บทที่ 176: เคล็ดวิชาตรึงวิญญาณสามชั้น

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 176: เคล็ดวิชาตรึงวิญญาณสามชั้น

ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป การเรียนการสอนจะถูกงดเป็นเวลาสองวันเพื่อทำความสะอาดหอบรรพบุรุษ

เหล่าอาจารย์ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำความสะอาดด้วยตัวเอง ภาคการศึกษาเพิ่งเริ่มขึ้นและชั้นเรียนก็ถูกงดเพื่อจัดระเบียบหอบรรพบุรุษสำหรับคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักฝึกตนแห่งแรกเลยแม้แต่น้อย มันจึงเป็นธรรมดาที่จะสิ่งเหล่านี้จะตกอยู่ในความรับผิดชอบของสภานักเรียน เหล่าอาจารย์มีหน้าที่เพียงช่วยวางแผนและกำกับการดูแลการทำความสะอาดและการเตรียมการเท่านั้น

“ทำไมมันถึงยุ่งยากนัก?” เวลา 09.00 น. อาจารย์ผู้สอนทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ห้องบรรยาย หลี่เทาเองก็อยู่ที่นั่นด้วย หน้าจอ LED ด้านหลังของเขาฉายภาพขนาดใหญ่และข้อความจำนวนมาก ทว่าผู้ที่กำลังพูดกับผู้ฟังทั้งหมดหลี่เทา แต่เขาคือชายร่างผอมที่กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะบรรยาย

เขาพูดถึงเนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียด และมันก็เป็นเวลา 11.00 น.ที่เลขาธิการคนแรกของคณะกรรมาธิการของมณฑลส่งยิ้มบางให้กับผู้ฟังทั้งหมด “ผมขอขอบคุณทุกท่านมาก พวกเราเพียงรับคำสั่งมาจากเบื้องบน ด้วยลักษณะพิเศษของสำนักแห่งนี้ มันคงไม่สะดวกนักที่จะให้คนอื่นเข้ามารับผิดชอบการจัดการทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงต้องรบกวนพวกคุณในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของการเมืองน่ะครับ”

หลังจากเอ่ยจบ เขาก็โค้งทำความเคารพคนทั้งหมดด้วยรอยยิ้มและจากไป

ภายในห้องบรรยายถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ อาจารย์คนหนึ่งถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและเอ่ยว่า “ใครจะเป็นคนจัดการเรื่องพิธีศพพวกนี้? พิธีการพวกนั้นยุ่งยากไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือ?”

ทั่วทั้งห้องบรรยายดังกระหึ่มด้วยเสียงพูดคุยทันที มันเหมือนกับว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่เป็นการง้างไกปืนไม่มีผิด แม้แต่ฉินเย่ก็อดหางตากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อไล่สายตาอ่านข้อกำหนดบนหน้าจอ

พวกเขาต้องทำพิธีบรรจุศพเป็นเวลาสามวันเต็ม และสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือมันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมโบราณ มีขั้นตอนบางอย่างที่ดูแปลกตาสำหรับเขาแม้ว่ามันจะอยู่ในยุคสมัยที่เขาเกิดก็ตาม

“ทุกท่าน” หลี่เทาลุกขึ้นยืนและประสานกำปั้นและฝ่ามือก่อนจะเอ่ยว่า “กรุณาอยู่ในความสงบ สำนักฝึกตนแห่งแรกของเราไม่ใช่หน่วยงานอิสระ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม หากพูดกันตามจริง แม้แต่ศูนย์วิจัย SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษเองก็ยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น”

“ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่สำนักฝึกตนแห่งแรก หรือสำนักสาขาที่อาจจะถูกก่อตั้งขึ้นในภายภาคหน้าจะสามารถดำเนินการโดยแยกจากหน่วยงานอื่น ๆ ของชาติได้” เขาวาดวงกลมด้วยมือ

เอ่ยต่อว่า “ลองยกตัวอย่างเช่น พวกคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณเดินทางไปยังสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติการหรือฝึกงานอื่น ๆ ในขณะที่พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับรัฐบาลท้องถิ่นของที่นั่น? คุณคิดว่าพวกเขาจะยอมให้พวกเราเข้าถึงข้อมูลการสืบสวนของพวกเขาหรือยอมให้เราระดมพลกองกำลังของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถึงแม้ว่าทั้งศูนย์วิจัย SRC หรือหน่วยสอบสวนพิเศษจะได้รับอำนาจโดยตรงจากรัฐบาลกลาง แต่มันก็อาจเป็นปัญหาได้หากรัฐบาลท้องถิ่นไม่ยอมให้ความร่วมมือ

