ตอนพิเศษหนึ่ง
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ให้กำเนิดลูกสาวครบหนึ่งเดือน ก็มีขันทีกับองครักษ์หลายคนมาแจ้งว่า ฮองเฮาเชิญใต้เท้าเสวี่ยกับฮูหยินเสวี่ยเข้าวัง ทั้งยังกำชับเป็นพิเศษว่าให้พาลูกที่พวกเขาเพิ่งให้กำเนิดไปด้วย
ฮองเฮา? เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างกระวนกระวาย
หญิงสาวไม่รู้จักฮองเฮาผู้นี้เลย เหตุใดพระนางถึงเรียกครอบครัวของเธอเข้าวัง ทั้งยังกำชับว่าให้พาลูกของพวกเขาไปด้วย…
ความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากไป ทว่าขันทีกับองครักษ์หลายคนกำลังรออยู่ด้านนอก ทั้งยังมีรถม้าของราชสำนักรออยู่ เกรงว่าหากเธอไม่ไปก็คงไม่ได้
สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่จึงได้แต่อุ้มลูกขึ้นรถม้าไปกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
ในใจเธอยังกระวนกระวายยิ่งนัก จึงถามเสวี่ยหยวนจิ้งเบาๆ “เหตุใดฮองเฮาจึงอยากพบพวกเรา ข้าไม่รู้จักพระนาง ท่านพี่ ท่านรู้เหตุผลของเรื่องนี้หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่เพียงรู้ว่าโจวฮองเฮาที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นศัตรูกับเซี่ยซิ่งเหยียน และเสวี่ยหยวนจิ้งก็มีส่วนช่วยในเรื่องการกำจัดขุนนางผู้นั้น หรือเป็นเพราะเหตุนี้… โจวฮองเฮาจึงเรียกพวกเขาเข้าวังเพื่อมอบรางวัลให้ แต่เรียกเสวี่ยหยวนจิ้งเพียงคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว เหตุใดต้องเรียกเธอกับลูกสาวไปด้วย
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจจริงๆ แน่นอนว่าต้องรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้เหตุผลนี้ดี ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มปลอบโยนภรรยา “เจ้าจะรู้จักโจวฮองเฮาได้อย่างไร อย่าคิดมากเลย ทำใจให้สบายก็พอ พอเจ้าเห็นพระนาง เจ้าจะเข้าใจเอง”
จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงเอื้อมมือไปอุ้มลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นมา
เด็กที่เพิ่งเกิดมักจะนอนหลับแทบทั้งวัน และตอนนี้ลูกสาวของพวกเขากำลังนอนหลับอยู่ ใบหน้าเล็กๆ รูปไข่ของนางแดงเรื่อ คิ้วสีจางๆ แต่ขนตาของนางกลับหนาและงอนยาว ชายหนุ่มอุ้มเช่นนี้ก็รู้สึกว่าตัวของนางนุ่มนิ่ม ทำให้หัวใจของเขาอ่อนโยนขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของลูกสาว จากนั้นก็หอมแก้มเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เพื่อไม่ให้เจ้าอิจฉา แล้วบอกว่าข้าเอาแต่หอมลูกสาว แต่ไม่หอมเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่อับจนถ้อยคำจะพูดแล้ว
เธอไม่ได้คิดเช่นนั้นสักนิด แต่กลับเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งต่างหาก เดือนนี้เห็นภรรยาเอาแต่สนใจลูกสาว เขาก็บ่นหลายครั้งว่าในใจของเธอมีแต่ลูก ไม่มีสามีอย่างเขาเลย
แม้แต่ลูกตัวเองยังอิจฉา แต่เขากลับไม่ยอมรับซ้ำยังมากล่าวหาเธอ…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงยื่นมือไปเปิดมุมผ้าม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก
ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น คนที่เดินอยู่บนถนนจึงเปลี่ยนมาสวมชุดที่โปร่งบาง ต้นหลิวข้างทางดูเขียวชอุ่มและงดงาม
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ออกมาข้างนอกเป็นเวลานาน เมื่อได้นั่งอยู่ในรถม้าแล้วมองออกไปบนถนนเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเหมือนได้กลับเข้าสู่สีสันของโลกมนุษย์อีกครั้ง
เธอคิดถึงความอบอุ่นของโลกมนุษย์
หญิงสาวคิดเอาไว้ว่าอีกไม่กี่วันเธอจะออกไปเดินเล่น และที่ดินที่ซื้อมาหลายปีแล้วยังไม่ได้ใช้งานผืนนั้น จากนี้ไปต้องจัดการให้ดี
