บทที่ 764 จะหนียังทำตัวโอ้อวดขนาดนี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 764 จะหนียังทำตัวโอ้อวดขนาดนี้ โดย Ink Stone_Fantasy

พอชายถือท่อนเหล็กตะโกนอย่างนี้ กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างต่างพากันเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน…จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนอยู่นะเนี่ย!

กลับเป็นหลิงม่อที่ชะงักกลางอากาศไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง สีหน้าฉายแววบึ้งตึงขึ้นมาปราดหนึ่ง

ร้ายดีอย่างไรนี่ก็เป็นผลจากการที่เขาเปลี่ยนหนวดสัมผัสเป็นรูปสสารเชียวนะ ทำไมเจ้าพวกไม่รู้จักของดีพวกนั้นถึงได้มองพลังของเขาเป็นเหมือนพลังเด็กๆ อย่างนั้นได้…

“ฉันไม่ได้ใส่กางเกงเอี๊ยมซักหน่อย ไม่ได้อ้วนด้วย แล้วก็ไม่ได้กินเห็ดเป็นอาหารด้วย…”

พูดถึงวิธีการใช้พลังอย่างนี้ เมื่อก่อนหลิงม่อเคยใช้มาหลายครั้งแล้ว แต่หนึ่ง วิธีการนี้ต้องเผาผลาญพลังจิตมากเกินไป สอง ต้องมีเงื่อนไขเรื่องสภาพพื้นที่ที่เหมาะสม ดังนั้นที่ผ่านมาหลิงม่อจึงเก็บวิธีไว้เป็นวิธีสำรองมากกว่า

และวิธีนี้ หากใช้เพียงครั้งสองครั้งอาจทำให้คนลนลานรับมือไม่ถูก แต่หากใช้หลายครั้งเข้า อาจถูกมองออกได้ว่ามันคือพลังอะไร

หากเป็นที่อื่น หลิงม่อย่อมไม่กังวลเกินเหตุ แต่ที่นี่คือนิพพานสำนักงานใหญ่เชียวนะ!

เหล่าผู้มีความสามารถพิเศษที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างล่างนั่น ไม่ใช่ตัวประกอบทั่วไปแน่นอน

ตัวทดลองมากมายขนาดนั้นถูกปล่อยตัวเข้ามา และต่อสู้กับคนหลายสิบคนในพื้นที่ที่ไม่กว้างมากอย่างชุลมุนวุ่นวายซักพักหนึ่งแล้ว แถมยังเป็นในสภาพแวดล้อมที่มืดมนเพราะเป็นเวลากลางคืนด้วย แต่กลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุนี้กันซักคน แค่จุดนี้ ก็บอกอะไรได้มากมายแล้ว

หลิงม่อเองก็ไม่ได้ประมาทจนถึงขั้นคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยลำพัง แค่จำนวนคนก็เล่นงานเขาให้จบเห่ได้แล้ว!

ถ้าหากเข้ามาโจมตีทีละคน ก็ยังพอมีความเป็นไปได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับรวมตัวกันอยู่…

เวลานี้ บรรดาผู้มีความสามารถพิเศษพวกนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนี่ก็คือจังหวะที่หลิงม่อคิดจะคว้าเอาไว้

ที่เขาโชว์พลังนี้ออกมา ก็เพื่อทำให้ทุกคนตกตะลึง และสร้างโอกาสขึ้นมา!

“แกลงมาซะดีๆ เถอะ!” ชายถือท่อนเหล็กปีนตามหลังมา พลางตวาดลั่นอย่างโมโห

ปรากฏว่าแค่เผลอไปวูบเดียว เขาก็รู้สึกเหมือนมีวัตถุสีดำก้อนหนึ่งร่วงลงมาจากข้างบน และกระแทกใส่หน้าเขาเต็มๆ “พึ่บ”

ยิ่งกว่านั้น วัตถุสีดำส่วนหนึ่งก็ร่วงเข้าไปในปากที่กำลังอ้ากว้างอยู่ของเขาพอดี จนทำเอาเขาเกือบร่วงลงไปจากตาข่ายเหล็ก

“ชะ…เชี่ยยย! นี่มันโคลนจากใต้รองเท้าของมัน!”

