ตอนพิเศษสอง
เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินข่าวลือมานานแล้ว ว่ากันว่าฮ่องเต้หย่งหนิงเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีความมุ่งมั่นในช่วงแรกของการขึ้นครองราชย์ แต่ต่อมากลับค่อยๆ กลายเป็นคนโลภในความสุข บางครั้งไม่ออกว่าราชการเช้า ซึ่งเธอก็เชื่อตามที่คนอื่นลือกันอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากเกิดเรื่องเซี่ยซิ่งเหยียน เสวี่ยเจียเยว่กลับเปลี่ยนความคิดที่มีต่อพระองค์
พระองค์คงมีเรื่องที่ทรงอยากทำ แต่ตระกูลเซี่ยนั้นมีอำนาจมาก ฮ่องเต้ต้องพึ่งพาคนของตระกูลเซี่ยเพื่อทำงาน จึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจบ้านเมือง แต่ไม่ว่าจะแสร้งทำอย่างไร ก็ไม่ควรทำร้ายคนตระกูลโจว ทั้งยังขังโจวฮองเฮากับบุตรชายไว้ในตำหนักเย็น
แม้ว่าทำเช่นนั้นอาจเป็นการปกป้องพวกเขาในแบบของพระองค์ แต่ตอนนี้เซี่ยซิ่งเหยียนถูกประหารชีวิตไปแล้ว พระองค์ยังนำตัวโจวฮองเฮากับบุตรชายเข้ามากักขังในวังที่แสนจะเย็นเยือกอีกครั้ง
พูดได้เพียงว่าหัวใจของฮ่องเต้นั้นแข็งกระด้างดั่งหินผา… เมื่อถึงเวลาจำเป็น ทุกคนสามารถเสียสละได้แม้แต่ภรรยาและลูกๆ ของตน
ฮ่องเต้หย่งหนิงนั่งเกี้ยวมาถึงตำหนักหย่งโซ่ว เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็มีขันทีประคองพระองค์เข้าไปด้านใน
ทุกคนในตำหนักเห็นว่าใบหน้าของพระองค์ซีดขาว ร่างกายผอมบางราวกับเพียงลมพัดคงปลิวออกไปได้ก็ไม่ปาน
ดูจากท่าทางของพระองค์แล้ว เกรงว่าคงจะสวรรคตในไม่ช้า
เสวี่ยเจียเยว่และคนอื่นๆ คุกเข่าลง แต่โจวฮองเฮากลับไม่ขยับ แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองสักครั้งก็ไม่มี
ฮ่องเต้หย่งหนิงไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด เพียงบอกให้เสวี่ยเจียเยว่และคนอื่นๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็ละจากมือขันทีที่ช่วยประคองตนไว้ แล้วเดินไปหาโจวฮองเฮา
นางยังคงไม่เงยหน้าขึ้น เพียงก้มหน้าหยอกล้อเสวี่ยเสี่ยวในอ้อมแขน
ฮ่องเต้หย่งหนิงนั่งลงบนเตียงไม้ตรงข้ามนาง และมองไปที่เสวี่ยเสี่ยวในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน
“เจ้าอุ้มลูกของขุนนางเสวี่ยอยู่งั้นหรือ ชื่ออันใดเล่า”
โจวฮองเฮาไม่ตอบ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงตอบแทน
ฮ่องเต้หย่งหนิงพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นจึงมองจ้าวผิงคังแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตอนที่เจ้าเกิดมาก็ตัวผอมบาง ผิวดำ ไหนเลยจะอ้วนขาวอย่างบุตรสาวของขุนนางเสวี่ยที่ชวนให้ผู้คนเอ็นดูเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเกิดในเวลานั้น ข้าอุ้มเจ้าให้แม่ของเจ้าดู พอแม่ของเจ้าเห็นเจ้าครั้งแรก นางก็พูดว่าเหตุใดเจ้าถึงได้น่าเกลียดเช่นนี้ ในเวลานั้นข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมต่อเจ้า ทั้งๆ ที่เจ้าดูน่ารักน่าชัง น่าเกลียดที่ไหนกัน ดูเจ้าตอนนี้สิ สง่างามมากใช่หรือไม่ เหมือนข้าตอนหนุ่มๆ”
จ้าวผิงคังได้ยินดังนั้นดวงตาพลันร้อนผ่าว เขาจำได้ว่าเมื่อตนยังเด็กฮ่องเต้โปรดปรานมากขนาดไหน ทั้งยังคิดว่าตนมีบิดาที่ดีที่สุดในใต้หล้า แต่ต่อมาก็มีคำสั่งให้นำตัวเขากับมารดาเข้าไปขังในตำหนักเย็น และยึดตำแหน่งของเขาไป
