บทที่ 177: การปะทะที่หอบรรพบุรุษ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 177: การปะทะที่หอบรรพบุรุษ

“หากพวกเขาต้องการจะแย่งวิญญาณกู่ชิง พวกเขาจะต้องเข้าสิงร่างของพวกนักเรียน! นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเย่ซิงเฉินถึงถูกโจมตี! พวกเขาตั้งใจที่จะเข้าสิงร่างของเขา แต่พวกเรามาถึงทันเวลา ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำสำเร็จ! แต่มันก็หมายความว่านักเรียนบางคนคงจะถูกสิงไปแล้ว! ทุกอย่างเริ่มสมเหตุสมผลแล้ว…กู่ชิงเสียชีวิตไปด้วยอาการป่วย และเขาได้ทิ้งคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายเอาไว้ก่อนที่จะจากไป และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้ยมทูตพวกนั้นรู้ว่าเขาจะถูกฝังอยู่ที่นี่…”

ฉินเย่หรี่ตาและกวาดสายมองไปรอบ ๆ วิทยาเขตของสำนัก “อีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นไปได้ที่นักเรียนบางคนจะถูกสิงตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่แล้ว และยมทูตที่ทำร้ายเย่ซิงเฉินก็ทำเพราะว่าเขาได้รับข่าวสารช้ากว่ายมทูตตนอื่น นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงค้นพบตัวอีกฝ่ายได้”

เขาโชคดี

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเขาคิดถึงเรื่องพวกนี้ หากไม่ใช่เพราะยมทูตนอกอาณาเขตตนนี้มาถึงช้า เขาก็คงไม่รู้เลยว่ามียมทูตหลายตนที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก!

“ดังนั้น หากพวกเขาเคลื่อนไหวแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาจะต้องถูกพบโดยโจวเซียนหลงแน่ ๆ แต่ถ้าพวกเขาไม่ลงมือ ข้าก็จะสามารถเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของกู่ชิงได้อย่างแน่นอน!”

การมีอยู่ของโจวเซียนหลงเป็นเหมือนกับดาบที่เล็งมาที่ฉินเย่ แต่ในเวลานี้ มันกลับเป็นเหมือนกับดาบของเดโมคลีสที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของยมทูตทุกตน!

ต่อหน้าของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก ผู้ใดก็ตามที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรก ผู้นั้นต้องตาย!

ยิ่งไปกว่านั้น ฟิวส์ที่ไม่สามารถแยกออกได้ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้จะสว่างขึ้นทันทีที่ยมทูตนอกอาณาเขตตนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว การปะทุของพลังหยินของอีกฝ่ายจะต้องดึงความสนใจจากพวกที่อยู่โดยรอบ และนั่นก็จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับเขา….

ฉินเย่กับอาร์ทิสมองหน้ากันและเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง” [1]

ไม่เพียงแต่วิญญาณของกู่ชิงเท่านั้นที่เขาจะเก็บเกี่ยวไป เขาตั้งใจจะทำให้ยมทูตนอกอาณาเขตพวกนี้ทิ้งชีวิตของพวกตนไว้ที่นี่อีกด้วย!

นี่คือยมโลกของจีน ต่อให้มันจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ความรุ่งโรจน์ของมันจะต้องไม่มีวันถูกทำลาย!

“ตราบใดที่เจ้าสามารถแยกแยะได้ว่าร่างต้นที่ยมทูตพวกนั้นเข้าสิงอยู่คือใคร ข้าก็สามารถรับรองได้เลยว่าพวกมันจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้โดยที่ยังมีชีวิต” อาร์ทิสหัวเราะอย่างน่ากลัว

ทว่าฉินเย่กลับส่ายศีรษะและขมวดคิ้วยุ่ง “นั่นมันยุ่งยากเกินไป ไม่ใช่แค่นักเรียน แต่ยังมีพวกเลขาธิการและข้าราชการจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ติดตามหัวหน้าของพวกเขามาที่นี่ด้วย ยากมากกว่าเราจะหาร่างนั้นเจอได้ แต่ว่า…ทั้งหมดนี้สำคัญจริง ๆ หรือ?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางถึงตระหนักได้ว่าฉินเย่กำลังหมายถึงอะไร

“นั่นสิ…มันไม่สำคัญ” นางเอ่ยขณะที่มองไปยังวิทยาเขตที่เวลานี้มีแสงแดดจ้า “มันไม่สำคัญเลยว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไร หรือมาจากที่ไหน แต่มันทั้งหมดจะต้องเผยร่างจริงออกมาแน่ เมื่อถึงตอนที่พวกมันต้องการเก็บเกี่ยววิญญาณของกู่ชิง”

