หนึ่งร้อยแปดสิบสอง
จบบริบูรณ์ (2)
ถึงแม้ว่าตันหงอี้จะพยายามข่มกลั้นจิตใจให้มากที่สุด ไม่เคยไปหาเสวี่ยเจียเยว่และไม่เคยพูดถึงหญิงสาวต่อหน้าใคร แต่ความจริงแล้วเขายังอยากอยู่กับเสวี่ยเจียเยว่ให้นานขึ้น ต่อให้ทั้งสองเดินไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
แต่ความหวังของชายหนุ่มก็พังทลายเมื่อเดินมาถึงประตูกลางอย่างรวดเร็ว และสาวใช้นำร่มมาให้ เขาจึงไม่อาจเดินไปได้อีก ขืนเดินต่อเกรงว่าคนอื่นจะสงสัย
เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ความเจ็บปวดทั้งหมด เขายอมแบกรับไว้คนเดียว
ตันหงอี้หยุดเดิน หยิบร่มจากมือของสาวใช้มาส่งให้เสวี่ยเจียเยว่ และกล่าวกับหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ก็เดินช้าๆ หน่อย อย่าเดินเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่มองทาง หากล้มแล้วคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าที่เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ทั้งที่เมื่อครู่เอ่ยเร่งให้เธอรีบกลับเรือน แต่ตอนนี้กลับมาเอ่ยอย่างห่วงใยเธอเสียอย่างนั้น
เธอไม่กล้ามองไปที่ตันหงอี้ เพียงใช้ฉ่ายผิงรับร่มมา จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณชายหนุ่มแล้วหมุนตัวเดินจากไป
บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าตันหงอี้ปล่อยวางเรื่องในอดีตได้แล้ว และทำตัวสุภาพกับเธอ แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าเขาไม่เคยปล่อยวางเรื่องที่ผ่านมา เหมือนสายตาที่เขามองมาเมื่อครู่ ชายหนุ่มไม่อาจปกปิดความอ่อนโยนได้แม้แต่น้อย
ตันหงอี้มองเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไป จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับไปตามระเบียงทางเดิน
ตอนที่เขากลับมา ชายหนุ่มรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะมาเยี่ยมเจียงฉงอวี้ เดิมทีเขาไม่อยากเข้าไป ถึงอย่างไรเขาก็มีภรรยาแล้ว ส่วนเสวี่ยเจียเยว่แต่งงานกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ระหว่างเขากับหญิงสาวต้องหลบเลี่ยงกันอย่างไม่ต้องสงสัย ตันหงอี้ไม่อยากให้เกิดความคลางแคลงใจใดๆ ทว่าเมื่อครู่เขากลับได้ยินคำพูดของเจียงฉงอวี้…
ตอนนี้เด็กในท้องของเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่คลอดออกมา แต่เจียงฉงอวี้กลับบอกว่าการคลอดนั้นอันตรายเพียงใด เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นต้องหวาดกลัวมากเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงเลิกม่านขึ้นและเดินเข้าไปทันที ก่อนจะเร่งให้เสวี่ยเจียเยว่กลับเรือน
ตันหงอี้ไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่กลัว ต่อให้หญิงสาวคิดว่าเขาเสียมารยาทก็ไม่เป็นไร
สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูเห็นเขาเดินมาจึงเลิกม่านขึ้น จากนั้นตันหงอี้ก็ก้มหน้าเดินเข้าไปด้านใน
เจียงฉงอวี้กำลังสนทนากับแม่นม ถามถึงลูกชายว่าวันนี้เขาดื่มนมไปกี่ครั้งและหลับไปกี่ครั้งแล้ว แม่นมก็ตอบอย่างนอบน้อม
เมื่อเห็นตันหงอี้เดินเข้ามา เจียงฉงอวี้ไม่ได้พูดคุยกับแม่นมต่อ แต่หันไปพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
ตันหงอี้ส่งเสียงตอบรับ ไม่ได้กล่าวคำใดต่อ จากนั้นก็เดินเข้าไปดูลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง
เจียงฉงอวี้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เมื่อครู่ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ทักทายเขา ตันหงอี้เอ่ยตอบอีกฝ่ายทันที แต่ตอนนี้เขาเพียงส่งเสียงเบาๆ เท่านั้น
