“ท่านอ๋อง?”
คนที่เข้ามาคือหลงเทียนอวี้
หลินเมิ้งหยาเบี่ยงกายหลบเขา
“ไปเถิด กลับจวนกัน”
หลงเทียนอวี้ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามหลินเมิ้งหยาแล้วส่งเสียงเรียบ
ป๋ายซูออกไปนั่งข้างคนขับรถม้าอย่างรู้งาน
ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
รถม้าเคลื่อนไหวโคลงเคลงไม่หยุดจนกระทั่งออกจากเขตพระราชวัง
ฤทธิ์ของยาเริ่มหมดไป ความเจ็บปวดที่มือทำให้หลินเมิ้งหยาหายใจถี่ขึ้น
จุดที่ป๋ายซูสะกดเอาไว้เริ่มคลาย
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าบาดแผลที่ฝ่ามือเริ่มมีเลือดไหล
จู่ๆ จมูกพลันได้กลิ่นเลือดและสมุนไพร
เขาจ้องหน้าหลินเมิ้งหยา หน้าผากของนางมีเหงื่อผุดพราย
“เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? บาดแผลอยู่ตรงไหน?”
ความกังวลพลันปรากฏขึ้นในดวงตา
หลงเทียนอวี้ยื่นมือเข้าไปจับมือหลินเมิ้งหยา ทว่าอีกฝ่ายกลับร้องออกมาเบาๆ
“โอ๊ย ปล่อยมือหม่อมฉันก่อน”
หลงเทียนอวี้รีบคลายมือออก
ผลปรากฏว่ามือที่เปื้อนไปด้วยเลือดเผยให้เห็นตรงหน้าเขา
หลงเทียนอวี้เม้มปากแน่น ปลดผ้าสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนมือของนางออก
“หม่อมฉันมียา”
มือ…ปวดจนหลินเมิ้งหยาแทบสิ้นสติ
ทว่านางยังมีแรงมากพอที่จะล้วงมือซึ่งกำลังสั่นระริกเข้าไปหยิบยาห้ามเลือดในแขนเสื้อออกมา
หลงเทียนอวี้มองดูหลินเมิ้งหยาด้วยความกระวนกระวาย สุดท้ายรับยาจากนางแล้วช่วยใส่ยาให้
หลินเมิ้งหยาเม้มปากแน่น ไม่ยอมส่งเสียงร้องแม้เพียงนิด
แต่หยาดเหงื่อบนหน้าผากกลับรินไหล
“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถิด”
หลงเทียนอวี้ชำเลืองมองนาง คิดไม่ถึงเลยว่านางจะอดทนมาได้จนกระทั่งตอนนี้
แม้จะเจ็บแต่กลับไม่ยอมส่งเสียงร้องทำเพียงกัดฟันอดทน จนคนมองอดที่จะเจ็บปวดตามไม่ได้
“ตอนนี้ยังไม่ถึงจวน หากมีคนได้ยินเข้าจะสังเกตเห็นความผิดปกติเอาได้เพคะ”
แท้ที่จริงนางเจ็บมาก เจ็บปวดจนสุดขั้วหัวใจ
หลินเมิ้งหยากลับทนเอาไว้แม้ใบหน้าจะขาวซีดก็ตาม
หลงเทียนอวี้เองก็รู้สึกเจ็บปวดตาม บาดแผลของนางลึกจนเกือบถึงกระดูก
นางต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหนกัน?
