เล่มที่ 6 บทที่ 180 ตายยังดีกว่าอยู่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ท่านอ๋อง?”

  คนที่เข้ามาคือหลงเทียนอวี้

  หลินเมิ้งหยาเบี่ยงกายหลบเขา

  “ไปเถิด กลับจวนกัน”

  หลงเทียนอวี้ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามหลินเมิ้งหยาแล้วส่งเสียงเรียบ

  ป๋ายซูออกไปนั่งข้างคนขับรถม้าอย่างรู้งาน

  ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้

  รถม้าเคลื่อนไหวโคลงเคลงไม่หยุดจนกระทั่งออกจากเขตพระราชวัง

  ฤทธิ์ของยาเริ่มหมดไป ความเจ็บปวดที่มือทำให้หลินเมิ้งหยาหายใจถี่ขึ้น

  จุดที่ป๋ายซูสะกดเอาไว้เริ่มคลาย

  หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าบาดแผลที่ฝ่ามือเริ่มมีเลือดไหล

  จู่ๆ จมูกพลันได้กลิ่นเลือดและสมุนไพร

  เขาจ้องหน้าหลินเมิ้งหยา หน้าผากของนางมีเหงื่อผุดพราย

  “เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? บาดแผลอยู่ตรงไหน?”

  ความกังวลพลันปรากฏขึ้นในดวงตา

  หลงเทียนอวี้ยื่นมือเข้าไปจับมือหลินเมิ้งหยา ทว่าอีกฝ่ายกลับร้องออกมาเบาๆ

  “โอ๊ย ปล่อยมือหม่อมฉันก่อน”

  หลงเทียนอวี้รีบคลายมือออก

  ผลปรากฏว่ามือที่เปื้อนไปด้วยเลือดเผยให้เห็นตรงหน้าเขา

  หลงเทียนอวี้เม้มปากแน่น ปลดผ้าสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนมือของนางออก

  “หม่อมฉันมียา”

  มือ…ปวดจนหลินเมิ้งหยาแทบสิ้นสติ

  ทว่านางยังมีแรงมากพอที่จะล้วงมือซึ่งกำลังสั่นระริกเข้าไปหยิบยาห้ามเลือดในแขนเสื้อออกมา

  หลงเทียนอวี้มองดูหลินเมิ้งหยาด้วยความกระวนกระวาย สุดท้ายรับยาจากนางแล้วช่วยใส่ยาให้

  หลินเมิ้งหยาเม้มปากแน่น ไม่ยอมส่งเสียงร้องแม้เพียงนิด

    แต่หยาดเหงื่อบนหน้าผากกลับรินไหล

  “ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถิด”

  หลงเทียนอวี้ชำเลืองมองนาง คิดไม่ถึงเลยว่านางจะอดทนมาได้จนกระทั่งตอนนี้

  แม้จะเจ็บแต่กลับไม่ยอมส่งเสียงร้องทำเพียงกัดฟันอดทน จนคนมองอดที่จะเจ็บปวดตามไม่ได้

  “ตอนนี้ยังไม่ถึงจวน หากมีคนได้ยินเข้าจะสังเกตเห็นความผิดปกติเอาได้เพคะ”

  แท้ที่จริงนางเจ็บมาก เจ็บปวดจนสุดขั้วหัวใจ

  หลินเมิ้งหยากลับทนเอาไว้แม้ใบหน้าจะขาวซีดก็ตาม

  หลงเทียนอวี้เองก็รู้สึกเจ็บปวดตาม บาดแผลของนางลึกจนเกือบถึงกระดูก

  นางต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหนกัน?

  “อย่ากัดปากตัวเอง เดี๋ยวเจ้าจะเจ็บ”

  มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนิ้วมือของหลงเทียนอวี้จึงยื่นเข้าไปแตะริมฝีปากของนาง

  สัมผัสอ่อนนุ่มทำให้หัวใจของเขารู้สึกคันยุบยิบ

  ริมฝีปากสีแดงดั่งลูกเชอรี่บัดนี้ขาวซีด

  สายตามองเหม่อ

  หลินเมิ้งหยาที่ไม่ทันระวังตัวถูกรวบตัวเข้าไปจุมพิตในชั่ววินาทีต่อมา

  ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันเบาๆ หลินเมิ้งหยาผงะ

  ดั่งต้องมนต์สะกด หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าร่างกายของนางแข็งทื่อในชั่วพริบตาที่ริมฝีปากของตนเองสัมผัสกับริมฝีปากของเขา