นางปลอบใจตัวเองว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นแขก ตันหงอี้จึงมีมารยาทกับอีกฝ่าย แต่ตนเป็นภรรยาของเขา ไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรขนาดนั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ ความทุกข์ใจที่มีก็หายไป
พอเห็นว่าสามีนั่งลงบนเก้าอี้ที่เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่เมื่อครู่ ห่างจากเตียงไม่ไกลนัก นางจึงเรียกแม่นมมาอุ้มลูกชายไปให้เขาดู พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เขาเกิดมาสามวันแล้ว นอกจากกินแล้วก็นอน เขาไม่ค่อยตื่นเท่าไรนัก ตอนที่ข้าพูดคุยกับฮูหยินเสวี่ย เขายังลืมตามองนางอุ้มเขาอยู่พักหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ท่านกลับมาเขาจะหลับไปเสียแล้ว”
ตันหงอี้เอื้อมมือไปอุ้มลูกชายมาไว้ในอ้อมแขน มองผมบางบนศีรษะของเขา ก่อนจะมองคิ้วบางๆ
ยามนี้เขาอุ้มเด็กตัวเล็กที่นุ่มนิ่มเช่นนี้ไว้ในอ้อมแขน นี่คือลูกชายของเขา คนที่นั่งพูดคุยอยู่ตรงนี้คือภรรยาที่เขาแต่งงานด้วย นางเพิ่งเสี่ยงชีวิตคลอดลูกชายคนนี้มาให้เขา…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ตันหงอี้รู้สึกผิดต่อเจียงฉงอวี้ยิ่งนัก
เขาคิดว่าตนมีภรรยากับลูกแล้ว ต่อให้ยังอาลัยอาวรณ์เรื่องในอดีตมากแค่ไหนก็ต้องปล่อยวาง เขาควรจะดีต่อภรรยาและลูกชายของตนให้มาก
ชายหนุ่มส่งเสียงตอบรับแล้วเงยหน้ามองเจียงฉงอวี้
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงทับทิมลายดอกไม้ คาดม่อเอ๋อ[1] ฝังทับทิมสีแดงที่หน้าผาก
สตรีที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรต้องคาดม่อเอ๋อไว้เช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงลมหนาวที่พัดมา ไม่อย่างนั้นเมื่ออายุมากอาจปวดศีรษะได้
ตันหงอี้เอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่าย แล้วบีบเบาๆ พลางเอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายมักจะเคารพและเกรงใจกัน เขาไม่เคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด จู่ๆ เจียงฉงอวี้พลันรู้สึกแสบที่จมูก ไม่ทันไรน้ำตาก็ไหลพราก แต่มุมปากกลับยกยิ้ม แล้วกล่าวกับเขา
“ข้าไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ”
ตราบใดที่เขาอ่อนโยนกับนางเช่นนี้ ต่อให้ลำบากมากกว่านี้นางก็ยินดี
เสวี่ยเจียเยว่กับฉ่ายผิงเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ของเรือนตระกูลตัน ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเดินมาทางนี้
เขาเพิ่งกลับมา เมื่อไม่เห็นเสวี่ยเจียเยว่อยู่ในเรือน ก็รู้ว่าภรรยาไม่ได้ไปไหนไกล ต้องไปพบเจียงฉงอวี้แน่นอน จึงรีบออกมารับหญิงสาว
ในใจชายหนุ่มกังวลว่าเจียงฉงอวี้จะเล่าเรื่องที่นางคลอดบุตรวันนั้นให้เสวี่ยเจียเยว่ฟัง กลัวว่าอีกฝ่ายจะกลัว พอออกจากประตูลานเรือนก็เห็นฉ่ายผิงกำลังประคองเสวี่ยเจียเยว่เดินออกมาจากประตูลานเรือนตระกูลตัน
ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงรีบเดินไปหาภรรยาทันที ฉ่ายผิงเห็นดังนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างรู้ความ ปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งประคองเสวี่ยเจียเยว่ไว้
เขาประคองแขนภรรยาไว้อย่างมั่นคงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเดินช้าๆ หน่อย คอยมองใต้ฝ่าเท้าของเจ้าด้วย”