ขณะที่ชายถือท่อนเหล็กกำลังถุยน้ำลายอย่างบ้าคลั่ง ชายแว่นดำก็กำลังจดจ้องหลิงม่อที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาชั่วร้าย

เพื่อนร่วมทีมที่เหลือของเขาวิ่งเข้าไปในฝูงชน และอีกหนึ่งคนในนั้นยืนอยู่ข้างกายเขา

หลังจากที่หลิงม่อกระโดดขึ้นกลางอากาศจนทำทุกคนตะลึงตาค้าง ตอนนี้ เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ บวกกับอุบายแปลกประหลาดของหลิงม่อ แล้วยังมีฝูงซอมบี้ที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ข้างล่างนั่นอีก ทั้งหมดนี้ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่ต่างมึนงงและยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

แม้แต่หัวหน้าทีมวิจัยที่ยืนอยู่ข้างประตูรถก็อึ้งไปด้วย ถึงเขาจะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับแผนการล่องูออกจากถ้ำนั่นด้วย แต่ขณะที่เกิดเหตุพลิกผันเขาก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที เดิมทีนึกว่าลำดับต่อไปจะได้เห็นฉากดีๆ อย่างการที่หลิงม่อถูกจับตัวได้แล้ว ระหว่างนั้นก็คงจะต้องมีการถูกฝูงชนไล่ล่าบ้างอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรบทสรุปก็จะต้องนองเลือดอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับเลือกที่จะกระโดดขึ้นกำแพงอย่างนั้น!

แถมการกระโดดกำแพงของเขา ก็โอหังและเย่อหยิ่งมาก!

โดยเฉพาะที่เขาตะโกนว่า “กล้าก็ตามมา” ในขณะที่บรรยากาศในลานกว้างเงียบกริบกะทันหัน แทบจะทุกคนที่ได้ยินคำท้าของเขาอย่างชัดเจน

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตบหน้าเท่านั้น แต่มันไม่ต่างจากการเหวี่ยงหมัดเข้ามาที่แก้มของสมาชิกระดับสูงอย่างพวกเขาเลยซักนิด!

เวลานี้ ชายแว่นดำทำหน้าขมึงทึงราวกับถูกชกจมูกเลือดกำเดาไหลอย่างไรอย่างนั้น พอเห็นหลิงม่อกระโดดขึ้นไปข้างบนได้สำเร็จ เขาก็แค่นเสียงเย็นชา แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้น

“แกคิดว่าจะหนีออกไปได้จริงๆ หรอ?”

เขาเผยรอยยิ้มเย็นชา แล้วหันไปพูดกับชายคนที่ยืนอยู่ข้างกายเสียงเบา

ชายคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “ฟังให้ดี! คนคนนั้นเป็นผู้มีพลังจิต! ทุกคนไม่ต้องสนใจว่าเขาจะใช้พลังพิเศษอะไร ใครที่มีพลังโจมตีทางจิต สอยตัวเขาลงมาจากบนนั้นให้ได้!”

พอเขาตะโกนออกไป ฝูงชนต่างแตกตื่นและลุกฮือขึ้นมา

“เชี่ยย ไม่ใช่แล้วมั้ง? ผู้มีพลังจิต?”

“ฉันนึกว่าผู้มีพลังทางศักยภาพร่างกายซะอีก!”

“ผู้มีพลังจิตทำอย่างนี้ได้ด้วยหรอ?”

ท่ามกลางเสียงถกเถียง ผู้มีพลังจิตหลายคนเดินออกมา แล้วจดจ้องไปทางหลิงม่อพร้อมทำท่าจะกระโจนขึ้น

“มีคลื่นพลังจิตจริงๆ!”

