หนึ่งร้อยแปดสิบสาม

จบบริบูรณ์ (3)

เซี่ยซิ่งเหยียนมีน้องชายชื่อเซี่ยซิ่งเย่ อายุน้อยกว่าเขาสิบปีเต็ม

พี่น้องสองคนนี้ คนหนึ่งเก่งด้านบุ๋น อีกคนเก่งด้านบู๊ ผู้พี่รับตำแหน่งโส่วฝูในเน่ยเก๋อแห่งราชสำนัก ส่วนผู้น้องเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำอยู่ที่ชายแดน ตระกูลเซี่ยภูมิใจในตัวทั้งสองคนมาก พวกเขารู้สึกว่าหากมีพี่น้องสองคนนี้อยู่ ตระกูลเซี่ยจะต้องรุ่งโรจน์และร่ำรวยมหาศาลอย่างแน่นอน ทว่าอุปสรรคคือความขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องคู่นี้

เซี่ยซิ่งเหยียนเป็นบุตรชายของภรรยาเอก เซี่ยซิ่งเย่เป็นบุตรชายของอนุภรรยา อีกทั้งฮูหยินใหญ่เอาแต่คอยตำหนิ ชีวิตของเซี่ยซิ่งเย่ตั้งแต่เด็กจนโตจึงไม่ดีเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยคงมีเพียงคนที่เก่งด้านบุ๋น และเซี่ยซิ่งเย่ก็จะไม่เข้าร่วมกับกองทัพ

เพราะพวกเขาสองพี่น้องไม่ได้ปรองดองสามัคคี เซี่ยซิ่งเย่จึงไม่ฟังคำพูดของเซี่ยซิ่งเหยียนมากนัก เซี่ยซิ่งเหยียนส่งจดหมายถึงเขาหลายครั้ง บอกให้เขาคอยสนับสนุนตระกูลเซี่ย ถึงแม้หน้าที่ของเซี่ยซิ่งเย่คือการกำจัดศัตรูนอกแคว้น แต่เซี่ยซิ่งเหยียนคิดว่าไม่จำเป็นต้องกำจัดให้หมดสิ้น

เขาอยากให้น้องชายทำตามแผนของตน นั่นคือกำจัดศัตรูนอกแคว้นเพียงบางส่วน เพราะหากไม่กำจัดออกไป ย่อมทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าเซี่ยซิ่งเย่ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ากำจัดศัตรูจนหมดสิ้น เซี่ยซิ่งเหยียนรู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเซี่ยซิ่งเย่ก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ฮ่องเต้หย่งหนิงคงลงมือกำจัดตระกูลเซี่ยของพวกเขาทันที เพราะไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใดก็ไม่ยอมให้ใครมีบทบาทเหนือกว่าตน

ทว่าการจะทำตามที่เซี่ยซิ่งเหยียนต้องการนั้น ยังต้องรอจนกว่าฮ่องเต้หย่งหนิงจะสวรรคต และบุตรชายของเซี่ยฮองเฮาขึ้นครองบัลลังก์ก่อนค่อยพูดคุยกันอีกครั้ง เซี่ยซิ่งเหยียนรู้ว่าสุขภาพของฮ่องเต้เริ่มไม่ดีแล้ว อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก…

แต่เซี่ยซิ่งเย่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาคิดว่าเซี่ยซิ่งเหยียนมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับตน ไม่ให้กำจัดศัตรูให้หมดสิ้นหมายความว่าอย่างไร หากกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก ตำแหน่งทางทหารของเขาจะยิ่งสูงขึ้นไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้ส่งคนมาบอกเขาว่า หากศึกที่ชายแดนสงบลง ศัตรูนอกแคว้นถูกกำจัด เขาก็จะได้รับตำแหน่งชั้นกง[1] หรือไม่ก็ชั้นโหว[2] เมื่อถึงเวลานั้นเซี่ยซิ่งเหยียนก็ยังต้องโค้งคำนับเมื่อเผชิญหน้ากับเขา

เซี่ยซิ่งเย่ไม่สนใจคำพูดของเซี่ยซิ่งเหยียน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับพวกศัตรูนอกแคว้น

เขาทำสงครามอย่างมีแผนการ เซี่ยซิ่งเย่นำกองกำลังออกไปโจมตีชนเผ่าหว่าล่า[3] กองทหารเฉินจีอิ๋งตั้งแถวยิงปืนกระบอกยาวโจมตี จากนั้นเขาจึงนำทหารม้าเข้าไปสู้รบกับศัตรูด้วยตัวเอง ชนเผ่าหว่าล่าพ่ายแพ้สงคราม เขาใช้พลังที่เหลืออยู่ไล่โจมตี และบุกเข้าไปในที่ตั้งของเผ่าศัตรู กองกำลังของอีกฝ่ายไม่สามารถตั้งรับการโจมตีได้จึงพ่ายแพ้ย่อยยับ

ฮ่องเต้ให้ความสนใจเรื่องสงครามที่ชายแดนเป็นอย่างมาก และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ส่งจดหมายถึงเจี่ยจื้อเจ๋อก่อนหน้านี้ ว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสงครามต้องแจ้งให้เขารู้ทันที ดังนั้นฮ่องเต้กับเสวี่ยหยวนจิ้งจึงรู้เรื่องกองกำลังของเผ่าหว่าล่าพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว

เซี่ยซิ่งเหยียนย่อมรู้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงด่าเซี่ยซิ่งเย่ว่าเป็นคนโง่ ขณะเดียวกันเขาเองก็เห็นท่าไม่ดีแล้ว เกรงว่าฮ่องเต้จะลงมือกำจัดตระกูลเซี่ยในไม่ช้า

เขาไม่เคยนั่งรอความตาย หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ก็บอกตัวเองว่าคงมีเพียงวิธีเดียวคือต้องทำให้บุตรชายของเซี่ยฮองเฮาได้ครองบัลลังก์เท่านั้น

และแน่นอนว่า… ฮ่องเต้หย่งหนิงจะต้อง ‘สวรรคต’ ก่อน

โชคยังเข้าข้างที่พระวรกายของฮ่องเต้ไม่ดีนักจนทุกคนรู้กันทั่ว และในวังก็มีคนของเซี่ยซิ่งเหยียนแฝงตัวอยู่ไม่น้อย ขอเพียงทำเรื่องที่ต้องการให้เรียบร้อยก่อนที่จะมีคนมารายงานสถานการณ์สงครามในชายแดน คนภายนอกก็จะไม่สงสัยแน่นอน

หลังจากตัดสินใจแล้ว เซี่ยซิ่งเหยียนก็ใช้ให้คนของเขาวางยาพิษในน้ำแกงปลาเงินที่ฮ่องเต้จะเสวยในมื้อกลางวัน เพียงเสวยเข้าไปคำหนึ่งก็จะ ‘สวรรคต’ ทันที

แต่เซี่ยซิ่งเหยียนคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้จะทรงมอบน้ำแกงปลาเงินถ้วยนั้นให้ขันทีน้อย

พิษกำเริบหลังจากขันทีน้อยดื่มเข้าไปไม่นาน เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด สิ้นใจตายอย่างน่าสังเวช ฮ่องเต้หย่งหนิงโกรธอย่างหนักจึงสั่งปิดวังหลวงเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด

วังหลวงนั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแตะต้องน้ำแกงปลาเงินถ้วยนี้ได้ ฮ่องเต้จึงเรียกองครักษ์ส่วนพระองค์มาไต่สวนทีละคน แม้ว่าบางคนต้องการจบชีวิตตัวเอง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลังจากถูกทรมานหลายสิบครั้ง ก็มีคนที่ทนไม่ไหวจนพูดความจริงออกมา

จากนั้นฮ่องเต้ก็ให้คนสืบต่อไป จนรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์คือเซี่ยซิ่งเหยียน มีบางคนเอ่ยชื่อเซี่ยฮองเฮาออกมา บอกว่านางอยากจะสังหารฮ่องเต้ แล้วให้บุตรชายของตนขึ้นครองบัลลังก์ทันที

ฮ่องเต้หย่งหนิงเดือดดาลจนสั่งให้องครักษ์จัดการกับเซี่ยซิ่งเหยียนทันที ข้อหาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้

เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปทั่วราชสำนัก

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าฮ่องเต้หย่งหนิงคิดจะลงมือกับเซี่ยซิ่งเหยียนนานแล้ว เรื่องการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้นั้น แม้เซี่ยซิ่งเหยียนจะหนีไปอย่างร้อนรน แต่ก็กล่าวได้ว่าฮ่องเต้จงใจปล่อยไปก่อน

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาเหตุผลลงมือกับเซี่ยซิ่งเหยียน และตอนนี้ฮ่องเต้กำลังให้คนหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้เซี่ยซิ่งเหยียนได้รับโทษประหาร

เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในกรมครัวเรือนมานานหลายเดือน ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขา ย่อมสามารถตรวจสอบเรื่องการโกงกินของเซี่ยซิ่งเหยียนได้ และเวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานที่แน่ชัด เพียงมีคนเขียนฎีการ้องเรียนก็พอแล้ว

อวี๋ซิ่งเสวียและคนอื่นๆ ได้เขียนฎีการ้องเรียนถวายฮ่องเต้ ในที่สุดก็เพิ่มโทษให้เซี่ยซิ่งเหยียนได้หลายข้อ จากนั้นจึงส่งเขาไปยังศาลต้าหลี่เพื่อตรวจสอบและตัดสิน

ไม่นานก็พบว่าความผิดทั้งหมดเป็นความจริง เซี่ยซิ่งเหยียนถูกตัดสินประหารชีวิต ยึดทรัพย์สินของตระกูลทั้งหมดโดยห้ามโต้แย้งใดๆ คนอื่นๆ ในตระกูลเซี่ยก็ถูกเนรเทศออกไปนอกเมืองหลวงไกลถึงสามพันลี้

ผ่านไปสองวันก็มีคนมารายงานสถานการณ์สงครามในชายแดน โดยแจ้งว่ากองกำลังเผ่าหว่าล่าพ่ายแพ้จนราบคาบ ชนเผ่าหว่าล่าสัญญาว่าจะส่งคนมาเมืองหลวงเพื่อขอสวามิภักดิ์ในเร็วๆ นี้ และให้คำมั่นว่าจะไม่รุกรานชายแดนอีก

ฮ่องเต้หย่งหนิงปลื้มใจมาก และในเมื่อเรื่องที่เซี่ยซิ่งเหยียนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเซี่ยซิ่งเย่ จึงมีราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นกั๋วกง[4] และให้มาที่เมืองหลวงในทันที

แต่ระหว่างทางที่กลับเมืองหลวงนั้น โรคเก่าของเซี่ยซิ่งเย่กลับกำเริบและสิ้นใจตาย ฮ่องเต้รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งจึงเขียนบทความไว้ทุกข์เป็นการส่วนตัว ทั้งยังสละเวลาอีกหนึ่งวันเพื่อแสดงความเสียใจ

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ จึงกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

“การกระทำเช่นนี้ของฮ่องเต้เป็นเพียงการแสดงให้คนนอกเห็นเท่านั้น ข้าเชื่อว่าหากเซี่ยซิ่งเย่ไม่ตายตอนนี้ ก็ต้องถูกเซี่ยซิ่งเหยียนลอบสังหารจนตาย แต่เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ยังไม่ยอมไว้ใจคนของตระกูลเซี่ย ดูเหมือนว่าเซี่ยฮองเฮาที่อยู่ในวังจะโชคร้ายเสียแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งยกมือขึ้นบีบแก้มภรรยา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รู้ก็เก็บไว้ในใจ อย่างไรก็ต้องระมัดระวัง”

สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขานุ่มและเรียบเนียน ราวกับผิวของหญิงสาวเริ่มดีขึ้นหลังจากตั้งครรภ์

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของเขาดี จึงได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

หญิงสาวดีใจยิ่งนัก หลายปีมานี้เธอกังวลว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะมาหาเรื่องตนกับเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวง เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ออกไปไหนนอกจากเรือนของตันหงอี้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนตายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าเธอจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ใช่หรือไม่

เมื่อคิดดังนั้นเธอก็ขอร้องเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความกระตือรือร้น “ท่านพี่ พวกเราออกไปเดินเล่นกันพรุ่งนี้เลยดีหรือไม่เจ้าคะ”

พรุ่งนี้เสวี่ยหยวนจิ้งพักอยู่ที่เรือนพอดี จึงสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้