เสวี่ยเจียเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพวกท่านสองคนถึงคิดว่าข้าเป็นแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนที่สูง ราวกับว่าใช้แรงเพียงนิดเดียวก็จะหล่นลงมาแตกเสียอย่างนั้น”
ระหว่างทางที่เดินมา เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเหตุผลที่ตันหงอี้รีบเร่งให้เธอกลับมา จริงๆ แล้วเป็นเพราะเขาห่วงเธอ ชายหนุ่มไม่อยากให้เธอได้ยินเจียงฉงอวี้พูดเรื่องเหล่านั้น และกังวลว่าเธอจะกลัว ซึ่งเธอเองก็รู้สึกขอบคุณตันหงอี้ อยู่ไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมมาก เขาเอ่ยถามทันที “ยังมีใครที่ทำเช่นนี้กับเจ้าอีก”
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัว เธอรีบเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “จะมีใครอีกเล่า ก็ฉ่ายผิงอย่างไรล่ะ เรือนของเรากับตระกูลตันอยู่ตรงข้ามกัน จะเดินกี่ก้าวกันเชียว นางต้องประคองข้า ไม่ให้ข้าเดินเองแม้แต่ก้าวเดียว วันปกติที่อยู่ในเรือนก็เช่นกัน วันนี้ข้าเห็นดอกท้อในกระถางกำลังบาน จึงอยากย้ายเข้าไปในห้องหนังสือของท่าน แต่นางก็ไม่ให้ข้ายก กลับยกเอง แค่กระถางเดียวมันจะหนักขนาดไหนกัน นางไม่ให้ข้าขยับเลยสักนิด”
เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองฉ่ายผิง สาวใช้ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย นางรีบก้มหน้าลงทันที
หลายปีมานี้นางรับใช้เสวี่ยเจียเยว่ และเรื่องของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น นางย่อมส่งผ่านนกพิราบไปแจ้งโจวฮองเฮา แม้ฉ่ายผิงจะทำเรื่องนี้อย่างลับๆ แต่ในใจนางรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งรู้เรื่องที่นางทำอยู่
เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้เป็นคนล้ำลึกเกินไป นางไม่อาจมองเขาจนทะลุปรุโปร่ง กระนั้นเขาก็ดีกับเสวี่ยเจียเยว่จริงๆ นางไม่เคยเห็นบุรุษใดดีกับภรรยาของตนถึงขนาดนี้ และคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่คือจุดอ่อนเดียวของเขา
ในเวลานี้เสวี่ยหยวนจิ้งถอนสายตาที่มองฉ่ายผิงกลับมา แล้วพูดกับเสวี่ยเจียเยว่ “ฉ่ายผิงทำถูกแล้ว คอยระมัดระวังไม่ใช่เรื่องผิด ต่อไปเจ้าอย่าได้ยกของอะไรอีก”
น้ำเสียงของเขาแฝงการตำหนิอยู่เล็กน้อย เสวี่ยเจียเยว่จึงได้แต่ตอบตกลง
เมื่อกลับมาถึงเรือน ฉ่ายผิงจึงไปยกถังน้ำอุ่นมาให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ได้ล้างหน้าบ้วนปาก
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก้มตัวได้ไม่สะดวกนัก ดังนั้นเรื่องล้างเท้าจึงเป็นหน้าที่ของเสวี่ยหยวนจิ้ง
ภายใต้แสงเทียนอันอบอุ่น ผิวของหญิงสาวขาวราวกับหยก สัมผัสในมือเขาก็ดียิ่งนัก นุ่มลื่นราวกับผ้าไหม
แต่ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งเช็ดเท้าให้ภรรยา คิ้วเรียวของเขาพลันขมวดแน่น
เขามักจะรู้สึกว่าเท้าของเสวี่ยเจียเยว่บวมขึ้นเล็กน้อย…
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้พูดอะไร เพียงเช็ดเท้าให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะอุ้มไปวางบนเตียง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกให้ และค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายนอนลง แล้วนำผ้าห่มมาคลุมให้
เสวี่ยเจียเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านทำแบบนี้กับข้า เหมือนข้าเป็นเด็กอย่างนั้นแหละ”
