ตอนพิเศษสาม
ก่อนที่เสวี่ยเสี่ยวจะเกิดมา เสวี่ยหยวนจิ้งได้ปรึกษาเรื่องการเชิญแม่นมมาดูแล แต่กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่ปฏิเสธ
แม้เธอจะรู้ว่าครอบครัวใหญ่ต้องมีแม่นม แต่เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าการมองลูกตัวเองดูดนมของคนอื่นทำให้รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงควรให้นมลูกสาวด้วยตัวเอง ด้วยวิธีนี้แม่กับลูกจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น
ทว่าการดูแลเด็กเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กแรกเกิด ทุกคืนเสวี่ยเจียเยว่ต้องตื่นขึ้นมาให้นมลูกหลายครั้ง จะนอนหลับให้เต็มตื่นสักคืนก็ทำไม่ได้ ตอนกลางวันในเวลาว่างก็คิดเพียงอยากล้มตัวลงนอนสักงีบ ไหนเลยจะมีเวลาทำเรื่องอื่น แม้ว่าเธออยากจะทำอะไรกับที่ดินผืนนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถออกจากเรือนไปทำได้
จนกระทั่งเสวี่ยเสี่ยวอายุหนึ่งปี ได้เห็นนางเดินเองและกินข้าวเองได้ ไม่ต้องมีมารดาอยู่ข้างๆ คอยป้อนข้าวให้ทันทีที่นางหิวแล้ว ตอนกลางคืนก็ไม่ต้องตื่นมาให้นมอีก เสวี่ยเจียเยว่จึงค่อยวางใจส่งเสวี่ยเสี่ยวให้สาวใช้ที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กที่เธอจ้างมาดูแล จากนั้นจึงพาฉ่ายผิงออกไปสร้างอาณาจักรธุรกิจของตน
เสวี่ยหยวนจิ้งสัญญาว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่วางใจอยู่ดี จึงต้องสั่งให้กวนเหยียนตามเสวี่ยเจียเยว่ไป
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับตำแหน่งเสนาบดี และเสวี่ยเจียเยว่ก็มีฐานะเป็นกงจู่ แต่ถ้ามีคนตามไปดูแลหญิงสาว เขาก็จะวางใจได้มากกว่า
หลายปีก่อนเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง หลังจากกลับมาแล้วก็ต้องหลบเลี่ยงเซี่ยซิ่งเหยียน จึงไม่ได้ออกไปข้างนอก จากนั้นก็ตั้งครรภ์ พอให้กำเนิดเสวี่ยเสี่ยวก็ต้องดูแลนางตลอด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเวลาออกไปไหน พอมาเห็นที่ดินผืนนี้ ก็พบว่ามันสกปรกมากกว่าเดิม
หญิงสาวรีบจ้างคนมาเก็บกวาด จากนั้นจึงให้คนขนดินจากนอกเมืองหลวงมาเติมในแอ่งน้ำจนเต็ม แล้วเรียกคนมาตรวจดูพื้นที่เพื่อออกแบบสิ่งปลูกสร้าง
เนื่องจากอยู่ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ การจัดการดูแลนั้นต้องเข้มงวดมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ดินผืนใหญ่เช่นนี้ หากคิดจะทำอะไรก็ต้องไปรายงานกวนฝู่[1]
เสวี่ยเจียเยว่ไปเจรจากับขุนนางที่ดูแลงานส่วนนี้ เมื่อเขาเห็นว่าเธออายุยังน้อย ซ้ำยังหน้าตางดงามกว่าสตรีทั่วไป ก็มีขุนนางบางคนเกิดความคิดที่น่ารังเกียจขึ้น จึงจงใจไม่ให้ผ่านในหลายขั้นตอน และต้องการให้เสวี่ยเจียเยว่ขอร้องพวกเขา เธอถึงจะทำอะไรกับที่ดินผืนนั้นได้ตามที่ต้องการ
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกทุกข์ใจกับเรื่องนี้มาก แน่นอนว่าเธอต้องการเปิดตลาดให้เร็วที่สุด เพื่อปล่อยให้คนเช่าและทำกำไรได้ เมื่อเธอกลับมาถึงเรือนจึงเล่าเรื่องที่ขุนนางเหล่านั้นจงใจสร้างความลำบากให้สามีฟัง
วันต่อมา… ขุนนางที่จงใจสร้างความลำบากใจให้เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้รับจดหมายจากผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการและเสนาบดีเชิญพวกเขาไปดื่มชาที่ร้านน้ำชา
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพบขุนนางเหล่านั้นอีก เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายมาหาหญิงสาวเอง แล้วยกสัญญาที่ประทับตราเรียบร้อยให้เสวี่ยเจียเยว่อย่างนอบน้อม แทบจะคุกเข่าขอร้องให้เธอรับไว้เสียให้ได้