“โจมตีร่างของเขาตรงๆ เลยสิ!”

ชายแว่นดำยกแขนข้างหนึ่งขึ้น พลางกระตุกยิ้มมุมปากจ้องหลิงม่อ

ชายคนนี้มีไหวพริบมากจริงๆ ถึงแม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลิงม่อทำอย่างนั้นได้ยังไง แต่เขากลับสามารถคิดหาวิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเรื่องที่พลังพิเศษของหลิงม่อน่าทึ่งมากแค่ไหน กลับไม่ได้อยู่ในขอบเขตความสนใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

ที่สีหน้าเขาบึ้งตึง ก็เป็นเพราะหลิงม่อแย่งอำนาจในการควบคุมทิศทางของเรื่องไปโดยใช้วิธีนี้

หลิงม่อที่อยู่กลางอากาศเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาสั่ง เขายังคงกระโดดขึ้นไปอีกสองขั้น และกระโดดข้ามตาข่ายเหล็กแนวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ทันทีที่ถูกโจมตีจนตกลงไป ถึงจะตกด้านนอกตาข่ายเหล็ก แต่ก็ต้องตายอยู่ดี

ชายถือท่อนเหล็กยังคงปีนตามมาอย่างไม่ลดละ เขาจ้องหาโอกาสพุ่งขึ้นมา เพื่อแก้แค้นที่ต้องกินโคลนจากรองเท้าของหลิงม่อ…

“ทำไงดี?” หลันหลันถามอย่างตื่นตระหนก

มู่เฉินกระชับด้ามมีดด้วยสีหน้าตึงเครียด แววตาสั่นคลอนไม่มั่นคง

เมื่อกี้เขายังฮึกเหิมคิดจะกระโดดออกไปหาความตาย แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลิงม่อจะหนีออกจากวงล้อมด้วยวิธีการที่เป็นเป้าสายตาขนาดนี้

เวลานี้ ถึงแม้จะมีอันตรายเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าหลิงม่อจะยังมีแผนสำรองอื่นอีกหรือไม่!

มุ่เฉินมองหลิงม่อที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในใจลอบคิดว่าตัวเองไม่ควรเคลื่อนไหวโดยพลการจะดีกว่า

เพื่อช่วยสองพ่อลูกคู่นี้ออกไป หลิงม่อถือว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย

แล้วอีกอย่าง เจ้าหมอนั่นก็ไม่เคยพลาดเลยนี่นา…

“จะทำไงได้ล่ะ? ทำได้แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้นแหละ” มู่เฉินครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง

หลันหลันมองหน้าเขาอย่างตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดูแคลน “ไม่กล้าออกไปก็บอกมาตรงๆ เถอะ แล้วเมื่อกี้ทำเป็นมาเต๊ะท่าเหมือนยิ่งใหญ่นักหนา…”

“ใครเต๊ะท่าไม่ทราบ!” มู่เฉินเดือด

พอเห็นหลันหลันกลอกตาขาวแล้วหันหน้ากลับไป มู่เฉินก็ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

เขาไม่กล้างั้นหรอ? เป็นเพราะถูกหลิงม่อรังแกจนระแวงไปหมดแล้วต่างหากเล่า!