เมื่อคิดถึงเรื่องที่มีความสุขเหล่านี้ เวลาก็มักจะผ่านไปเร็วขึ้น
ไม่นานรถม้าก็มาถึงหน้าประตูวัง ขันทีที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าแสดงป้ายประจำตัวให้องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังดู จากนั้นองครักษ์ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
เมื่อรถม้าจอดแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างประคองเสวี่ยเจียเยว่ลงจากรถม้า จากนั้นพวกเขาก็เดินตามขันทีไป
หลังจากเดินไปตามทางเดินยาวแล้วเลี้ยวขวา ขันทีจึงพูดเสียงเบาว่านี่คือตำหนักหย่งโซ่วที่ฮองเฮาพำนักอยู่ เมื่อพวกเขาเข้าไปในตำหนักแล้วต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำให้มาก
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง เสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินอยู่ข้างกายหญิงสาวสัมผัสได้ จึงยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้รู้สึกผ่อนคลาย
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล้ามองไปรอบๆ มองเพียงพื้นเท่านั้น
อิฐสีเขียวสว่างไสวเป็นพิเศษเพราะแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาด้านใน ก้าวเข้าไปอีกเล็กน้อยก็พบพรมขนสัตว์สีแดงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายดอกโบตั๋นแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง เมื่อเท้าเหยียบลงไปก็สัมผัสถึงความนุ่มและไม่มีเสียงใดๆ
ขันทีที่พาพวกเขามากระซิบบอกให้คุกเข่าคารวะฮองเฮา ถึงแม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะรู้สึกไม่สบายใจกับการคารวะคนเช่นนี้ แต่เพราะสถานการณ์บังคับจึงต้องคุกเข่าลง
ทว่าก่อนที่เธอจะคุกเข่า ก็มีคนยื่นมือมาพยุง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงคนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เยว่เอ๋อร์”
เสียงของป้าโจวไม่ผิดแน่ แต่จะเป็นนางได้อย่างไร…
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง เธอเห็นว่าคนตรงหน้าแม้จะแต่งตัวงดงามกว่าเมื่อก่อน แต่นางคือป้าโจวอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนั้นภาพทุกอย่างที่เกี่ยวกับป้าโจวหมุนวนอย่างรวดเร็วในหัวของเธอ
ตอนที่อยู่ในเมืองผิงหยาง ป้าโจวใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ต่อมาหูจื่อบอกว่ามีคนสองคนมาถามหานาง เมื่อพบป้าโจวก็คุกเข่าลงทันที จากนั้นป้าโจวเดินตามพวกเขาไป อีกทั้งเรื่องในวัดต้าเซียงกั๋ว คนเหล่านั้นที่รับใช้นาง และนางยังแซ่โจว…
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
ป้าโจวคือโจวฮองเฮาอย่างนั้นหรือ นี่เธอไหว้ฮองเฮาเป็นอาจารย์หรือ ต่อมาก็ยังคารวะนางเป็นมารดาบุญธรรมอีก
เสวี่ยเจียเยว่มองหน้าโจวฮองเฮาโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
โจวฮองเฮายิ้มบางพลางยื่นมือไปตบหลังมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากข้าคือป้าโจว หรือโจวฮองเฮา แล้วจะสำคัญอันใดเล่า เจ้าเพียงจำให้ได้ว่าข้าคือแม่บุญธรรมของเจ้า และอย่าได้ห่างเหินกับข้าเพียงเพราะเหตุผลนี้”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงมองไปที่โจวฮองเฮา รอยยิ้มของนางเรียบเฉยเหมือนเมื่อก่อน สายตาที่มองมาก็สงบนิ่ง
ในที่สุดหญิงสาวก็พยักหน้าพร้อมเอ่ยออกมาได้ “ท่านแม่”
ป้าโจวตอบรับด้วยรอยยิ้ม พูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่อีกสองสามประโยค จากนั้นจึงเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งเข้ามาใกล้ๆ แล้วเอื้อมมือไปอุ้มเด็กทารกในอ้อมแขนของเขาพลางถามชายหนุ่ม
“ชื่อของนางได้ตั้งหรือยัง นางชื่ออะไร”