แต่น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี…

“ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์เก้าเดือนแล้ว จะออกไปข้างนอกได้อย่างไร พักผ่อนอยู่ในเรือนดีกว่า”

เมื่อเห็นใบหน้าของภรรยาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาจึงรีบเอ่ยปลอบโยน

“พอลูกของเราคลอดออกมาแล้ว วันไหนที่ข้าหยุดพัก ข้าจะไปเที่ยวกับเจ้าทุกที่เลยดีหรือไม่ เจ้าอยากไปไหน ข้าจะไม่ขัด เพียงบอกข้ามาเท่านั้น เช่นนี้เป็นอย่างไร”

หลังจากเซี่ยซิ่งเหยียนถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต คนที่สนับสนุนเขาก็ถูกตัดสินความเช่นกัน เฉินเหวินฮั่นเป็นคนแรกที่ได้รับหายนะ เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งและนำตัวส่งกรมอาญาเพื่อไต่สวนทันที และตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายแห่งกรมพิธีการก็เป็นของเสวี่ยหยวนจิ้งแทน อีกทั้งฮ่องเต้หย่งหนิงยังต้องการให้เขาเข้ารับตำแหน่งในเน่ยเก๋อด้วย

การที่ชายหนุ่มในวัยนี้สามารถเข้าไปทำงานในเน่ยเก๋อได้นั้น มิใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอน อีกทั้งตอนนี้ฮ่องเต้หย่งหนิงได้ล้างมลทินให้ตระกูลโจวต่อความผิดในครานั้นแล้ว แน่นอนว่าเซี่ยซิ่งเหยียนเป็นคนใส่ร้าย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความโลภบังตา จนทำให้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต

ตอนนี้โชคไม่เข้าข้างเซี่ยฮองเฮากับบุตรชายของนาง พวกเขาถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น โจวฮองเฮากลับเข้าวังหลวง องค์ชายใหญ่จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทอีกครั้ง

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะยังไม่รู้ว่าป้าโจวคือโจวฮองเฮา แต่เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าหญิงสาวคงรู้เรื่องนี้ในอีกไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้น ในฐานะบุตรสาวบุญธรรมของโจวฮองเฮา และด้วยตำแหน่งของสามี ในภายภาคหน้าเสวี่ยเจียเยว่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ตนต้องการ

เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาณาจักรธุรกิจที่เจ้าพูดกับข้าเมื่อหลายปีก่อน หลังจากเจ้าคลอดลูกแล้ว เจ้าก็สามารถเริ่มดำเนินการได้”

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าจะไม่กักขังเธอไว้ในเรือนทั้งวันอีกแล้ว จะปล่อยให้เธอออกไปนอกเรือน หญิงสาวก็ดีใจมากแล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินเขาบอกว่าอาณาจักรธุรกิจที่เธอจินตนาการไว้นั้น หลังคลอดลูกก็สามารถดำเนินการได้…

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจยิ่งนัก จึงกอดแขนขวาของสามีพร้อมเผยรอยยิ้มสดใส “จริงหรือ ท่านพี่ ท่านใจดีจริงๆ”

ทันทีที่ตื่นเต้น หญิงสาวก็รู้สึกว่าเด็กในท้องของตนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

ตอนแรกเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา เบื้องล่างเริ่มเปียกแฉะ…

เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเอ่ยปาก แต่จู่ๆ เขาก็เห็นสีหน้าประหลาดของเสวี่ยเจียเยว่ มือที่จับแขนตนก็กำแน่นขึ้น จึงรีบเอ่ยถามภรรยา

“เยว่เอ๋อร์ เป็นอะไรไป”

เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองเขา สีหน้าดูสงบลงหลายส่วน “ท่านพี่ ข้าว่าข้าจะคลอดแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับมา แล้วรีบวิ่งออกไปเรียกกวนเหยียนให้ไปตามหมอตำแยกับหมออีกคนมา

ชายหนุ่มบอกหมอตำแยและหมออีกคนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เดิมทีก็คิดว่าอีกไม่กี่วันจะเรียกพวกเขามาอยู่ในเรือนของตน เพื่อเตรียมการเอาไว้ก่อนเสวี่ยเจียเยว่จะคลอด แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้หญิงสาวจะคลอดเร็วกว่าที่คาดไว้