  จุมพิตของเขาอบอุ่นเหลือเกิน

  แตกต่างจากยามปกติที่มักจะเย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึก

    ยามนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าสมองของนางกำลังหมุนติ้ว

  เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของร่างน้อย หลงเทียนอวี้แย้มยิ้มในใจ

  จากริมฝีปากที่แตะกันอย่างแผ่วเบากลายเป็นหนักหน่วงยิ่งขึ้น

  หนึ่ง เพื่อทำให้นางลืมความเจ็บปวดที่กำลังได้รับ

  สอง เพราะเขาไม่อาจทนได้เมื่อได้เห็นริมฝีปากสีเชอรี่ตรงหน้า

  แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงรถม้าตกหลุม บาดแผลของหลินเมิ้งหยาก็ถูกกระทบกระเทือน

  เหตุเพราะความเจ็บปวดนางจึงขบฟันแน่น

  “อุ๊บ…”

  หลงเทียนอวี้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แต่กลับปล่อยให้หลินเมิ้งหยากัดริมฝีปากของตนเองต่อไป

  ดวงตาเผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก หลินเมิ้งหยารีบปล่อยตัวหลงเทียนอวี้

  ใบหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย ก่อนจะซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า มิกล้าสบตาเขา

  “ขอ..ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ…”

  หลินเมิ้งหยาส่งเสียงแผ่ว นางอยากจะมุดหน้าลงดินให้รู้แล้วรู้รอด

  “ไม่เป็นไร มือของเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร?”

  คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย การได้เห็นพระชายาที่มักจะมีท่วงท่าสง่างามอยู่เป็นนิจกลายเป็นสาวน้อยขี้อาย ทำให้หลงเทียนอวี้รู้สึกเหมือนได้พบเจอประสบการณ์แปลกใหม่

  เขาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เอื้อมจับมือนางมาวางแนบบนท่อนขาของตนเองเพื่อไม่ให้มือของนางถูกกระแทกอีก

  “คุณหนูหวังต้องการสังหารหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันยื่นมือเข้าไปรับมีดเอาไว้เพคะ”

  ความรู้สึกสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลงเทียนอวี้

  เหตุใดนางจึงเด็ดเดี่ยวเช่นนี้?

  ยากที่จะนึกภาพหญิงสาวซึ่งไร้วิทยายุทธ์ขณะถูกมีดฟันลงมา แต่นางกลับยื่นมือเข้าไปรับมีดของศัตรูเอาไว้

  ต่อให้เป็นเขาเองที่ต้องเจอเรื่องนี้ก็คงไม่สงบนิ่งได้เช่นนาง

  “ศพนิรนามที่ไร้ผิวหนังคือ…”

  “องค์หญิงหมิงเยว่เพคะ นางกับคุณหนูหวังร่วมกันวางแผนทำร้ายหม่อมฉัน”

  สุดท้ายพวกนางคงคิดไม่ถึงว่าจะต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของหลินเมิ้งหยา

  “คิดจะทำร้ายผู้อื่นก็ควรคิดเอาไว้ด้วยว่าจะโดนผู้อื่นทำร้ายกลับ นางสมควรตายแล้ว แต่เจ้าใช้วิธีไหนสังหารนางกัน?”

  ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บางทีหลินเมิ้งหยาอาจจะมิได้ลงมือเองทั้งหมด

  นางเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง อีกทั้งมือยังได้รับบาดเจ็บ

  แม้ป๋ายซูจะมีวิทยายุทธ์แต่ก็หาใช่คนใจดำอำมหิต

  ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงสงสัยเป็นอย่างมาก

  หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมา

  ขวดทรงกลมขนาดเล็กไม่ต่างจากขวดแป้งที่หญิงสาวใช้ประหน้า

  หากมิบรรจุไว้เช่นนี้เกรงว่าคงมิอาจนำเข้าวังหลวง

  “นี่คือยาพิษเลาะเนื้อลอกหนังเพคะ ท่านอาจารย์ป๋ายหลี่รุ่ยเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา หากของสิ่งนี้สัมผัสถูกผิวกายของมนุษย์จะทำให้เกิดอาการคันจนถึงกระดูก พิษชนิดนี้จะแทรกซึมไปทั่วทุกอณูรูขุมขนจึงทำให้ผู้ถูกพิษเสียสติ เมื่อองค์หญิงหมิงเยว่ถูกพิษชนิดนี้เข้า นางจึงเกิดอาการคลั่งและเฉือนเนื้อตัวเองออกเพคะ”