ตราบใดที่คุณไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลท้องถิ่น พวกเขาก็สามารถขัดขวางคำขอใด ๆ ในข้ออ้างที่ว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการทุกอย่างอาจช้าลง 10-15 วัน แต่หากคุณมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา คำร้องขอของคุณก็อาจจะได้รับการยืนยันหรืออนุมัติภายในพริบตา

เห็นได้ชัดว่าตาแก่สองคนนี้มีทั้งความยืดหยุ่นและจริงจังกับงานมาก

“ทำไมตาแก่พวกนี้ถึงยังไม่ตายกัน?” ฉินเย่ลูบคางอย่างละโมบขณะที่พึมพำเสียงเบา “พวกคุณกล้ากางปีกของตัวเองในสถานที่ที่เล็ก ๆ อย่างสำนักฝึกตนแห่งแรกได้…ผมยังมีที่ดินว่างเปล่าอีกมากมายที่กำลังรอให้เจ้าของคนใหม่ไปอยู่อยู่นะ…บอกตามตรงว่าผมอยากจะให้พวกคุณเลือดออกในสมองตาย และเข้าสู่ชีวิตหลังความตายโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด! ถึงตอนนั้นผมจะเตรียมเสลี่ยงรอรับพวกคุณหน้าประตูนรกเลยล่ะ…”

หลี่เทาไม่รู้เลยว่าหนึ่งในอาจารย์ผู้สอนกำลัง “อวยพร” ให้เขาอยู่ ชายสูงวัยกระแอมเบา ๆ เมื่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ผมจะส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องลงไปในกลุ่มแชทของอาจารย์ อย่าลืมดาวน์โหลดและอ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียด พิธีอำลาจะถูกจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ที่หอบรรพบุรุษ สำหรับคืนนี้…”

เขาเหลือบตามองโจวเซียนหลง และโจวเซียนหลงก็เอ่ยต่อประโยคสุดท้าย “อาจารย์ฉินจะเป็นผู้เฝ้ายามในคืนนี้”

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นและพยักหน้าอย่างไม่พอใจนัก

หลังจากนั้นการประชุมของเหล่าอาจารย์ผู้สอนก็จบลงในที่สุด ฉินเย่ดาวน์โหลดเอกสารทั้งหมดที่หลี่เทาส่งมาให้ในระหว่างทางกลับ ทั้งหมดมีขนาดหลายร้อยเมกะไบต์ เด็กหนุ่มไล่อ่านทั้งหมดขณะเดินกลับห้อง เมื่อถึงที่หมายเขาก็รีบปิดประตูและล็อกมันก่อนจะหันหน้าไปหาอาร์ทิสด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “โจวเซียนหลงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือไม่?”

“นั่นเป็นไปไม่ได้” อาร์ทิสกดปุ่มหยุดและเอ่ยตอบ “ยมทูตครึ่งคนครึ่งแมงมุมที่เจ้าเจอเมื่อคืนมาจากอาร์โกส สถานที่ซึ่งหนึ่งในสี่ยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งอยู่ ตามตำนานกล่าวว่าแมงมุมถูกสร้างขึ้นเมื่ออารัคเน สาวทอผ้า ท้าทายเทพีอะธีน่าและกลายเป็นแมงมุมไปในที่สุด นางถูกเทพีอะธีนาขับไล่ออกจากเอเธนส์เมื่อนานมาแล้วและมันก็ไม่แน่ชัดว่านางไปสวามิภักดิ์ให้กับยมโลกแห่งใดกันแน่ หากยมทูตครึ่งคนครึ่งแมงมุมตนนั้นเป็นตัวแทนของมัจจุราชแห่งยมโลกที่การ์มจากมาจริง ๆ นางก็คงไม่หวาดกลัวการ์มเช่นนั้น”