แม้ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัวออกมา และเข้าเรียนเหมือนองค์ชายคนอื่นๆ แต่หลายปีมานี้บิดาก็เย็นชาและมาพบเขาน้อยครั้งนัก
ยามนี้จ้าวผิงคังเข้าใจแล้วว่าหลายปีที่บิดาเย็นชามาโดยตลอด สาเหตุหลักก็คือต้องการปกป้องเขา เพื่อไม่ให้คนตระกูลเซี่ยมองว่าตนเป็นหนามยอกอก และแอบวางแผนลอบทำร้าย ทว่าเขาก็มักจะจดจำวันเวลาที่ผ่านมาในตำหนักเย็นได้ อีกทั้งหลายปีมานี้เขาอยากพบมารดาแต่กลับไม่ได้พบ
ดังนั้นต่อให้ตอนนี้บิดาทำดีกับเขาอย่างไร หรือพูดเรื่องในวัยเด็กของเขามากแค่ไหน ก็เรียกความเชื่อใจกลับคืนมาไม่ได้
จ้าวผิงคังพูดกับฮ่องเต้สองประโยค แต่สีหน้าของเขาดูเฉยเมย น้ำเสียงก็เย็นชาเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้หย่งหนิงเข้าใจว่าบุตรชายคนโตจะไม่เรียกเขาว่า ‘เสด็จพ่อ’ อย่างสนิทสนมเหมือนตอนยังเป็นเด็ก อีกฝ่ายยังคงมีความขุ่นเคืองใจไม่น้อย
ในใจเขาพลันเศร้าสร้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปมองโจวฮองเฮา
โจวฮองเฮาไม่เคยเงยหน้าหรือพูดคุยกับเขา ฮ่องเต้หย่งหนิงรู้ว่านางจะต้องเกลียดชังเขาไม่น้อยเช่นกัน
ชีวิตคนในตระกูลของนางถูกพรากไป และหลายปีที่นางต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่นอกเมืองหลวง บุตรชายของนางก็ได้รับความเดือดร้อน ระหว่างพวกเขามีสิ่งเหล่านี้ขวางกั้น จะให้กลับไปรักกันเหมือนในอดีตก็คงไม่ได้อีกแล้ว
ทว่าตอนนั้นเขาอับจนปัญญา ทำได้เพียงตบตาตระกูลเซี่ยเท่านั้น และตอนนี้เขาก็พยายามชดเชยให้อย่างเต็มที่
เขาคืนความบริสุทธิ์ให้ตระกูลโจว และคืนตำแหน่งฮองเฮาให้นาง รวมทั้งคืนตำแหน่งองค์รัชทายาทให้บุตรชาย หลายวันมานี้เขายังให้จ้าวผิงคังเริ่มทำตัวสนิทสนมกับขุนนาง เลือกขุนนางขั้นสูงที่เหมาะสมให้ชี้แนะแนวทางแก่ตน
ฮ่องเต้หย่งหนิงรู้ว่าเวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว อีกทั้งตระกูลเซี่ยยังถูกลงโทษแล้ว เขาจึงเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อโจวฮองเฮา เขาอยากทำให้นางมีความสุขที่สุด
เขามองไปที่เสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าคือเสวี่ยเจียเยว่ใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ทำความเคารพฮ่องเต้แล้วเอ่ยตอบ “หม่อมฉันเองเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งหนิงรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เคยดูแลโจวฮองเฮาเมื่อหลายปีก่อนตอนที่นางอยู่ในเมืองผิงหยาง อีกทั้งโจวฮองเฮายังรักและเอ็นดูหญิงสาวมาก กระทั่งรับเป็นลูกศิษย์ถ่ายทอดวิชาปักผ้าที่ประณีตของตนให้แก่อีกฝ่าย ต่อมายังรับเป็นบุตรสาวบุญธรรม และกำชับให้เขาดูแลปกป้องแม่นางผู้นี้เป็นพิเศษ
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของรั่วเป่า ก็ถือว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้าด้วย ในภายภาคหน้าเจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกแทนตัวเองว่าหม่อมฉันแล้ว”
เขาเรียกขันทีข้างๆ มาสั่ง “ร่างราชโองการ แต่งตั้งเสวี่ยเจียเยว่เป็น ‘กงจู่[1]’ มีนามว่าเฉิงอัน ลูกสาวของนาง แต่งตั้งเป็น ‘จวิ้นจู่[2]’ นามว่าเจี่ยโยว”