เสวี่ยเจียเยว่รับสัญญาไว้ด้วยความดีใจ เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาถึงเรือน เธอจึงถามเขาด้วยความสงสัย
“เมื่อวานนี้ท่านไปหาคนพวกนั้นมาใช่หรือไม่”
หลายปีมานี้หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งทำงานจนถึงเวลากลับก็จะมาที่เรือนทันที น้อยครั้งที่จะอยู่กินดื่มกับใคร แต่เมื่อวานเขากลับถึงเรือนในเวลาค่ำมืด เมื่อเธอถามสามีก็บอกว่าไปดื่มชากับขุนนางอีกหลายคน
ตอนนั้นเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว เกรงว่าขุนนางที่ดื่มชากับเขาเมื่อวานคงเป็นขุนนางเหล่านั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะ ทว่าไม่กล่าวอันใด
ในอดีตเขาไม่มีอำนาจ ไม่ว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากทำสิ่งใดเขาก็ไม่สามารถสนับสนุนได้ ทำได้เพียงห้ามหญิงสาวไว้ แต่ตอนนี้เขามีอำนาจแล้ว ไม่ว่าภรรยาอยากทำอะไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง
เขายื่นมือไปบีบแก้มของหญิงสาวพลางกล่าว “ถ้ามีอะไรที่เจ้าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพียงแค่บอกข้าเท่านั้น”
“ดีขนาดนั้นเลยหรือ” ดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่เป็นประกาย
เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนับสนุนการทำกิจการของเธอด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ ตอนที่อยู่ในเมืองผิงหยาง เธอเปลืองน้ำลายเกลี้ยกล่อมเขาเป็นอ่างถึงทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนยอมให้เปิดร้านซู่ยวี่เซวียน
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “อือ ข้าก็ดีแบบนี้มาตลอด”
เสวี่ยเจียเยว่พูดอะไรไม่ออก นี่จะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว
ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยประชดประชันหยอกล้อเขาอยู่นั้น จู่ๆ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้ากระซิบข้างหูเธอแล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“ข้าดีขนาดนี้ เจ้าคิดจะตอบแทนข้าอย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าการตอบแทนในที่นี้หมายถึงสิ่งใด
เธอหมุนตัวคิดจะวิ่งไปที่ประตู ทว่าได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะเบาๆ และแขนข้างหนึ่งของเขาโอบกอดเธอจากด้านหลัง ในที่สุดหญิงสาวก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของสามี
การขัดขืนย่อมไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน เสวี่ยหยวนจิ้งหมุนตัวภรรยาให้หันหน้ามาหาเขา จากนั้นก็สอดแขนทั้งสองข้างไปที่ใต้รักแร้ของอีกฝ่าย ก่อนจะยกร่างบอบบางขึ้นนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ
ยามนี้ทั้งสองคนอยู่ในห้องหนังสือของเสวี่ยหยวนจิ้ง บนโต๊ะเขียนหนังสือมีกระบอกใส่พู่กันสีขาว กระดาษ หินฝนหมึก ที่วางพู่กัน และตำราสองเล่ม เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งจะยืนเขียนอักษรตรงนี้ แต่ตอนนี้เขายื่นมือไปปัดกระดาษออกไปด้านข้าง
เสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำสิ่งใดได้อย่างไร ใบหน้างดงามของเธอแดงก่ำ ขณะเดียวกันก็ใช้มือผลักหน้าอกของเขาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่ามีเสน่ห์ยิ่งนัก
“อย่าทำตรงนี้ ไปที่เตียงดีกว่า”
ใต้หน้าต่างทิศใต้ในห้องหนังสือมีเตียงตั้งอยู่ ซึ่งเสวี่ยหยวนจิ้งใช้เอนกายพักผ่อนเมื่อตอนที่เขาอ่านตำราหรือจัดการกับงานจนเหนื่อย อีกทั้งบนเตียงนั้นยังปูด้วยผ้านวม
