“เด็กโง่ เธอโตแล้วจะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิตได้ยังไง? ต่อไปใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก พอเธอเรียนจบดอกเตอร์จากทางใต้กลับมาเราก็ยังได้เจอกันบ่อยๆ”
“หนูไม่ชินกับอากาศชื้นๆของทางใต้ ที่นั่นไม่มีอาหารบ้านเกิดที่ถูกปากหนู ไม่มีอาจารย์อยู่ด้วย แล้วก็ไม่มีเสี่ยวเฉียง!”
ศาสตราจารย์หลิวหยิกแก้มเธอด้วยความเอ็นดู “เด็กโง่! นี่ฉันต้องเตรียมนมกับผ้าอ้อมใส่กระเป๋าให้เธอด้วยไหม? อายุเท่าไรแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กไม่หย่านม เอาล่ะ เลิกงอแงได้แล้ว เธอเป็นเจ้าหญิงเย็นชาของมอเราไม่ใช่หรือไง? ร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้เสียลุคหมด”
“ช่างมันสิคะ! ก็อาจารย์ไม่เอาหนูแล้ว!”
ถึงจะรู้ว่าคนบางคนเดินๆอยู่ด้วยกันก็ต้องแยกจาก แต่พอถึงวันนั้นจริงๆในใจก็ยังคงเศร้า
“ใครเขาไม่เอาเธอกันล่ะ? เป็นครูหนึ่งวันเปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต เธอเป็นลูกศิษย์ของฉันก็จะเป็นแบบนั้นไปตลอดชีวิต ต่อให้เปลี่ยนที่ปรึกษาปริญญาเอกก็ตาม คำว่า ‘พ่อ’น่ะ ก็มีลำดับก่อนหลัง ฉันเป็นคนแรกที่ดูแลเธอ ต่อให้อนาคตเปลี่ยนเป็นเขา พอเธอกลับมาความผูกพันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเข้าใจไหม? แน่นอนว่าเหล่าชีเป็นคนที่ออกจะประหลาดไปหน่อย ดูเพี้ยนๆ แต่เธอไม่ต้องติดนิสัยประหลาดของเขามานะ เอาแต่สิ่งดีๆมาก็พอ”
“เขาไม่ดีขนาดนั้นก็อย่าให้หนูไปอยู่กับเขาสิคะ!”
“ถึงนิสัยจะไม่โอเคเท่าไร แต่เหล่าชีมีชื่อเสียงมากในแวดวงจิตวิทยาระดับโลก พูดตามตรงเขาเกิดที่เมืองนอก ไม่ได้ถือสัญชาติบ้านเรา ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาด้านสาขาจิตวิทยาให้กับมหาวิทยาลัยดังของเมืองนอก ไม่รู้ว่าสองปีนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาอยู่ๆก็กลับมาบ้านเรา อีกทั้งยังไปเป็นที่ปรึกษาระดับปริญญาเอกให้มหาวิทยาลัยทางใต้ ฉันเห็นว่าด้วยสถานะของเธอที่คงไปเรียนต่างประเทศไม่ได้ก็เลยไม่สู้ให้ไปหาเขาดีกว่า”
เสี่ยวเชี่ยนใกล้จะแต่งงานกับอวี๋หมิงหลางแล้ว ต่อไปก็ถือเป็นครอบครัวทหาร ซึ่งก็มีหน้าที่ส่วนหนึ่ง ด้วยสถานะของอวี๋หมิงหลางที่ต้องพ่วงเสี่ยวเชี่ยนไปด้วย หากเสี่ยวเชี่ยนอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศต้องยื่นเรื่องพิจารณาหลายขั้นตอน ไม่สะดวกเป็นอย่างมาก
ศาสตราจารย์ชีกลับมาตั้งรกรากในประเทศพอดี เสี่ยวเชี่ยนไปหาเขาในเวลานี้เหมาะเสียยิ่งกว่าเหมาะ เพียงแต่ได้ยินมาว่าเหล่าชีเป็นคนพิลึกไม่ค่อยรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยทางใต้แห่งนั้นเขาก็แค่เอาชื่อตัวเองไปแขวนไว้ ไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนจะมีวาสนาได้เข้าเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า
“อาจารย์ก็เป็นครอบครัวทหารไม่ใช่เหรอคะ? เลือดรักชาติของอาจารย์ไปไหนแล้ว ทำไมจะเตะหนูไปให้พวกฝรั่ง?”