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง อยู่ดีๆ เธอก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกงจู่ และลูกสาวของเธอได้เป็นจวิ้นจู่ แม้แต่บุตรสาวที่เกิดมาจากกงจู่ก็อาจไม่ได้รับพระราชทานชื่อจากฮ่องเต้เช่นนี้
แต่เรื่องดีเช่นนี้จะพลาดไม่ได้แน่นอน เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งรีบคุกเข่าลงทันที
ฮ่องเต้หย่งหนิงบอกให้พวกเขาลุกขึ้นและพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าจำได้ว่าตอนคังเอ๋อร์อายุสามขวบ รั่วเป่าบอกข้าว่าอยากมีลูกสาว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ”
ความจริงแล้ว หลังจากมีบุตรชายแล้วโจวฮองเฮาก็ตั้งครรภ์อีก หมอหลวงบอกว่าในท้องของนางคือองค์หญิงน้อย แต่ต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น ฮ่องเต้สั่งให้สังหารตระกูลของนาง ทั้งยังถอดตำแหน่งนางกับจ้าวผิงคัง เพราะถูกกระตุ้นมากเกินไป ลูกในครรภ์ของนางจึงตายไปทั้งที่ยังไม่ได้คลอดออกมา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของฮ่องเต้หย่งหนิงก็คลอไปด้วยน้ำตา เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ตอนนี้รั่วเป่ายอมรับเจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรม ก็เท่ากับว่าข้าและนางมีลูกสาวแล้ว”
จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวผิงคัง “ต่อไปเจ้าต้องดูแลพวกนางสองแม่ลูกให้เหมือนน้องสาวและหลานสาวแท้ๆ ของเจ้า”
ถือว่าเป็นการชดเชยให้บุตรสาวของโจวฮองเฮาที่ยังไม่ทันได้คลอดออกมา
หลังจากจ้าวผิงคังรับคำสั่ง ฮ่องเต้หย่งหนิงก็หันกลับไปมองโจวฮองเฮา
แม้ว่านางจะก้มหน้า แต่ฮ่องเต้ก็เห็นน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของนาง นางคงคิดถึงบุตรสาวที่ไม่ได้เกิดมาของพวกเขา
ครู่ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของโจวฮองเฮาดังขึ้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
โจวฮองเฮาเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะต้องการให้นางมีความสุข และต้องการชดเชยให้นาง ฮ่องเต้หย่งหนิงก็คงไม่ประทานตำแหน่งและชื่อให้แก่เสวี่ยเจียเยว่กับลูกของหญิงสาว
ฮ่องเต้หย่งหนิงคิดไม่ถึงว่าโจวฮองเฮาจะพูดกับตน เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก ขณะที่สายตามองไปที่นาง แต่กลับไม่รู้จะพูดอันใดดี
ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความสุขไม่น้อย
หลังจากนั้นฮ่องเต้ได้พูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่และคนอื่นๆ เขาชื่นชมเสวี่ยหยวนจิ้งมานานแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีจิตใจโลภมาก เพียงต้องการปกป้องภรรยากับลูกสาวของตนเท่านั้น และตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็มีฐานะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของโจวฮองเฮา ในภายภาคหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องคอยช่วยเหลือจ้าวผิงคังอย่างจริงใจแน่นอน ไม่มีอะไรดีเช่นนี้อีกแล้ว
หลังจากอยู่ร่วมกินอาหารกลางวันแล้ว เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกขึ้น