นางหันกลับไปหาเด็กหนุ่ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพวกมันถึงรีบมาที่นี่”

ฉินเย่ส่ายหน้า

“เพราะว่าพวกมันต้องการมาสร้างอาณาเขตเวทไว้ที่นี่อย่างไรล่ะ พวกมันคงจะตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกขั้นตุลาการนรกตอนที่อยู่ในสำนักแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกมันจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้ เพื่อเตรียมพร้อมให้ทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด ด้วยวิธีนี้ ต่อให้พวกมันต้องยอมสละชีวิตในการต่อสู้ สหายของพวกมันก็จะสามารถเก็บเกี่ยววิญญาณของกู่ชิงไปได้อยู่ดี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงทำตัววุ่นวายตั้งแต่เมื่อคืนนี้…”

ฉินเย่พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น พวกเรา…”

“คิดว่านรกของเราไร้ผู้คนอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้นนิ่ง ๆ “หลังจากนี้ข้าจะวาดอาณาเขตเวทขึ้น จากนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือเดินไปรอบ ๆ พื้นที่รัศมี 500 เมตรรอบ ๆ หอบรรพบุรุษเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเห็บหมัดพวกนี้หัวหมุนไปสักระยะหนึ่งได้”

ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ท่านเป็นถึงตุลาการนรก แต่สิ่งเดียวที่ท่านทำได้กลับแค่ทำให้พวกเขาหัวหมุนเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่านั่นมันดูไม่เป็นมืออาชีพเกินไปหรอกหรือ?”

อาร์ทิสตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร? อาณาเขตเวททั้งหมดจะต้องได้รับการสนับสนุนโดยรากฐานของยมโลก ยมโลกแห่งเก่าได้จากไปแล้ว และยมโลกแห่งใหม่ก็ยังห่างไกลจากจุดที่มันควรจะเป็น ข้อเท็จจริงที่ว่าข้าสามารถทำให้พวกมันหัวหมุนได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว!”

สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจัดการเองอยู่ดีใช่ไหม?

ฉินเย่รู้ดีเกินกว่าที่จะถาม ดังนั้นเขาจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้าเช่นนั้น…ท่านจะลงมือเมื่อใด?”

อาร์ทิสจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับเห็นผี แม้แต่นิ้วที่ชี้เข้าหาตัวของนางก็สั่นเทา “ข้าหรือ?!”

ฉินเย่ตอบกลับอย่างงุนงง “จะใครล่ะ?!”

จากนั้นคำตอบของอาร์ทิสก็หลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ “เช่นนั้นแล้วเจ้าล่ะทำสิ่งใด?! นักล่าวิญญาณอย่างเจ้า ต้องช่วยงานผู้เป็นตุลาการนรกอย่างข้าไม่ใช่หรือ? เจ้าจะมาหวังให้ข้าลงมือเองได้อย่างไร? เจ้านายจำเป็นจะต้องยืนอยู่ข้าง ๆ สระน้ำและทอดปลาที่เจ้าจับมาได้ราวกับพวกคนใช้อย่างนั้นหรือ?! เจ้าช่วยฉลาดให้เหมือนโคนันอย่างเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่ [2]?! เจ้าสรุปได้อย่างไรว่าข้าจะต้องเป็นผู้ลงมือในคืนนี้?! เจ้าเอ่ยคำพูดพวกนั้นออกมาได้อย่างไรกัน? อ่า…ข้ารู้แล้ว ในหัวเจ้า คิดแต่จะเอาตัวรอดคนเดียวใช่ไหม?

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นรีบสวนกลับอย่างทันควัน “อย่างที่ท่านเคยพูด…โคนันใช้มันสมองของเขาในการวิเคราะห์ทุกอย่าง แต่ท่านเคยเห็นเขาจับคนร้ายด้วยตัวเองหรือไม่? ในฐานะของตุลาการนรก ไม่ใช่ว่าท่านควรทำตัวให้เหมือนกับลุงโมริ [3] แล้วปกป้องเจ้านรกผู้อ่อนแอและบอบบางอย่างข้าหรอกหรือ?!”

“ไสหัวไปซะ!! จะทำหรือไม่ทำก็เลือกเอา!!”

ฉินเย่ถอนหายใจ “ท่านนี่มัน… ทั้ง ๆ ที่ท่านก็รู้ดีว่างานมันจะเสร็จเร็วขึ้น หากท่านเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง แล้วเกิดยมทูตพวกนั้นเห็นข้าแล้วฆ่าข้าล่ะ? ทางเลือกอื่น…ท่านพอจะมีทางเลือกอื่นที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของข้าบ้างหรือไม่?”