เสี่ยวเชี่ยนพยายามคิดหาเหตุผลเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปหาเหล่าชีอะไรนั่นที่ทางใต้ เลียนแบบนิสัยของอวี๋หมิงหลางก็ทำ
ศาสตราจารย์หลิวขำ “เหล่าชีไม่ใช่ฝรั่ง พ่อแม่ของเขาก็ลูกหลานเหยียนหวงนี่แหละ เขามากสุดก็แค่คนที่ไปเกิดที่เมืองนอกแค่นั้น”
“หนูไม่อยากไป”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน! จะยั่วโมโหฉันให้ได้เลยใช่ไหม?” ศาสตราจารย์หลิวขึ้นเสียง
“ถ้าเธอไม่ไปต่อไปก็ไม่ต้องมาเจอฉันอีก ฉันไม่มีลูกศิษย์ไม่เอาไหนอย่างเธอ!”
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าศาสตราจารย์หลิวทำไปด้วยความหวังดี
เมื่อชาติก่อนเธออย่างมากก็มีชื่อเสียงแค่ในประเทศ ถ้าชาตินี้ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ที่โด่งดังระดับนานาชาติ ต่อไปเธออาจกลายเป็นคนมีชื่อเสียงระดับเอเชียหรืออาจไปถึงระดับโลก
ค่ารักษาคิดเป็นดอลล่าร์เลยยังได้
แต่เสี่ยวเชี่ยนที่รักเงินมาตลอดในเวลานี้กลับไม่แยแส
เธอไม่อยากแยกจากอาจารย์ เธอกลายเป็นคนที่เอาอารมณ์มาก่อนเหตุผลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
แหวนสองวงที่อยู่บนนิ้วชี้กับนิ้วกลางสะท้อนแสงเป็นประกาย เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเสี่ยวเฉียง
ทางด้านศาสตราจารย์หลิวได้ตัดสินใจแล้ว ยังไงก็จะส่งเสี่ยวเชี่ยนไปให้ได้ ถึงเหล่าชีจะเป็นคนเรื่องมาก ปกติจะไม่รับลูกศิษย์ แต่เธอก็มีความมั่นใจว่าเสี่ยวเชี่ยนที่เธอปั้นมาเองกับมือต้องได้รับเลือกแน่ ไม่เชื่อหรอกว่าเหล่าชีจะไม่ถูกใจเด็กเก่งๆแบบนี้
เสี่ยวเชี่ยนครุ่นคิด เธอคิดว่าตัวเองต้องคิดหาวิธีที่รัดกุม ทั้งไม่ถูกอาจารย์เตะออกไป ทั้งไม่ทำให้อาจารย์โกรธ เรื่องนี้ต้องคิดหนักแล้ว
……
สืออวี้มาหาเสี่ยวเชี่ยน เธอรออยู่นอกตึกเรียนปริญญาโท
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเธอโทรหาเสี่ยวเชี่ยน น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนขึ้นจมูกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตอนนั้นเสี่ยวเชี่ยนเพิ่งร้องไห้กับศาสตราจารย์หลิวเสร็จ สืออวี้ฟังออกทันที ไม่วางใจจึงมาดูประธานเชี่ยนหน่อย แล้วก็นัดประธานเชี่ยนไปกินกลางวันพอดี
เสี่ยวเชี่ยนยังคงคุยอยู่กับศาสตราจารย์หลิว สืออวี้รออยู่ข้างนอกตามลำพัง อยู่ว่างๆเลยเตะก้อนหินที่พื้นเล่น
มีรุ่นพี่ผู้หญิงสามคนเดินออกมาจากตึก สืออวี้กำลังก้มหน้าเตะก้อนหินไม่ได้สนใจใคร
เสียงพูดคุยของทั้งสามคนลอยเข้าหูสืออวี้
“เห็นยัง เถ้าแก่ใหญ่ลำเอียงอีกแล้ว เล่นเอาฉันมาเสียเที่ยวเลย เอกสารฉันต้องให้เถ้าแก่ใหญ่เซ็นชื่อเลยต้องรอก่อนเลยเนี่ย ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นมีดีตรงไหน วันๆชอบทำตัวเย็นชาไม่เข้ากับใครเลยสักนิด”
“ใครเหรอ?”