  เอื้อนเอ่ยสรรพคุณของยาพิษด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาของหลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความโอ้อวด

  ราวกับว่าของชิ้นนี้เป็นเพียงยาพิษธรรมดาแต่เพียงเท่านั้น

  หัวใจของหลงเทียนอวี้บีบเข้าหากัน ของที่สามารถทำให้มนุษย์เสียสติจนเฉือนผิวหนังของตนเองทิ้งจะต้องร้ายแรงขนาดไหนกัน

  “ยาชนิดนี้ถอนพิษง่ายหรือไม่?”

  หลงเทียนอวี้รับขวดเล็กขวดนั้นมาด้วยความระมัดระวัง มองสำรวจเล็กน้อยแต่มิได้เปิดออก

  หลินเมิ้งหยาพยักหน้า

  “ใช้น้ำล้างก็เพียงพอแล้วเพคะ แม้ยาชนิดนี้จะรุนแรงแต่มิอาจทนน้ำได้”

  นี่จึงเป็นสาเหตุที่นางยอมพกติดตัวเพื่อป้องกันตัวเอง

  หากทำร้ายคนผิดเข้าเพียงใช้น้ำล้างก็เพียงพอ

  แต่ของแบบนี้อย่าให้คนอื่นรับรู้จะดีเสียกว่า

  “เพราะเหตุนี้หมิงเยว่จึงกระโดดลงน้ำ แม้นางจะไม่ได้เจ็บปวดจนตาย แต่นางกลับจมน้ำตาย”

  หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด ก่อนจะส่งขวดคืนหลินเมิ้งหยา

  ทว่าหลินเมิ้งหยากลับดันออก

  “หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ แต่ก็อาจจะตกหลุมพรางของคนอื่นได้ ของชิ้นนี้หาใช่ยาพิษร้ายแรง ท่านอ๋องเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเถิดเพคะ”

  คำพูดของหลินเมิ้งหยามีเหตุผลจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้

  เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ ช่วงนี้เหตุการณ์ในเมืองหลวงไม่ปกติเหมือนก่อน เก็บเอาไว้ป้องกันตัวก็ไม่เลว

  “ท่านอ๋อง เกรงว่าหากฮ่องเต้หมิงรู้ความจริงเข้า ความร่วมมือของพวกเรากับเขาคงจบสิ้นแล้วเพคะ”

  หมิงเยว่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้หมิง หากมิใช่เพราะแบบนี้ฮ่องเต้หมิงจะมอบความสนใจให้กับนางทำไม

  นางรู้ดีว่าผู้หญิงที่ซีฟานเป็นเพียงบาทบริจาริกาของผู้ชายแต่เพียงเท่านั้น

  แม้แต่พระชายาเอกของฮ่องเต้หมิง แม้จะมีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังมีอำนาจในมือแต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้หมิง

  ดังนั้นจึงไม่เคยมีการแทรกแซงอำนาจของฮองเฮามาก่อน

  ทว่าหมิงเยว่ที่มีฐานะเป็นองค์หญิงสามารถติดตามบิดาของนางมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าจิ้นได้ แสดงว่าตำแหน่งที่ซีฟานของนางจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน

  “ไม่หรอก ฮ่องเต้หมิงเป็นมหาบุรุษ อีกทั้งยังเป็นผู้ปกครองซีฟาน ความตายของลูกสาวมิอาจทำให้เขาเสียใจจนทำให้เสียการเสียงาน”

  ราชวงศ์ไม่มีความสัมพันธ์รักใคร่ปรองดองเช่นนั้นหรอก ผลประโยชน์ย่อมมาก่อนเสมอ

  “เสด็จพ่อ ศพนั้นคือหมิงเยว่ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”