“นางเกิดตอนย่ำรุ่ง ดังนั้นจึงชื่อเสี่ยว เรียกนางว่าเสียวเสี่ยวก็ได้เจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่ตอบ อีกทั้งยังพูดคุยกับอีกฝ่ายเหมือนตอนที่ไม่รู้ว่านางคือโจวฮองเฮา
อันที่จริงลูกสาวของเธอชื่อ ‘เสวี่ยเสี่ยว’ แต่เสวี่ยเจียเยว่กับสามีมักเรียกนางว่า ‘เสียวเสี่ยว’
“เสียวเสี่ยว… เสียวเสี่ยว” โจวฮองเฮายิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชื่อนี้ไพเราะดี”
ด้านหลังมีนางกำนัลยกของขวัญมาหนึ่งถาด เป็นจี้ทองแดงอายุยืนกับกำไลทองแดงที่มีราคาแพงมาก ทั้งยังมีผ้าผืนบางอีกหลายพับ
“ผ้าเหล่านี้ทั้งนุ่มและบาง ระบายอากาศได้ดี ช่วงที่อากาศร้อนต่อให้เสื้อผ้าที่เด็กสวมดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”
เสวี่ยเจียเยว่กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เห็นโจวฮองเฮาสั่งนางกำนัล
“ไปเชิญองค์รัชทายาทมา”
นางกำนัลรีบตอบรับแล้วเดินออกจากตำหนักไป
โจวฮองเฮาเอ็นดูเสวี่ยเสี่ยวจริงๆ แม้เด็กน้อยยังหลับอยู่ แต่นางก็ยังกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งยังยิ้มให้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ข้าเพิ่งเป็นท่านยาย ได้เห็นหลานสาวของตนเองเช่นนี้ ก็รู้สึกเอ็นดูจริงๆ ถ้าไม่เป็นเพราะรู้ว่าพวกเจ้าสองคนไม่เต็มใจ ข้าคงต้องขอให้นางอยู่ข้างๆ กายข้าแล้ว”
จากนั้นนางก็บอกกับเสวี่ยเจียเยว่อีกว่าหากคราวหน้ามีเวลาว่างก็อุ้มเสวี่ยเสี่ยวเข้าวังมาเยี่ยมนางบ้าง เสวี่ยเจียเยว่รับคำ ในใจรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือ เสวี่ยเสี่ยวมีท่านยายเป็นถึงฮองเฮา
ทั้งสามคนนั่งสนทนากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีขันทีมาแจ้งว่าองค์รัชทายาทมาถึงตำหนักแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าดังขึ้น เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองไปทางประตูทันที เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามา
นี่คือบุตรชายที่โจวฮองเฮากล่าวถึง… จ้าวผิงคัง องค์รัชทายาทนั่นเอง
จ้าวผิงคังคารวะโจวฮองเฮา จากนั้นนางจึงเรียกเขาเข้ามา และมองเสวี่ยเจียเยว่พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าอยากพบลูกชายข้าไม่ใช่หรือ คนนี้คือลูกชายข้า”
นางหันไปเอ่ยกับจ้าวผิงคัง “ทักทายน้องสาวของเจ้าเสียสิ”
เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่อยากพบบุตรชายของมารดาบุญธรรมนั้นไม่ผิด แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึงองค์รัชทายาท…
เธอรีบคารวะจ้าวผิงคังทันที ในหัวยังคงรู้สึกมึนงง
เสวี่ยหยวนจิ้งคารวะเช่นกัน จ้าวผิงคังจึงบอกให้พวกเขาสองคนทำตัวตามสบาย ไม่ต้องมากพิธี
จนกระทั่งเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ยืนตัวตรงแล้ว จ้าวผิงคังก็มองพวกเขาอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มให้เสวี่ยเจียเยว่แล้วกล่าว
“หลายวันมานี้ข้าได้ยินเสด็จแม่เอ่ยถึงเจ้า ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเจ้าเสียที” เขาคำนับเสวี่ยเจียเยว่อย่างจริงใจ “ขอบคุณที่เมื่อก่อนเจ้าดูแลเสด็จแม่มาโดยตลอด ขอบคุณจริงๆ”
เสวี่ยเจียเยว่รีบคำนับกลับ
จากนั้นจ้าวผิงคังก็พยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “ใต้เท้าเสวี่ย”
ในฐานะขุนนางขั้นสาม ผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการ และเป็นหนึ่งในขุนนางของเน่ยเก๋อ ทุกวันตอนเช้าตรู่เสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องเข้าประชุมด้วย ส่วนจ้าวผิงคังในฐานะที่เป็นองค์รัชทายาท ก็ต้องยืนข้างๆ ฮ่องเต้หย่งหนิงเพื่อฟังการประชุม ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงรู้จักกัน