“และอาณาเขตเวทที่เจ้าเหยียบเข้าไปก็คือสิ่งที่ข้าเคยเห็นมาก่อน มันคือคำสาปแห่งความเงียบงันจากในหนังสือแห่งความมืดและแสงสว่าง อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตแห่งนี้จะถูกลบร่องรอยทั้งหมดทิ้ง ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางตรวจจับถึงความผิดปกติได้แน่ แม้ว่าสายเลือดของอารัคเนจะไม่ได้พิเศษมากนัก แต่พวกนางก็ยังมีสายเลือดที่สูงส่งไหลเวียนอยู่ โจวเซียนหลงอาจจะประสาทสัมผัสไวต่อการผันผวนของอากาศรอบข้าง แต่เขาไม่สามารถค้นพบความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้อย่างแน่นอน”

“ท่านแน่ใจหรือ?” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง

“ข้าแน่ใจ!” อาร์ทิสตอบอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังดูถูกคู่ต่อสู้อยู่? ยมโลกของจีนอาจจะแข็งแกร่ง แต่มันจะเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงหากคิดว่ายมโลกแห่งอื่นเป็นเพียงแมวน้อยตัวหนึ่ง!”

นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกมันมีความเชี่ยวชาญในด้านของตัวเอง ศาสตร์แห่งนรก และระบบป้องกันศักดิ์สิทธิ์ การมีอยู่ของพวกมันอาจเป็นภัยน้อยกว่าตี้ทิงด้วยซ้ำ แต่…การที่พวกมันปรากฏขึ้นในตอนนี้ ถือว่าน่าสะพรึงกลัวกว่าตี้ทิงมาก!”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก และอาร์ทิสเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่นางเพิ่งพูดออกมาก็ได้บอกอะไรเขาในหลาย ๆ อย่าง

ใช่แล้ว…การปรากฏตัวของยมทูตนอกอาณาเขตหมายถึง…ยมโลกแห่งอื่นเริ่มกำลังทดสอบการมีอยู่ของยมโลกของจีนอยู่!

เช่นเดียวกันกับที่พันธมิตรแปดชาติเมื่อหลายปีที่ผ่านมา นี่เองก็เป็นการสอบสวนแบบลับ ๆ!

มันเป็นเหมือนกับใบมีดที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้ากำมะหยี่

“นี่คือรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมทั้งหมด ท่านลองอ่านดู” ฉินเย่โยนโทรศัพท์ของตนให้กับอาร์ทิสหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

นางไล่ดูเนื้อหาทั้งหมดขณะที่ฉินเย่เอ่ยสรุปโดยย่อว่า “โลงแช่แข็งของกู่ชิงจะมาถึงพรุ่งนี้ ส่วนพวกพิธีกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในพิธีบรรจุศพจะถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันหลังจากนั้น ข้าได้รับหน้าที่ให้เฝ้ายามในตอนกลางคืน และข้าก็มั่นใจมากว่ายมทูตนอกอาณาเขตพกนั้นจะต้องเคลื่อนไหวในตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังมีผู้ว่าราชการมณฑลอย่างน้อยสองท่าน ผู้นำเมืองสิบท่าน ศาสตราจารย์ขั้นยมทูตขาวดำของทางสำนักและโจวเซียนหลงก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้นด้วย…ท่านคงเข้าใจว่าข้าหมายถึงอะไร”

อาร์ทิสพยักหน้าขณะไล่อ่านรายละเอียดทั้งหมด

ปกปิดอำพรางและซ่อนเร้น

ยมทูตทุกตนล้วนต้องใช้ควันหรือกระจกในการเคลื่อนไหวภายใต้จมูกของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกอย่างโจวเซียนหลง และมันก็ร่วมถึงตัวของฉินเย่ด้วยเช่นกัน

การผิดพลาดเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เขาถูกเปิดโปงได้ และนั่นก็หมายถึงจุดจบของการเข้าถึงขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์

อาร์ทิสยังคงอ่านรายละเอียดทั้งหมดต่อไปและมันก็ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนที่นางจะวางโทรศัพท์ลงในที่สุด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเคร่งขรึมกว่าเดิม “มีฝีมือยิ่งนัก”

“หืม?”

