่รู้ตั้งกี่เท่า

เสี่ยวเฟิงกินข้าวส่วนของตนเองหมดอย่างรวดเร็ว ภายใต้การจับจ้องของหูเฟิง

จูซื่อเห็นหูเฟิงนำอาหารของตนเองใส่ลงกล่องอาหาร จึงรีบถามว่า “เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ จะไปไหน”

หูเฟิงกล่าวเรียบๆ “จะออกไปข้างนอกสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” ครั้นกล่าวจบก็จูงเสี่ยวเฟิงออกจากกองเสบียงไป

ค่ายบูรพาที่เจ็ดอยู่ห่างจากกองเสบียงไม่ไกล หลังจากเดินทางผ่านหลายค่ายก็มาถึงปลายทางแล้ว

ไม่รู้ว่าผู้คุมสองคนที่อยู่ตรงประตูค่ายกำลังคุยอะไรกันอยู่ หัวร่อต่อกระซิกอีกต่างหาก

คนหนึ่งในนั้นเห็นเสี่ยวเฟิงมาอีกครั้ง ข้างกายยังมีชายหนุ่มรูปร่างองอาจมาด้วย จึงชี้นิ้วไปที่เสี่ยวเฟิงในทันที “เจ้าหนุ่ม มาส่งข้าวให้พี่ชายอีกแล้วหรือ”

เสี่ยวเฟิงรู้สึกกลัวเกรงอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ ก่อนจะขยับไปพิงหูเฟิงโดยที่ไม่รู้ตัว

หูเฟิงถือกล่องอาหารอยู่ ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองผู้คุมสองคนนั้นอย่างเย็นชา กล่าวเสียงขรึมว่า “แม่ทัพหูให้พวกข้ามาส่งอาหารให้นักโทษที่ค่ายนี้ เขาบอกให้พวกข้าจับตามองนักโทษกินข้าว แต่ในเมื่อพวกเจ้าสองคนหิวแล้ว ก็ย่อมให้พวกเจ้ากินก่อน”

ระหว่างที่พูด เขาส่งกล่องอาหารในมือให้ผู้คุมคนนั้นด้วย

ผู้คุมก็ไม่ใช่คนโง่อะไร อีกฝ่ายเอ่ยถึงแม่ทัพหูแล้ว หากพวกเขายังปล้นอาหารต่อไป แม่ทัพหูต้องสั่งลงโทษเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะยังพบจุดจบที่ดีได้หรือ

ผู้คุมจึงไม่รับกล่องอาหาร เพียงกล่าวอย่างไม่เป็นมิตรว่า “ในเมื่อมาส่งอาหารให้นักโทษ พวกข้ากินคงจะไม่เหมาะสม พวกเจ้าเข้าไปเถอะ อย่าให้เขารอนานเกินไป!”