เสวี่ยหยวนจิ้งอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ แต่เขารู้ว่าในเวลานี้ตนไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆ ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ได้ จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้อง

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกกระวนกระวาย สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และกำมือทั้งสองข้างแน่นขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป แล้วยื่นมือไปกุมมือของเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้แน่น ก่อนจะก้มหน้าลงจูบหว่างคิ้วของหญิงสาวพร้อมปลอบประโลมอย่างนุ่มนวล

“ไม่ต้องกลัว เยว่เอ๋อร์ ข้าอยู่ที่นี่กับเจ้าแล้ว”

แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบและมั่นคง แต่หน้าผากกลับมีเหงื่อซึมออกมาเป็นชั้นบางๆ เห็นได้ชัดว่าในใจของเขารู้สึกประหม่ายิ่งนัก เกรงว่าคงประหม่ามากกว่าภรรยาด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็หยุดกังวล และยิ้มมุมปากขณะมองหน้าสามี

“ท่านพี่ ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ” เธอเงยหน้าจูบคางของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะยื่นมือไปลูบหน้าท้องของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข “ท่านอยู่ข้างกายข้า ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น และลูกของเรากำลังจะออกมาเจอหน้าพวกเราแล้ว ข้าดีใจมาก ไม่หวาดกลัวสักนิด”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก จึงคว้าตัวภรรยาเข้ามากอดพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อือ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป จะไม่พรากจากกัน”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าในอ้อมแขนของเขา และกอดเอวชายหนุ่มเอาไว้แน่น

เช้าวันรุ่งขึ้น เสวี่ยเจียเยว่ให้กำเนิดทารกเพศหญิงที่สมบูรณ์และแข็งแรง เสวี่ยหยวนจิ้งรับเด็กน้อยมาจากอ้อมกอดของหมอตำแยอย่างระมัดระวัง ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่ แล้วก้มหน้าจูบแก้มที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของหญิงสาว

“เยว่เอ๋อร์” เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสียงของเขาจึงแหบพร่าเล็กน้อย ทั้งยังมีเสียงสะอื้น “เยว่เอ๋อร์ ขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณเจ้าจริงๆ”

หากไม่มีเสวี่ยเจียเยว่ ในใจของเขาคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังและแสนเย็นชา แม้แต่รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะก็ไม่มี แต่หลายปีมานี้หญิงสาวอยู่กับเขา ทำให้เขามีความสุขและมอบความอบอุ่นที่สุดในใต้หล้าให้ ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังมอบลูกสาวให้เขาอีก

ลูกของเขากับเสวี่ยเจียเยว่… สายเลือดของพวกเขา แม้ว่าในภายภาคหน้าพวกเขาจะต้องตายไป แต่ลูกจะยังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

หลังจากเจ็บปวดมาทั้งคืน เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกโล่งใจ เธออยากจะนอนสักหน่อย แต่เมื่อมองชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ซึ่งคอยจับมือเธอทั้งคืน หญิงสาวก็ยื่นมือไปสัมผัสแก้มของเขาเบาๆ แล้วคลี่รอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดออกมา

“ไม่ต้องเกรงใจ” แววตาของเธอดูหยอกล้อ สดใสเหมือนดวงดาว “ชีวิตที่เหลือนี้ ได้โปรดชี้แนะด้วย”

ท้องฟ้านอกหน้าต่างสว่างแล้ว แสงแดดสาดส่องกระทบดอกกุหลาบสีชมพูที่กำลังแบ่งบานในลานเรือน เวลาอันเงียบสงบเช่นนี้ ทุกอย่างรอบตัวก็ดูงดงามยิ่งขึ้น

จบบริบูรณ์

[1] ชั้นกง หมายถึง ตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ สามารถสืบทอดผ่านลูกหลานได้

[2] ชั้นโหว เป็นตำแหน่งรองจากชั้นกง ได้รับยศจากการสืบสกุล หรือได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ เนื่องจากมีความดีความชอบ

[3] ชาวมองโกลกลุ่มหนึ่งทางตะวันตก

[4] เป็นตำแหน่งสูงสุดของชั้นกง