“ผู้ที่ออกแบบหอบรรพบุรุษนั้นมีฝีมืออย่างไม่น่าเชื่อ เขาอาจจะเป็นผู้ที่เกือบก้าวเข้าสู่ขั้นตุลาการนรกหรือไม่ก็ถึงแล้วเป็นแน่ นอกจากนี้…เขายังรู้เรื่องเกี่ยวกับยมโลกแห่งเดิมอีกด้วย จำนวนผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้มีเพียงไม่ถึงหยิบมือเท่านั้น” นางชี้นิ้วไปที่ภาพของโลงศพในหน้าจอโทรศัพท์ “เจ้าลองดูนี่”

มันคือภาพมุมบนของโลงศพ รายละเอียดทั้งหมดถูกออกแบบอย่างงดงามด้วยรูปแกะสลักของคาโนปัส เทพแห่งการมีอายุยืนยาและผลแห่งความเป็นอมตะของเขา [2] ภาพแกะสลักเผยให้เห็นรูปของชายชราผู้มีเครายาวกำลังยืนเอนหลังผิงอยู่กับต้นท้อ โดยต้นท้อนั้นมีขนาดไปตามแนวยาวของโลงศพ และมีลูกท้อหกลูกอยู่บนต้น ในขณะที่ในมือของเทพคาโนปัสมีลูกท้อลูกที่เจ็ดอยู่ในมือ

“นี่มัน…” ฉินเย่ขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น “กลุ่มดาวหมีใหญ่?”

ลูกท้อทั้งหมดดูเข้ากับภาพแกะสลักบนโลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่โดดเด่นออกมาก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันถูกจัดวางได้อย่างสมบูรณ์แบบ…เกินไป

อาร์ทิสยิ้ม “ใช่ นี่คือเจ็ดดาราสลักวิญญาณหนึ่งในวิธีการที่ยมโลกแห่งเก่าใช้ หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง มันจะต้องมีตะปูสีชาดถูกตอกอยู่ภายในโลงศพบริเวณเท้าของเขาเป็นแน่ นอกจากนี้มันจะต้องมีหยกถูกใส่ไว้ในปากของเขาด้วย [3] มันคือหยกตรึงวิญญาณ การรวมกันของสามองค์ประกอบนี้คือเคล็ดวิชาตรึงวิญญาณสามชั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในยมโลกแห่งเดิม เจ้าสามารถอ่านเกี่ยวกับเคล็ดวิชานี้ได้จากบันทึกพิธีศพและพิธีกรรมในสมัยราชวงศ์ถัง ซ่ง หยวน และหมิง”

“มันมีประโยชน์อะไร?”

อาร์ทิสยิ้ม “มันมีประโยชน์หลายอย่างเชียวล่ะ…มันจะทำให้เจ้าได้เปรียบเมื่อเจ้าต้องเผชิญหน้ากับยมทูตนอกอาณาเขต…ต่อให้เป็นเจ้าพวกนั้นก็คงไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็นการปรากฏขึ้นอีกครั้งของเคล็ดวิชาตรึงวิญญาณสามชั้นหลังจากที่มันหายไปหลายศตวรรษแล้วเป็นแน่”

นางไม่ปล่อยให้ฉินเย่ต้องลุ้นอีกต่อไป อาร์ทิสอธิบายต่อว่า “พิธีกรรมนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางของสมัยราชวงศ์ฮั่น [4] และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่จีนได้เผชิญกับการบุกรุกของยมทูตจากยมโลกแห่งอื่น…อะนูบิส เทพเจ้าแห่งความตายของไอยคุปต์ ส่งกองกำลัง 140 ล้านตนมุ่งหน้ามาจากไคโร ข้ามคลองสุเอซ ผ่านคาบสมุทรไซนาย ลัดเลาะไปตามตะวันออกกลางและหยุดลงเมื่อถึงอิสลามาบัด”

ฉินเย่อ้าปากค้าง จากอิสลามาบัดอยู่ห่างจากชายแดนจีนแค่พื้นที่ของดินแดนแคชเมียเท่านั้น! สงครามระหว่างยมโลกนี่น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “100 ล้านอาจจะไม่ใช่เลขที่มากนัก เพราะปัจจุบันนี้ยมโลกส่วนใหญ่ก็มีกองกำลังหลาย 100 ล้านตนอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพวกมัน แต่ตอนนี้พวกเรากำลังพูดถึงหลายพันปีที่แล้ว กองกำลัง 100 ล้านตนในตอนนั้น…มันเป็นจำนวนที่สามารถกลบท้องฟ้าและปฐพีได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าพวกมันผ่านไปที่ใด สถานที่แห่งนั้นจะกลายเป็นเพียงเมืองผีไปในชั่วพริบตา”

“และมันก็คงจะเป็นช่วงเวลานั้นที่อะนูบิสได้ตระหนักถึงพลังอำนาจของยมโลกจีน เขาไม่กล้าที่จะบุกเข้ามา แต่กลับเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามกองโจรกับท่านเจ้านรกเป็นเวลา 147 ปี หมายที่จะแย่งชิงวิญญาณระดับสูงไปเป็นของตนเอง ส่งผลให้นรกขาดผู้มีความสามารถ….”