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ฟัง กลับก้มหน้าลงจูบแก้มแดงเรื่อของเสวี่ยเจียเยว่ทันที
ทั้งสองคนแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว เรื่องสำราญใจเช่นนี้ก็ทำมาแล้วหลายครั้ง กระทั่งให้กำเนิดลูก แต่ทุกครั้งที่ทำเรื่องเช่นนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังเขินอายอยู่ดี
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าหญิงสาวเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เขาชอบท่าทางเขินอายของภรรยามาก ยิ่งอีกฝ่ายเรียกเขาว่าท่านพี่ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะอ่อนหวานและสั่นกระเส่า เขายิ่งชอบมากขึ้น
“ไม่ไป” เพราะเริ่มเกิดอารมณ์ปรารถนา เสียงของเขาจึงแหบแห้งโดยไม่รู้ตัว “ครั้งก่อนข้าก็เคยทำอยู่บนเตียงแล้ว แต่บนโต๊ะเขียนหนังสือยังไม่เคย วันนี้พวกเราจะลองกันตรงนี้”
เสวี่ยเจียเยว่ถึงกับพูดไม่ออก นี่เขาหมายความว่า ไม่ว่าตรงไหนก็ต้องลองสักครั้งอย่างนั้นหรือ ช่วยรักษาภาพลักษณ์ได้หรือไม่
เสวี่ยหยวนจิ้งมักจะหน้าไม่อายกับเรื่องนี้ ถึงเสวี่ยเจียเยว่จะพูดเช่นไร สุดท้ายเขาก็รั้งเธอไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือไม่ยอมให้ไป
เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตูห้องหนังสือ ก็เป็นเวลาจุดตะเกียงแล้ว
ในฤดูร้อนเป็นช่วงที่ท้องฟ้ามืดช้าที่สุด ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าพวกเขาสองคนใช้เวลาในห้องหนังสือนานแค่ไหน
เนื่องจากประตูห้องหนังสือปิดอยู่ ฉ่ายผิงจึงไม่กล้าไปรบกวนพวกเขา นางทำอาหารเสร็จนานแล้ว และอุ่นอยู่ในหม้อตลอด เมื่อนางเห็นว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินออกมาจากห้องหนังสือ ฉ่ายผิงจึงรีบยกอาหารไปไว้บนโต๊ะในห้องโถง
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่นั่งลงกินข้าว เสวี่ยเสี่ยวก็หลับไปแล้ว นางกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องทิศตะวันตกโดยมีสาวใช้คอยดูแล
เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการถูกเสวี่ยหยวนจิ้งปรนเปรอ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง
และเขาดูเหมือนจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทั้งที่ตอนนี้งานในราชสำนักยุ่งมาก แต่เรื่องเช่นนั้นเขายังคงเป็นมังกรที่ว่องไวและพยัคฆ์ที่ดุร้ายอยู่ดี
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่คิดมาถึงตรงนี้ ก็ถลึงตาใส่สามีอย่างอดไม่ได้
ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาหลายปี เสวี่ยหยวนจิ้งมักใส่ใจเสวี่ยเจียเยว่เสมอ ดังนั้นแค่เห็นสายตาของภรรยา เขาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
เขากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าเพิ่งอายุยี่สิบหกปี เป็นช่วงที่มีกำลังวังชามากที่สุด เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อม”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า ‘ผู้ชายคนนี้มันหน้าไม่อายเกินไปแล้ว’
เธอขบฟันกรอด ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “ท่านมันบ้าคลั่งเท่านั้น พอท่านอายุสามสิบหกปี ข้าคิดว่าท่านคงไม่กล้าพูดเช่นนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะเบาๆ “ต่อให้ข้าอายุห้าสิบหกปี ข้าก็กล้าพูดเช่นนี้”
ไม่ไหวแล้ว… หน้าหนาจริงๆ คนคนนี้ เธอขอยอมแพ้ดีกว่า
เสวี่ยเจียเยว่วางตะเกียบลงและบอกให้ฉ่ายผิงยกน้ำอุ่นไปที่ห้องอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำแล้วเธอก็รีบเข้านอน