เสวี่ยเสี่ยวตื่นได้ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็หลับไปอีกครั้ง เสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน มองโจวฮองเฮาที่กำชับเสวี่ยเจียเยว่ให้เข้ามาเยี่ยมนางบ้างหากมีเวลาว่าง จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็กล่าวขอตัวลาก่อนจะเดินจากไป
จ้าวผิงคังเข้าใจว่าฮ่องเต้มีเรื่องอยากจะสนทนากับโจวฮองเฮาเพียงลำพัง ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับภรรยาและลูกสาวกลับไปแล้ว เขาก็หาข้ออ้างที่จะจากไปเช่นกัน ในตำหนักจึงเหลือเพียงโจวฮองเฮากับฮ่องเต้หย่งหนิงเท่านั้น
แสงแดดส่องกระทบลงบนหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียวทำให้สว่างไสว ในสวนมีดอกจื่อเวย[3] อยู่หลายต้น ตอนนี้กำลังบานสะพรั่ง ทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยผีเสื้อ
ฮ่องเต้หย่งหนิงมองดอกจื่อเวยเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“ข้าจำได้ว่าตอนที่ได้พบเจ้าครั้งแรกก็คือฤดูร้อนเช่นนี้ เจ้าสวมชุดสำหรับฤดูร้อนสีดอกบัว ยืนอยู่ใต้ต้นจื่อเวย เมื่อข้าเห็นเจ้า ในใจก็นึกว่านางผู้นั้นเป็นลูกสาวของใคร เหตุใดถึงได้งดงามเช่นนั้น ข้าจึงส่งคนไปสืบหาฐานะของเจ้า ต่อมาข้าก็ไปหาเสด็จพ่อ และบอกว่าข้าอยากแต่งเจ้าเป็นภรรยา”
เขารักนางตั้งแต่แรกเห็น อยากจะดูแลปกป้องนางตลอดชีวิต เขารักนางเพียงผู้เดียว
โจวฮองเฮาไม่ได้พูดอะไร ความจริงแล้วในตอนนั้นนางเองก็เห็นฮ่องเต้ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินยาว
เขาเป็นชายหนุ่มอายุสิบแปดปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ในเวลานั้นนางรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนถูกกวางน้อยกระโดดมาชน
อาการเช่นนี้… หากไม่เรียกว่ารักแรกพบแล้วจะเรียกอะไรได้อีก นางอยากให้กำเนิดบุตรของเขา อยู่ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า แต่ใครจะรู้ว่าต่อมาจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
ในฐานะราษฎรคนหนึ่ง นางเข้าใจเขาดี แต่ในฐานะบุตรสาวของบิดานาง มารดาของจ้าวผิงคัง และภรรยาของเขา นางไม่อาจทนอยู่กับสามีที่ทำเช่นนั้นต่อตระกูลของนางได้
นางไม่มีทางให้อภัยเขา… ไม่ให้อภัยตลอดไป
“มาพูดเรื่องเหล่านั้นในเวลานี้จะไปมีความหมายอะไร” น้ำเสียงของโจวฮองเฮาเย็นชายิ่งนัก “เรื่องในอดีตที่ฝ่าบาทตรัส หม่อมฉันจำไม่ได้สักนิด”
ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ครั้งนั้นนางจะไม่ตามมารดาเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาเด็ดขาด และนางก็คงไม่มีชีวิตที่ขื่นขมเช่นนี้
“เจ้ายังไม่ยอมยกโทษให้ข้า” ฮ่องเต้หย่งหนิงถอนสายตากลับมาจากการชมดอกไม้แล้วมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าถามหมอหลวงมาก่อนแล้ว รู้ว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน รั่วเป่า เจ้ายกโทษให้ข้าก่อนตายได้หรือไม่”
โจวฮองเฮาเคยบอกฮ่องเต้ว่าอยากให้ความรักของพวกเขาเหมือนสามีภรรยาทั่วไป ดังนั้นฮ่องเต้หย่งหนิงจึงไม่เคยเรียกตัวเองว่า ‘เจิ้น’ ในยามที่อยู่ต่อหน้านาง และไม่ต้องการให้นางเรียกเขาว่า ‘ฝ่าบาท’ เพียงเรียกเขาว่า ‘ซานหลาง’ เพราะเขาเป็นทายาทลำดับที่สามในบรรดาพี่น้อง แต่ตั้งแต่รับโจวฮองเฮากลับเข้าวัง ทุกครั้งที่นางมาพบเขา นางก็เรียกเขาว่าฝ่าบาท และแทนตัวเองว่า ‘หม่อมฉัน’