“ยังจะมีใครอีกล่ะ ลูกรักของเถ้าแก่ใหญ่ไง วันๆวนอยู่แต่รอบตัวเถ้าแก่ใหญ่ รู้จักเข้าหา เถ้าแก่ใหญ่พอหันมาเจอพวกเรามีแต่ทำหน้ายักษ์ใส่”
“เธอหมายถึงจอมเทพเชี่ยนน่ะเหรอ?”
ในบรรดาลูกศิษย์ของเถ้าแก่ใหญ่คนที่พอจะเรียกว่าลูกรักได้ก็มีแค่จอมเทพเชี่ยนเท่านั้น
คุยกันเรื่องอื่นยังไม่เท่าไร แต่คำว่าจอมเทพเชี่ยนทำให้สืออวี้สนใจขึ้นมาทันที
นี่กล้าเม้าท์ประธานเชี่ยนของเธอเลยเหรอ?
ฟังๆดูไม่ใช่พูดถึงในทางดีเท่าไร สืออวี้หูผึ่งแอบฟังอย่างชัดเจน
รุ่นพี่ผู้หญิงทั้งสามคนนี้เดินมาข้างหน้าสองข้างหลังหนึ่ง คนหน้ากลมๆที่อยู่ด้านหลังสะพายกระเป๋าสะพายข้างเดินกินขนมไปพลางฟังสองคนข้างหน้าเม้าท์ ไม่ได้ร่วมผสมโรงและก็ไม่ได้คัดค้าน
“ฉันเหม็นขี้หน้าเฉินเสี่ยวเชี่ยนนานแล้ว ก็แค่หน้าตาดีหน่อยเอาใจเถ้าแก่ใหญ่เก่งไม่ใช่เหรอ จะมีความสามารถสักแค่ไหนกันเชียว!”
ถุย! ประธานเชี่ยนของฉันได้ทุนการศึกษาระดับหนึ่งนะโว้ย ให้แค่มหาวิทยาลัยละคน บวกกับทุนการศึกษาระดับหนึ่งของทางมหาวิทยาลัยเอง แค่นี้ปีๆนึงก็ได้เงินทุนการศึกษาเกือบหมื่นแล้ว ทำไมพอตกเป็นขี้ปากคนขี้อิจฉาพวกนี้กลายเป็นว่าไม่มีความสามารถ?
สืออวี้ฟังแล้วก็โมโห เธออยากลองฟังดูซิว่าคนพวกนี้ยังมีอะไรจะพูดอีก!
ที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นมีปัญหา สืออวี้รู้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองอยู่ในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากคนอื่น การเรียนยอดเยี่ยม อีกทั้งยังโดดเด่นในทุกด้าน ได้รับรางวัลจนรับแทบไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งยังเป็นลูกรักของเถ้าแก่ใหญ่ของพวกเขา คนพวกนี้จะอิจฉาแอบนินทาลับหลังย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ได้ยินแบบนั้นแล้วสืออวี้ได้แต่กำหมัดทนฟังไป
ช่วงหลายปีมานี้ที่ได้อยู่กับประธานเชี่ยน นิสัยของเธอเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ถ้าเจอคนนินทาประธานเชี่ยนเธอได้พับแขนเสื้อพุ่งเข้าไปบวกแล้ว
แต่สืออวี้ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีสติมากขึ้น เมื่อเผชิญกับคนขี้อิจฉาแบบนี้เธอก็แค่ก่นด่าในใจ แต่ไม่พุ่งเข้าไปเหมือนหมากัดกัน
แต่ในขณะที่สืออวี้กำลังจะคิดว่าลมปากคนพวกนี้เหมือนลมตด คำพูดที่รุนแรงก็ลอยมาเข้าหูเธอพอดี
“ถ้าให้ฉันพูดนะ เถ้าแก่ใหญ่ก็เหมือนกับซูสีไทเฮา เฉินเสี่ยวเชี่ยนนั่นก็เหมือนกับนางในที่เคยฝึกพ่นน้ำ ทำเป็นข่มพวกเรา! คราวก่อนตอนทำโปรเจ็คต์ด้วยกันฉันแค่ทำผิดไปนิดหน่อยก็จ้องฉันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ทำตัวอย่างกับเก่งมาก ก็แค่นักศึกษาปริญญาโททำมาอวดดี!”
“ทำไมถึงเรียกจอมเทพเชี่ยนว่านางในที่เคยฝึกพ่นน้ำล่ะ?” รุ่นพี่อีกคนที่ร่วมกันนินทาถามขึ้นด้วยความสงสัย