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่คงเหนื่อยจริงๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งมองใบหน้างดงามของภรรยา เมื่อคิดว่าพวกเขาจะนอนกอดกันหลับไปเช่นนี้ทั้งชีวิต ทั้งหัวใจก็รู้สึกอบอุ่น
เขาก้มหน้าลงจูบคิ้วของเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นก็หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันต่อมา เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไปที่หอสมุดหลวงแล้ว เธอล้างหน้าบ้วนปากและไปหาเสวี่ยเสี่ยว เห็นนางฝึกเดินอยู่ในลานเรือน โดยมีสาวใช้คอยดูแลอยู่ข้างๆ
นางสวมชุดสำหรับฤดูร้อนที่ทำจากผ้าโปร่งสีชมพู ผมของนางถักเปียสองข้าง แสงแดดยามเช้าตกกระทบลงบนร่างของนาง ราวกับเทพธิดาน้อยที่ลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ นางก็เดินเตาะแตะไปหามารดา เสวี่ยเจียเยว่จึงย่อตัวลงกางแขนออกรอลูกสาวอยู่ตรงนั้นอย่างอดทน
เสวี่ยเสี่ยวดีใจมาก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มของคนที่สนิทสนมที่สุด
นางโผเข้าสู่อ้อมกอดของเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม เสวี่ยเจียเยว่อุ้มลูกสาวเอาไว้ จากนั้นก็จูบลงบนใบหน้าขาวเนียนที่อ่อนนุ่มของนาง
ตอนนี้เสวี่ยเสี่ยวอายุหนึ่งปีแล้ว จึงพอมองออกว่าใบหน้าของนางเหมือนใคร ซึ่งเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้งมากกว่า
ไม่รู้ว่าใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นอย่างไรตอนยังเด็ก เขาจะชอบยิ้มเหมือนเสวี่ยเสี่ยวหรือไม่ ในเวลานั้นหากมารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเขาก็คงดีกว่านี้ คงไม่ต้องทนทุกข์กับความลำบาก แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไร เพราะตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว เขาดูอ่อนโยนมากขึ้น ไม่มีความโหดเหี้ยมอีกต่อไป และมีรอยยิ้มบนใบหน้าบ่อยขึ้น
เสวี่ยเจียเยว่กอดเสวี่ยเสี่ยวไว้ในอ้อมแขน และถามสาวใช้ว่าเมื่อคืนนางนอนเป็นอย่างไร ได้ร้องโวยวายกลางดึกหรือไม่ ในใจก็รู้สึกผิดอยู่มาก
ตั้งแต่เกิดมา เสวี่ยเสี่ยวนอนกับเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งมาโดยตลอด แต่ช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับเรื่องที่ดินผืนนั้น ส่วนเสวี่ยเสี่ยวก็นอนดิ้นจึงมักจะถีบเธออยู่บ่อยครั้ง หลังจากเสวี่ยเจียเยว่กลายเป็นแม่คน พอได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตื่นทันที ดังนั้นตอนกลางคืนจึงนอนไม่พอ พอตอนกลางวันก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร ช่วงนี้จึงให้เสวี่ยเสี่ยวนอนกับสาวใช้ไปก่อน
สาวใช้ยิ้มตอบ “เมื่อคืนนางตื่นขึ้นมาหนึ่งครั้ง ร้องไห้อยากเจอท่าน บ่าวป้อนน้ำให้นาง กล่อมนางอยู่ครู่หนึ่งจนนางหลับไป”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า ก่อนจะอุ้มเสวี่ยเสี่ยวกลับห้อง
ฉ่ายผิงวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะแล้ว มีไข่ตุ๋นอยู่หนึ่งชาม เสวี่ยเจียเยว่หยิบช้อนคันเล็กขึ้นมาป้อนให้เสวี่ยเสี่ยวกินทีละคำ
สองแม่ลูกกินข้าวเช้าด้วยกัน หลังจากเล่นอยู่บนเตียงไม้ริมหน้าต่างพักหนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่ก็ส่งเสวี่ยเสี่ยวให้สาวใช้ สั่งให้นางดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด ส่วนตนก็พาฉ่ายผิงกับกวนเหยียนเดินทางไปยังที่ดินที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง
[1] คือหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น