ทว่าหลันหลันไม่มีทางฟังเขาอธิบายแน่นอน ดังนั้นมู่เฉินจึงหันกลับไปสนใจหลิงม่อต่อ

หลิงม่อที่กระโดดขึ้นไปข้างบนพลันชะงักหยุด เขาหันมามองเล็กน้อย ทว่าเขาไม่ได้มองไปที่เหล่าผู้มีความสามารถพิเศษพวกนั้น แต่กลับมองตรงไปยังชายแว่นดำ

เมื่อกี้ระหว่างที่กระโดดขึ้นมาข้างบน หลิงม่อกำลัง “หวนนึกถึง” พลังงานทางจิตของคนคนนั้นไปด้วย

เดาว่าเขาก็คงเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตเหมือนกัน แต่เขากลับมีวิธีการสะกดรอยตามที่ค่อนข้างพิเศษ เพียงแต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้หลิงม่อสนใจเขาเป็นพิเศษ คือพลังงานทางจิตของเขา ที่ทำให้หลิงม่อรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย…

ความรู้สึกอย่างนี้จะอธิบายมาก แต่ก็แปลกมากเช่นกัน พลังงานทางจิตของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน เพราะมันมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ชัดเจนมาก

ผู้มีพลังจิตธรรมดาอาจไม่สามารถแยกแยะได้ แต่หลิงม่อผู้ซึ่งมีพลังกลืนกินกลับมีสัมผัสที่ว่องไวต่อเรื่องอย่างนี้

อย่างเช่นอาหารชนิดเดียวกัน คนทั่วไปอาจใช้ดวงตามอง แต่หลิงม่อกลับใช้ปากชิม ดังนั้นสัมผัสที่ได้ยอมมีความต่างระดับอยู่แล้ว

แต่คนตรงหน้านี้ หลิงม่อมั่นใจว่าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกแน่นอน…

คนที่ใส่แว่นดำตอนกลางคืนอย่างนี้ เห็นแล้วคงไม่มีทางลืมได้หรอก!

“ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนะ…”

หลิงม่อขมวดคิ้วพลางตรวจสอบข้อมูลในสมองอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ แต่กลับได้ยินเสียงชายแว่นดำหัวเราะหึหึสองที ไม่นาน ชายคนที่ยืนข้างกายเขาก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าแกยอมจำนนตอนนี้ยังทัน ถ้าไม่อย่างนั้นหากบีบบังคับให้พวกเราต้องลงมือ แกจะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน!”

คำพูดของเขาไม่ได้เป็นเพียงคำขู่เท่านั้น เพราะตอนนี้ปืนกลหลายลำกำลังเล็งมาที่หลิงม่อ แล้วด้านล่างยังมีผู้มีความสามารถพิเศษอีกหลายคนกำลังเตรียมพร้อมลงมืออีก

ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถสอยหลิงม่อให้ร่วงลงมาได้จริงๆ แต่ขอเพียงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาชะงักลงเล็กน้อย แค่นี้วินาทีถัดไปหลิงม่อต้องโดนกระสุนยิงจนเละเป็นโจ๊กอย่างแน่นอน

สาเหตุที่ยังต้องพูดมากอยู่อย่างนี้ ก็เป็นเพราะพวกเขาตั้งใจจะจับหลิงม่อแบบเป็นๆ

หลิงม่อกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคน ไม่นานเขาก็เหลือบเห็นเหล่าเพื่อนร่วมทีมของชายแว่นดำ

คนพวกนั้นหลังจากที่เข้ามาปะปนกับกลุ่มคน ก็รีบกระจายตัวไปคนละทางทันที และพวกเขาก็ไม่ได้จับจ้องมาที่หลิงม่อ แต่กลับเป็นเหล่าสมาชิกของนิพพานแทน

หลิงม่อเค้นสมองคิดอย่างด่วนจี๋ ไม่นานเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของคนพวกนั้น พอเข้าใจแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้

ดูเหมือนพวกเขาจะมั่นใจแล้วเรื่องในคืนนี้ไม่ได้เป็นฝีมือของหลิงม่อเพียงคนเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังรอให้พรรคพวกของหลิงม่อเผยตัวออกมา

ไม่แน่ว่าในสายตาของพวกเขา การที่หลิงม่อแสดงพลังอย่างโอ้อวดอย่างนี้ ก็เพื่อสร้างโอกาสให้พรรคพวกของเขาหนีไป