  ภายในพระราชวัง ฮ่องเต้หมิงเหลือบมองหูเทียนเป่ยที่เพิ่งกลับมาจากการตรวจสอบศพด้วยใบหน้าแข็งทื่อ

  มาต้าจิ้นในคราวนี้ เขาต้องเสียทั้งลูกชายและลูกสาว

  แก้วชาราคาแพงแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ กระจายเต็มพื้น

  แม้แต่เก้าอี้ไม้สีแดงยังมีรอยมือจางๆ

  เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ความโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้หมิงจึงปะทุขึ้นมา

  สีหน้าของหูเทียนเป่ยไม่น่ามอง แม้หมิงเยว่จะเอาแต่ใจทว่าเขาเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก

  คิดไม่ถึงเลยว่านางจะต้องตายอย่างอเนจอนาถ

  สายตาเย็นชาจับจ้องมองหน้าไท่จื่อ หากหมิงเยว่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายคนนี้ นางจะพบจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร

  “ฮองเฮาจะอธิบายเรื่องนี้กับกระหม่อมอย่างไร?”

  ฮองเฮาลืมตาขึ้นช้าๆ ชำเลืองทางฮ่องเต้หมิง ยังคงรักษาท่าทางสงบเยือกเย็น

  “เปิ่นกงจะหาคำอธิบายให้กับฮ่องเต้หมิงอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นพระองค์ควรอธิบายกับหม่อมฉันก่อนหนึ่งเรื่องมิใช่หรือ?”

  จู่ๆ ฮองเฮาก็ผุดลุกขึ้น รัดเกล้าบนศีรษะส่องแสงแวววาว ใบหน้างดงามเย็นชาดุจน้ำแข็ง

  นางโยนจดหมายพับที่ถืออยู่ในมือลงแทบเท้าฮ่องเต้หมิง

  แม้จะเป็นเพียงสตรี แต่กลับมีความหยิ่งผยองน่าเกรงขาม ฮ่องเต้หมิงจึงราวกับว่าถูกรัศมีของนางกลืนกิน

  “นี่คืออะไร?”

  สีหน้าเคร่งขรึม ก้มลงหยิบจดหมายพับบนพื้น

  ทว่าเพียงเหลือบตามองเพียงสองสามประโยค แววตาโหดเหี้ยมพลันจางหายไป

  “ซีฟานเป็นประเทศภายใต้การปกครองของต้าจิ้น ทหารมิควรมีเกินห้าหมื่น สรรพาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนถูกจำกัด ท่านลองดูข้อความในจดหมายพับฉบับนี้เถิด ทหารม้าแห่งซีฟานมีมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคน หรือท่านกำลังคิดที่จะก่อสงครามกับต้าจิ้น!”

  คำพูดของฮองเฮาทำให้ฮ่องเต้หมิงพูดไม่ออก

  ยิ่งไปกว่านั้นในจดหมายฉบับนี้มีการลงรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ความลับของซีฟานก็มีเขียนเอาไว้

  เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าการที่ฮองเฮานำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยแสดงว่านางจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน

  “อย่าได้พูดจาโยกโย้เลย ฮองเฮามีเงื่อนไขอันใดจงรีบพูดออกมาเถิด”

  ภายในตำหนักมิมีผู้อื่นดังนั้นฮ่องเต้หมิงจึงไม่สงวนท่าทีที่แสดงออก

  เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของฮองเฮาจึงเลื่อนกลับมามองพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ

  “เปิ่นกงรู้ว่าฮ่องเต้หมิงกำลังโศกเศร้าเพราะความตายขององค์หญิงหมิงเยว่ เรื่องนี้เปิ่นกงไม่มีทางปัดความรับผิดชอบและจะตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่เปิ่นกงหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ป่าวประกาศออกไป ถึงอย่างไร ราชวงศ์ก็มิเหมือนประชาชนธรรมดา เรื่องเหล่านี้อาจสร้างความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์ได้ ฮ่องเต้หมิงคิดเห็นเช่นไร?”

  ฮ่องเต้หมิงกำหมัดแน่น สายตาคับแค้น

  หูเทียนเป่ยเองก็เม้มปากสนิท จ้องมองสตรีผู้เย่อหยิ่งตรงหน้าด้วยความเย็นชา