“น่าเสียดาย ขณะที่พวกมันกำลังออกจากฐานทัพที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดของตัวเอง พวกเราไม่สามารถแย่งชิงวิญญาณระดับสูงของพวกมันมาได้ นั่นทำให้พวกเราเสียเปรียบเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเราคิดค้นเคล็ดวิชาตรึงวิญญาณสามชั้นขึ้นมา เราถึงสามารถพลิกสถานการณ์ได้ในที่สุด” อาร์ทิสถอนหายใจออกมา

นางพูดต่อว่า “เคล็ดวิชานี้จะตรึงวิญญาณไว้เป็นเวลาเจ็ดวัน และวิญญาณดวงนั้นจะสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อผ่านเจ็ดวันไปแล้วเท่านั้น หากยมทูตนอกอาณาเขตตั้งใจที่จะแย่งชิงมันไป…”

นางสบตากับฉินเย่ “พวกมันจะต้องเปิดฝาโลง ดึงตะปูสีชาด และนำหยกตรึงวิญญาณออกจากปากของศพเสียก่อน แต่ทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งที่มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถสัมผัสมันได้ พวกยมทูตไม่มีทางสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตนเอง!”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที

อาร์ทิสเลียริมฝีปากของตนเองและเอ่ยเสียงเย็น “ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ยมทูตนอกอาณาเขตที่เข้ามาในจีนจำเป็นจะต้องเข้าสิงร่างของผู้อื่นเนื่องจากพวกมันอาจจะถูกปฏิเสธโดยกฎแห่งอาณาเขต เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อหรือไม่?”

ฉินเย่ตบหน้าตักของตัวเอง

เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว! เป็นเช่นนี้นี่เอง!

“ข้าเข้าใจแล้ว…” เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบ ๆ ขณะที่จัดระเบียบความคิดมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในหัว จากนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า “เงื่อนไขแรก”

อาร์ทิสยิ้มและผายมือเชิญเขาพูดต่อ

ฉินเย่เอ่ยต่อ “ยมทูตไม่สามารถถูกมนุษย์ตรวจพบได้ในขณะที่อยู่ในสถานะยมทูต แต่มนุษย์ก็ยังสามารถระบุตำแหน่งของพวกเขาได้หากพวกเขาเข้าสู่สถานะยมทูตในขณะที่อยู่ในแดนมนุษย์ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะเข้าสู่สถานะยมทูตในแต่ละครั้ง หรือต่อให้มันจำเป็นจริง ๆ เราก็ต้องปกปิดร่องรอยนั้นจากโจวเซียนหลงให้ได้”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นพยักหน้า “ถูกต้อง หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็ทำแบบเชาโยวเต๋า ซึ่งก็คือการคงอยู่ในสถานะยมทูตตลอดไป เพื่อที่จะไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา เจ้าคือยมทูตที่ยังมีชีวิต คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์จีน และข้าก็สามารถใช้ร่างของเจ้าได้ โจวเซียนหลงจะต้องตรวจพบถึงการมีอยู่ของเราและระบุตำแหน่งของเราทันทีที่เราเข้าสู่สถานะยมทูต”

“แต่พวกนั้นเองก็เช่นกัน!” ฉินเย่เอ่ยเสริมอย่างรวดเร็ว

[1] ใช้เพื่อรักษาศพระหว่างการเดินทาง

[2] กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซิ่วหรือโซ่ว จากฮก ลก ซึ่ว หรือซานซิง (ดาวสามดวง) สัญลักษณ์แทนความมงคลสามประการของจีน

[3] ผู้แปลจำได้ว่าในตอนก่อนหน้านี้ผู้ประกาศข่าวได้รายงานว่ากู่ชิงจะถูกเผาก่อนแล้วจึงถึงเถ้ากระดูกมาฝังที่นี่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ประกาศข่าวจะรายงานข่าวปลอมเพื่อปกปิดแผนการที่แท้จริงเท่านั้น

[4] 202ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง คริสต์ศักราชที่ 220