“น่าเสียดายที่ถึงฉันจะมีพรรคพวกจริง แต่มันกลับไม่เหมือนที่พวกแกคิด…” หลิงม่อคิดในใจ

ชายแซ่หลีคนนั้นยกมือกุมศีรษะค่อยๆ ฟื้นได้สติขึ้นมา แล้วเขาก็หันไปพูดกับชายแว่นดำว่า “หมอนั่นชื่อหลิงเกอ ยังมีคนที่ชื่อมู่เฉินที่ยังหาไม่เจอ”

“หลิงเหอหรือ…” ชายแว่นดำทวนชื่อเขาซ้ำด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “แกคิดจะตายในหน้าที่? หรือสู้สุดชีวิต เพื่อให้พรรคพวกที่ทิ้งแกไปหนีเอาชีวิตรอด? แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม แกหนีไม่รอดหรอก!”

นี่เป็นครั้งที่สามที่ชายแว่นดำพูดเสียงดัง หลิงม่อได้ยินสำเนียงการพูดของเขา ก็มักจะรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

คนทั่วไปเวลาพูด ไม่มีใครจงใจกดเสียงให้ต่ำอย่างนั้นหรอก…

และความรู้สึกคุ้นเคยนั่นก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลิงม่อหนี่ตาเล็กลง ในใจเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมารางๆ

“ตาข้างไหนของแกที่เห็นว่าฉันกำลังหนีกันล่ะ? ฉันดูเหมือนคนอย่างนั้นหรอ?” หลิงม่อส่ายหัว พลางทำหน้าเหมือนหมดคำจะพูด

ถ้าเขาตั้งใจจะหนีจริง คงไม่ช้าขนาดนี้หรอก!

ชายแว่นดำชะงักไปเล็กน้อย แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “ลงมือ!”

เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษด้านล่างนั้นเคลื่อนไหวพร้อมกัน ขณะเดียวกัน หลิงม่อก็กระโดดออกไปข้างนอกรั้ว

“ไหนแกบอกว่าจะไม่หนี?!”

เดิมที ชายถือท่อนเหล็กชะงักหยุดไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเบื้องหลังคำพูดสวยหรูของหลิงม่อ กลับมีจุดประสงค์อย่างนี้

ลูกเล่นเด็กๆ แบบนี้ กลับถูกเขาหยิบขึ้นมาใช้ในช่วงเวลาเป็นตายที่ทุกคนต่างชักดาบดึงธนูใส่เขา แถมทุกคนก็เชื่อเขาซะด้วย!

ใครจะคิดล่ะว่าเขาถูกบีบให้จนตรอกถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าใช้ไม้นี้อีก!

ชายแว่นดำสีหน้าโกรธขึ้งสุดขีด เขาคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะหนีไปเพียงลำพังจริงๆ ยิ่งไม่คาดคิดว่าเหล่าพรรคพวกของเขาจะมองดูเขาหนีไปและทิ้งพวกเขาไว้ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้…ผิดคาดจริงๆ!

“เชี่ย เจ้าบ้าหลิงม่อนั่น!” มู่เฉินลนลานขึ้นมาทันที แต่หลังจากสบถด่าเสร็จ เขาก็ยังคงนั่งอยู่เดิมไม่ได้ไปไหน

“คราวนี้นายจะช่วยเหลือตัวเองหรือยัง?” เหล่าหลันดันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วถามขึ้น

มู่เฉินหน้าตาบูดบึ้งหันไปมองเขา จากนั้นก็หันไปมองหลันหลัน สุดท้ายเขาก็กัดปากแน่น แล้วพูดว่า “รออีกหน่อย”

“ที่แท้นายก็เชื่อใจเขามากเลยนี่…” หลันหลันกระพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้น

“เหลวไหลน่า” มู่เฉินตอบอย่างสะกดกลั้นอารมณ์สุดขีด

—————————————————————————–