เสวี่ยหยวนจิ้งประสานมือคารวะจ้าวผิงคังพร้อมเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท”
จ้าวผิงคังมีท่าทีเป็นกันเองกับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ทั้งยังกล่าวอีกว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นลูกรักของโจวฮองเฮา และเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขา เสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นสามีของน้องสาวเขา ต่างก็เหมือนกับครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไรมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าทำงานในเน่ยเก๋อตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการ คนเช่นนี้จ้าวผิงคังจึงอยากจะดึงมาเป็นพวก
เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลงอีกครั้ง
จ้าวผิงคังเห็นเสวี่ยเสี่ยวที่โจวฮองเฮาอุ้มไว้ในอ้อมแขน จึงเดินไปถามด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้เป็นลูกใครกัน”
“ลูกใครที่ไหนกันเล่า” โจวฮองเฮาถลึงตาใส่อีกฝ่าย “นี่คือลูกของเยว่เอ๋อร์”
เซี่ยซิ่งเหยียนตายแล้ว ความแค้นใหญ่หลวงได้รับการแก้ไข นางได้พบบุตรชายของตนอีกครั้ง ทั้งยังเห็นว่าเขาสบายดี ตอนนี้ได้รับตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท โจวฮองเฮาจึงดีใจมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรชายของตนย่อมต้องพูดและประพฤติตัวเหมือนเมื่อก่อน
“ลูกของน้องสาวกระนั้นหรือ” จ้าวผิงคังได้ยินดังนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นนางก็เป็นหลานสาวของข้าใช่หรือไม่”
เมื่อมองเสวี่ยเสี่ยวอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เขาก็คิดจะเอื้อมมือไปอุ้ม แต่โจวฮองเฮากลับห้ามเอาไว้
“เจ้ารู้หรือว่าต้องอุ้มเด็กอย่างไร อย่าทำให้เสียวเสี่ยวตกใจสิ”
จ้าวผิงคังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนเสด็จแม่จะเอ็นดูเสียวเสี่ยวมากกว่าข้าเสียแล้ว”
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็หยิบจี้หยกขาวที่แขวนอยู่บนเข็มขัดออกมาและมอบให้เสวี่ยเจียเยว่
“วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเสียวเสี่ยว จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้ จี้หยกชิ้นนี้ถือเป็นของขวัญที่ลุงอย่างข้ามอบให้นางแล้วกัน ให้นางเอาไว้ถือเล่น”
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับมาและเห็นว่าจี้หยกขาวที่ทำอย่างประณีตชิ้นนี้ราวกับโปร่งแสงภายใต้แสงตะวัน เพียงมองก็รู้แล้วว่ามีค่ามาก
เธอรีบกล่าวขอบคุณ จากนั้นในหัวก็เริ่มมึนงงอีกครั้ง นอกจากจะมีท่านยายเป็นถึงฮองเฮาแล้ว เสวี่ยเสี่ยวยังมีท่านลุงเป็นถึงองค์รัชทายาทอีกด้วย…
เรื่องน่าตกใจเหล่านี้ช่างมากเกินไป เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งประคองเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้
หลังจากสนทนากันอีกสักพัก ขันทีที่ยืนเฝ้าหน้าประตูก็เข้ามาแจ้ง
“เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
นางกำนัลได้ยินเช่นนั้นก็ยืนตัวตรง เสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ยหยวนจิ้ง และจ้าวผิงคังลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีเพียงโจวฮองเฮาที่ดูคล้ายว่าไม่ได้ยิน ยังคงนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น[1] ก้มหน้าหยอกล้อเสวี่ยเสี่ยวที่เพิ่งตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของนาง
[1] เตียงหลัวฮั่น มีลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ ใช้เพื่อนั่งหรือนอนเล่น แต่ไม่ใช่สำหรับนอนในห้องนอน