ความห่างเหินเช่นนั้นทำให้หัวใจเขาเจ็บปวด
เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้จะอยู่ได้อีกไม่นาน โจวฮองเฮาก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยกมุมปากยิ้มเยาะตัวเอง
เขาตายแล้วจะอย่างไร เพราะบิดามารดาของนางก็ไม่ฟื้นขึ้นมาจากความตายอยู่ดี ความทุกข์ทรมานที่นางกับบุตรชายได้รับมาหลายปีทำให้นางไม่อาจให้อภัยเขาได้
นางไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเขาอีก เพียงลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนสักครู่ ฝ่าบาท… เชิญกลับไปก่อนเถอะเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งหนิงเห็นความเย็นชาบนใบหน้าของนางก็อดปวดใจไม่ได้
แต่เขารู้ว่าสายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็กลับไปแก้ไขไม่ได้ ยามนี้เขาทำได้เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสียงต่ำ
“พักผ่อนให้มาก ข้าขอตัวก่อน”
โจวฮองเฮาไม่เอ่ยตอบ ฮ่องเต้จึงถอนหายใจและมองนางด้วยแววตารักใคร่ ก่อนจะเกาะมือขันทีเดินออกจากตำหนักของนางไป
แสงแดดด้านนอกตำหนักนั้นร้อนมาก แต่ฮ่องเต้หย่งหนิงกลับรู้สึกหนาวเหน็บในใจ เกรงว่าแม้แต่แสงแดดยามนี้ก็กำจัดความหนาวออกไปไม่ได้
เมื่อฮ่องเต้นั่งบนเกี้ยวและออกไปจากหน้าตำหนักหย่งโซ่ว เขาก็หันกลับไปมองดอกจื่อเวยในสวน
ว่ากันว่าดอกจื่อเวยบานสะพรั่งได้ร้อยวัน บานตั้งแต่ต้นจนถึงปลายฤดูร้อน แต่เขาเกรงว่าคงไม่ได้เห็นดอกจื่อเวยร่วงโรยในปีนี้
ทว่านั่นก็ไม่สำคัญ เพราะรั่วเป่ากับคังเอ๋อร์ของเขาจะชมดูดอกไม้นั้นแทนเขาเอง
ฮ่องเต้เพียงหวังว่าพวกเขาจะปลอดภัยและมีความสุขไปตลอดชีวิตนี้
ผ่านไปครึ่งเดือนฮ่องเต้หย่งหนิงก็สวรรคต ขันทีบอกว่าพระองค์กำถุงเงินสีเหลืองที่ดูเก่าเอาไว้แน่น บนถุงเงินนั้นปักลายยวนยางคู่หนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามดึงออกอย่างไรก็ไร้ผล สุดท้ายจึงต้องแงะพระหัตถ์ของฮ่องเต้ออกเพื่อจะหยิบถุงเงินนั้นออกมา
เมื่อโจวฮองเฮาเห็นเช่นนั้น ก็เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าว “ไม่จำเป็นต้องเอาออกมา ให้ฝ่าบาทได้ถือถุงใบนั้นอย่างสบายใจเถอะ”
นางรู้ว่านั่นเป็นถุงเงินที่ตนปักให้ฮ่องเต้หย่งหนิงตอนที่พวกเขาแต่งงานกันใหม่ๆ จำได้ว่านางมีความสุขเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น เมื่อนางส่งถุงเงินให้ฮ่องเต้หย่งหนิง เขาลูบลายปักยวนยางแล้วก้มลงจูบแก้มของนาง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม
“รั่วเป่า เจ้าวางใจเถอะ ทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไป”
ภาพรอยยิ้มในตอนนั้นราวกับว่ายังอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว
บุรุษที่นางรักและเกลียดตายไปในที่สุด โจวฮองเฮาไม่รู้ว่านางควรจะรู้สึกอย่างไร
ตอนที่นางหันกลับแล้วเดินออกจากห้องโถงใหญ่ น้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มอย่างอดไม่ได้
หากมีภพหน้า ก็ขออย่าได้พบกันอีกเลย
[1] คือองค์หญิง
[2] คือท่านหญิง
[3] คือดอกยี่เข่ง