เสวี่ยหยวนจิ้งโน้มตัวลงจูบหน้าผากของหญิงสาว “คิดว่าเจ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่น่าเอ็นดู เจ้าไม่ชอบหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ย่อมชอบอย่างแน่นอน จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่เดือนลูกของพวกเราก็จะคลอดออกมาแล้ว ท่านจะเอ็นดูเด็กทั้งสองคนเลยหรือ”
“ข้าก็ยังเอ็นดูเจ้ามากที่สุด” เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวพลางเลิกผ้าห่มขึ้นพร้อมกับสอดตัวเข้าไปนอนข้างๆ กุมมือเสวี่ยเจียเยว่ไว้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นอนกันเถอะ”
วันนี้เสวี่ยเจียเยว่เองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน หลังจากปิดตาลงจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับนอนไม่หลับ ชายหนุ่มกำลังคิดว่าขากับเท้าของเสวี่ยเจียเยว่นั้นบวมหรือไม่
วันที่เจียงฉงอวี้ให้กำเนิดลูกชาย เขาได้ยินเสียงของนาง สาวใช้ยกถังน้ำที่กลายเป็นสีเลือดออกมาถังแล้วถังเล่า และสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ก็กระซิบว่าการคลอดลูกเหมือนกับการเดินไปสู่ประตูวิญญาณ…
เสวี่ยหยวนจิ้งหลับตาลง บังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เยว่เอ๋อร์ของเขาจะไม่เป็นอะไร หญิงสาวจะต้องไม่เป็นอะไร
ลมหนาวพัดแรงทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกทันทีว่าในห้องสว่างแล้ว หลังจากสวมเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จ เสวี่ยหยวนจิ้งผลักหน้าต่างออก ก็เห็นด้านนอกปกคลุมไปด้วยสีเงินระยิบระยับ หิมะยังคงโปรยปรายลงมา
พอเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังหลับอยู่ เขาไม่ได้ปลุกภรรยา แต่เปิดประตูเดินออกไปข้างนอก
ฉ่ายผิงเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งตื่นแล้วจึงรีบยกถังน้ำอุ่นมาให้เขาล้างหน้าบ้วนปาก เมื่อเขาล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย นางก็ยกอาหารไปวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งกินข้าวเช้าเสร็จก็ต้องรีบไปรายงานตัวที่กรมอาญา ก่อนจะออกจากเรือน เขาเอ่ยเตือนฉ่ายผิงอย่างกังวล
“อย่าเพิ่งปลุกฮูหยิน ให้นางนอนต่ออีกหน่อยและตื่นเอง ข้าวทุกมื้ออย่าให้นางกินมาก ถ้าหิวจริงๆ ให้นางกินขนมหรือผลไม้สักชิ้นสองชิ้น อีกอย่าง… นางชอบเล่น หากเห็นหิมะวันนี้นางต้องออกมาเล่นแน่ เจ้าต้องบอกว่าข้าสั่งห้ามนางออกมาเล่นข้างนอก เพราะพื้นมันลื่น รออยู่ในเรือนอย่างว่าง่าย ถ้าล้มขึ้นมาจะไม่ใช่เรื่องดี”
ฉ่ายผิงเอ่ยรับคำสั่ง และคิดในใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นภรรยาเป็นเด็กไปแล้วจริงๆ ไม่วางใจเรื่องอะไรทั้งนั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งกำชับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมแล้วถือร่มเดินออกไป
ชายหนุ่มทำงานยุ่งมาทั้งวัน จนถึงยามบ่ายแก่ๆ เขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วไม่สบายใจ จึงไปหาหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องสตรีตั้งครรภ์ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง เพื่อสอบถามเรื่องขากับเท้าบวมของหญิงตั้งครรภ์ และได้รับ คำตอบจากหมอว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก ตราบใดที่ไม่ได้บวมจนน่ากลัว เขาก็สบายใจได้
จากนั้นเขาจึงใส่ใจกับอาการบวมของขาและเท้าเสวี่ยเจียเยว่มากขึ้น ยังดีที่หญิงสาวมีอาการขากับเท้าบวมเล็กน้อยในตอนบ่ายหรือตอนค่ำ แต่ยังไม่บวมมากจนน่ากลัว
ทว่าอีกหลายเดือนต่อมาเรื่องในราชสำนักกลับเริ่มร้อนระอุขึ้น…
[1] คือที่คาดหน้าผากช่วยป้องกันความหนาว