“แน่นอน” อาร์ทิสเดือดดาลเป็นอย่างมาก “ให้ข้าเข้าสิงและแย่งชิงร่างของเจ้าซะ แบบนั้นเจ้าก็จะไม่เจ็บไม่ป่วยอีกเลยตลอดชีวิต”

นี่เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างน่าตกใจและไร้เหตุผลสุด ๆ ไปเลย…

อาร์ทิสกลอกตา “หากพูดกันตรง ๆ เจ้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลด้วยซ้ำ ตราบใดที่พวกมันไม่ได้มีสมบัติของยมโลกของจริงอยู่กับตัว พวกมันก็ไม่มีทางที่จะสามารถแย่งดวงวิญญาณของกู่ชิงไปได้ และด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันในตอนนี้ อาณาเขตเวทที่พวกมันสามารถสร้างได้ก็เปราะบางจนแทบจะไม่สามารถทนการโจมตีเบา ๆ ได้ด้วยซ้ำ ความวุ่นวายเมื่อคืนเป็นเพียงการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถของศัตรู ที่ตั้งใจจะแย่งชิงวิญญาณกับพวกตนเท่านั้น”

“… แล้วถ้าพวกเขามีสมบัติของจริงล่ะ?”

“หึ…เจ้าจะรู้สึกว่าเลือดในกายของเจ้าเดือดอยู่ประมาณสามวินาที…จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก” อาร์ทิสเปิดแล็ปท็อปของตนอย่างเกียจคร้าน “ข้าต้องขอบอกเลยว่าพลังของนิสัยนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ…มีครู่หนึ่งที่ข้าคิดไปจริง ๆ ว่า ‘อ่า…แบบนี้แหละ คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะเป็น การวางตัวดูดีมีคุณธรรมก่อนหน้านี้ ไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด…’”

ท่วงทำนองของเพลงประกอบซีรีส์เริ่มบรรเลง และฉินเย่ก็เตรียมที่จะออกไปทานอาหารเที่ยง ทว่าขณะที่เขากำลังจะเปิดประตู เสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้นว่า “เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าคือเจ้าเหนือหัวคนใหม่ของยมโลก จงจดจำกฎของยมโลกเอาไว้ให้ดี ‘ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต’ ”

ฉินเย่ชะงักไปและถามกลับ “แล้วหากข้า…ไม่สามารถรักษากฎนี้ได้เล่า?”

อาร์ทิสยิ้มบาง “เช่นนั้น…เจ้าก็อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้เช่นกัน”

ให้ตายเถอะ…เขาว่าแล้วว่ามันต้องเป็นอะไรแบบนั้น!

เด็กหนุ่มปิดประตูลงอย่างแรงและลูบหน้าอย่างเจ็บปวดใจ

ทุกอย่างเริ่มอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ

อันตรายจากสิ่งที่ไม่รู้จัก และศัตรูในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จักเลยสักนิด อีกฝ่ายอยู่ขั้นเดียวกันกับเขา แต่กลับได้รับการสนับสนุนจากยมโลกของตนเอง แถมยังมีศาสตร์แห่งนรกและยังมีวัตถุหยินอีก และที่สำคัญที่สุด ฉินเย่ยังต้องปกปิดการต่อสู้ของเขากับยมทูตนอกอาณาเขตจากผู้ฝึกตนที่อยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกอีกด้วย!

ถ้ายอมทิ้งดวงวิญญาณของกู่ชิงล่ะ?

ดูเหมือนว่าจะสามารถทำได้ เพราะสุดท้ายแล้วกู่ชิงก็เป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่ง แต่หากเขาสามารถรักษาวิญญาณของกู่ชิงไว้ได้ มันก็จะเป็นการเสริมข้อบกพร่องของยมโลกในตอนนี้ได้อย่างมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของเขา มันก็ยังดูเป็นตัวเลือกที่สามารถตัดทิ้งได้อยู่ดี

แต่การทำแบบนี้ก็อาจทำให้ได้รับความตายที่เจ็บปวดได้

การปล่อยให้ยมโลกแห่งอื่นแย่งชิงดวงวิญญาณของกู่ชิงไปได้สำเร็จนั้นเทียบได้กับการยอมรับว่านรกไม่มีอำนาจที่จะสามารถต้านทานการรุกรานได้อีกต่อไป และอีกฝ่ายก็มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ

เช่นเดียวกับตอนที่เกิดสงครามฝิ่น[4]

ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้บนอาณาเขตของตนเอง และไม่มีฝ่ายใดที่สามารถถือได้ว่ามีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน แต่ถึงกระนั้น ผลกระทบจากการต่อสู้ในครั้งนั้นก็มากมายมหาศาล เนื่องจากแต่ละฝ่ายล้วนได้สร้างจุดเริ่มต้นของยุคมืดในจีนขึ้นมาด้วย

ฉินเย่เกิดในช่วงทศวรรษที่ 1930 และเขารู้ว่าประวัติศาสตร์ที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าการแย่งชิงวิญญาณของกู่ชิงไปจากจีนนั้นหมายความว่าอย่างไร ผลกระทบของมันไม่เพียงสิ่งผลต่อการขยายอำนาจของยมโลกเท่านั้นแน่

“พวกท่านช่วยปล่อยข้าไว้ตามลำพัง และให้ข้าพัฒนาเศรษฐกิจไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้หรือ…มันน่ารำคาญมากที่พวกท่านชอบมาหาเรื่องให้ข้าแบบนี้….”

แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบ่นออกมา เขาทำได้เพียงรับความจริงที่ว่ายมโลกในยามนี้ไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่อย่างที่มันควรจะเป็น ดังนั้นเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปที่หอบรรพบุรุษอีกครั้ง

ฉินเย่สวมชุดลายพรางของสำนักฝึกตนแห่งแรก แต่ที่รองเท้าบูททหารของเขากลับมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบ ๆ บนผ้าพันแผลพวกนี้ก็มีอักขระโบราณถูกเขียนไว้จนทั่ว เมื่อเขาอยู่ห่างจากหอบรรพบุรุษประมาณ 500 เมตร ทุกย่างก้าวที่เด็กหนุ่มเดินก็เริ่มทิ้งรอยประทับของอักขระแปลก ๆ ไว้บนพื้นและจางหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถประทับอักขระโบราณไว้รอบ ๆ อาณาเขตรอบนอกของหอบรรพบุรุษได้ในขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ

ยมทูตนอกอาณาเขตตนอื่น ๆ เองก็กำลังยุ่งอยู่กับการสร้างอาณาเขตเวทของตนในหอบรรพบุรุษเพราะว่านั่นคือสถานที่ซึ่งพวกเขาจะลงมือ แต่ในทางกลับกัน ฉินเย่กลับตั้งใจวางอาณาเขตเวทห่างออกมาจากหอบรรพบุรุษถึง 500 เมตรเนื่องจากเป้าหมายของเขาก็คือ…การเด็ดปีกของฝ่ายตรงข้าม!

เงียบมาก

หอบรรพบุรุษที่ทรุดโทรมถูกทำความสะอาดและปรับปรุงใหม่ภายในวันเดียว ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์บางท่านหรืออาจจะโจวเซียนหลงจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง วัชพืชที่งอกออกมาจากรอยแตกของอิฐถูกนำออกไปทั้งหมด และแม้แต่หน้าต่างที่ชำรุดเองก็ถูกซ่อมจนเหมือนใหม่ หากพูดกันตามตรง มันดูใหม่มากจนเขาแทบจะจำสภาพเมื่อวานของมันไม่ได้เลย โคมไฟสีแดงถูกห้อยอยู่ใต้ชายคา ผ้าม่านสีอ่อนถูกห้อยลงมาจากกรอบหน้าต่าง ทำให้ทั้งอาคารแผ่กลิ่นอายโบราณออกมา

ฉินเย่ไม่ได้เข้าไปในหอบรรพบุรุษในทันที เขายังคงยืนอยู่บนต้นไม้ เข็มนาฬิกาได้เดินเลยเลข 12 มาแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา จนกระทั่งมั่นใจว่าพื้นที่โดยรอบนั้นปราศจากผู้คน เขาถึงเริ่มวางรากฐานและติดตั้งอาณาเขตเวทของตัวเอง

พร้อมกับกล้องส่องทางไกลที่อยู่ในมือ เด็กหนุ่มเอนหลังพิงลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ห่างจากตัวอาคารออกไป 500 เมตร

ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นดำมืดราวกับสีของน้ำหมึก แต่งแต้มด้วยกลุ่มดวงดาวมากมาย สายลมเย็นพัดผ่านบ้างเป็นครั้งคราว เกิดเป็นเสียงกรอบแกรบของต้นไม้และกิ่งก้านสาขาดังขึ้นราวกับพวกมันกำลังบรรเลงบทเพลงโซนาตา[5] สำหรับเหล่ายมทูต 00.30 น. …. 01.00 น. …. 01.30 น. ….

ทันใดนั้นเอง ขณะที่เข็มนาฬิกาตีบอกเวลาตีสอง สายลมแรงพัดผ่านไปทั่ว และหลอดไฟทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกของหอบรรพบุรุษก็กระพริบเป็นเวลาเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาสว่างอีกครั้ง

พวกเขามาแล้ว!

ฉินเย่กำหมัดแน่นและย่อตัวลง เขาเห็นเงาดำของใครบางคนลุกขึ้นยืนจากเงามืดที่อยู่ห่างออกไป

“นี่มัน…” รูม่านตาของเขาหดตัวลงขณะมองผ่านกล้องส่องทางไกล

ร่างสีดำที่มีดวงตาที่เปล่งประกายไฟนรกสีเขียวหยกออกมา ในขณะที่พลังหยินหลั่งไหลออกมาจากร่างของมัน ทว่ามันคือ….หมาป่า!

หากพูดกันตามจริง มันเป็นร่างที่มีส่วนศีรษะเป็นหมาป่าและมีร่างเป็นคน สวมผ้าโพกศีรษะซึ่งฝังด้วยทองคำและเงินบนศีรษะ มือ ข้อเท้า คอของเขาต่างสวมกำไลอยู่ และสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเองก็ถือไม้เท้าหัวงูที่ถูกฝังด้วยทองคำและเงินเช่นกัน

“นั่นมัน…มาจากอียิปต์แน่นอน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพเจ้าแห่งความตายของอียิปต์ อะนูบิส เป็นแน่” เครื่องแต่งกายที่น่าสะดุดตาของอีกฝ่ายทำให้ฉินเย่รู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที “ญี่ปุ่น อียิปต์ อาร์โกส ยุโรป…แล้วก็เรา กองกำลังห้ากลุ่มที่หมายจะชิงรางวัลชิ้นเดียวกัน”

ทันใดนั้นมันก็ทำให้เขาตระหนักขึ้นมาว่ามันยากเย็นเพียงใดกว่าที่ยมโลกแห่งเก่าจะสามารถขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดเหนือยมโลกแห่งอื่นได้

มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางรู้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ โดยเฉพาะเรื่องการปะทะของยมทูตจีนและยมทูตนอกอาณาเขต

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามวิเคราะห์ทุกอย่างที่เห็นได้จากกล้องส่องทางไกล

ร่างดังกล่าวไม่ได้มาเพียงตัวคนเดียว…แต่มันยังมีร่างอีกสองร่างที่ปรากฎขึ้นจากความมืดต่อจากชายหัวหมาป่า ทั้งสามยืนนิ่งราวกับต้นไม้ จากนั้นเงาดำก็เริ่มปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะเลื้อยไปที่ใต้ชายคาของอาคารราวกับงู เมื่อเงาดังกล่าวขยายไปทั่วห้อง อักขระโบราณอ่อน ๆ ก็ปรากฏขึ้นชั่วขณะก่อนที่จะจางหายไปในหนังของอาคารอย่างรวดเร็ว

ทว่าทันใดนั้นเอง ดาบคาตานะที่เปล่งประกายก็เสียบเข้าที่หน้าอกของผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนหัวหมาป่า ตรึงร่างของเขาไว้ที่กำแพงด้านหลัง!

ใครสักคนได้สร้างภาพที่สมบูรณ์ขึ้นในค่ำคืนแห่งการสังหาร

[1] 螳螂捕蝉,黄雀在后 ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ สนใจแต่ผลประโยชน์ตรงหน้าโดยไม่สนใจอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื่องหลัง

[2] เอามาจากเรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนัน การ์ตูนแนวสืบสวนสอบสวน

[3] ลุงโมริ ชื่อเต็มคือโมริ โคโกโร่ มาจากเรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนันเช่นกัน

[4] สาเหตุของสงครามเบื้องต้นเกิดจากการที่ทางจีนได้ทำการยึดฝิ่นทั้งหมดจากพ่อค้าอังกฤษเพื่อที่จะหยุดการค้าและลักลอบนำเข้าฝิ่น ทว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากการที่ทางอังกฤษต้องการจะทำการค้าเสรีกับทางจีนเพื่อที่ตนจะได้สามารถซื้อสินค้าของจีนได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งมันส่งผลให้ประเทศจีนต้องยอมเสียฮ่องกงให้กับสหราชอาณาจักรอีกด้วย

[5] การบรรเลงบทเพลงโซนาตา เป็นการบรรเลงเพลงประเภทใช้เครื่องดนตรีเดี่ยว