“อย่ากัดปากตัวเอง เดี๋ยวเจ้าจะเจ็บ”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนิ้วมือของหลงเทียนอวี้จึงยื่นเข้าไปแตะริมฝีปากของนาง
สัมผัสอ่อนนุ่มทำให้หัวใจของเขารู้สึกคันยุบยิบ
ริมฝีปากสีแดงดั่งลูกเชอรี่บัดนี้ขาวซีด
สายตามองเหม่อ
หลินเมิ้งหยาที่ไม่ทันระวังตัวถูกรวบตัวเข้าไปจุมพิตในชั่ววินาทีต่อมา
ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันเบาๆ หลินเมิ้งหยาผงะ
ดั่งต้องมนต์สะกด หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าร่างกายของนางแข็งทื่อในชั่วพริบตาที่ริมฝีปากของตนเองสัมผัสกับริมฝีปากของเขา
จุมพิตของเขาอบอุ่นเหลือเกิน
แตกต่างจากยามปกติที่มักจะเย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึก
ยามนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าสมองของนางกำลังหมุนติ้ว
เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของร่างน้อย หลงเทียนอวี้แย้มยิ้มในใจ
จากริมฝีปากที่แตะกันอย่างแผ่วเบากลายเป็นหนักหน่วงยิ่งขึ้น
หนึ่ง เพื่อทำให้นางลืมความเจ็บปวดที่กำลังได้รับ
สอง เพราะเขาไม่อาจทนได้เมื่อได้เห็นริมฝีปากสีเชอรี่ตรงหน้า
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงรถม้าตกหลุม บาดแผลของหลินเมิ้งหยาก็ถูกกระทบกระเทือน
เหตุเพราะความเจ็บปวดนางจึงขบฟันแน่น
“อุ๊บ…”
หลงเทียนอวี้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แต่กลับปล่อยให้หลินเมิ้งหยากัดริมฝีปากของตนเองต่อไป
ดวงตาเผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก หลินเมิ้งหยารีบปล่อยตัวหลงเทียนอวี้
ใบหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย ก่อนจะซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า มิกล้าสบตาเขา
“ขอ..ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ…”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงแผ่ว นางอยากจะมุดหน้าลงดินให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่เป็นไร มือของเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร?”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย การได้เห็นพระชายาที่มักจะมีท่วงท่าสง่างามอยู่เป็นนิจกลายเป็นสาวน้อยขี้อาย ทำให้หลงเทียนอวี้รู้สึกเหมือนได้พบเจอประสบการณ์แปลกใหม่
เขาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เอื้อมจับมือนางมาวางแนบบนท่อนขาของตนเองเพื่อไม่ให้มือของนางถูกกระแทกอีก
“คุณหนูหวังต้องการสังหารหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันยื่นมือเข้าไปรับมีดเอาไว้เพคะ”
ความรู้สึกสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลงเทียนอวี้
เหตุใดนางจึงเด็ดเดี่ยวเช่นนี้?
ยากที่จะนึกภาพหญิงสาวซึ่งไร้วิทยายุทธ์ขณะถูกมีดฟันลงมา แต่นางกลับยื่นมือเข้าไปรับมีดของศัตรูเอาไว้
ต่อให้เป็นเขาเองที่ต้องเจอเรื่องนี้ก็คงไม่สงบนิ่งได้เช่นนาง
“ศพนิรนามที่ไร้ผิวหนังคือ…”
“องค์หญิงหมิงเยว่เพคะ นางกับคุณหนูหวังร่วมกันวางแผนทำร้ายหม่อมฉัน”
สุดท้ายพวกนางคงคิดไม่ถึงว่าจะต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของหลินเมิ้งหยา
“คิดจะทำร้ายผู้อื่นก็ควรคิดเอาไว้ด้วยว่าจะโดนผู้อื่นทำร้ายกลับ นางสมควรตายแล้ว แต่เจ้าใช้วิธีไหนสังหารนางกัน?”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บางทีหลินเมิ้งหยาอาจจะมิได้ลงมือเองทั้งหมด
นางเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง อีกทั้งมือยังได้รับบาดเจ็บ
แม้ป๋ายซูจะมีวิทยายุทธ์แต่ก็หาใช่คนใจดำอำมหิต
ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงสงสัยเป็นอย่างมาก
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมา
ขวดทรงกลมขนาดเล็กไม่ต่างจากขวดแป้งที่หญิงสาวใช้ประหน้า
หากมิบรรจุไว้เช่นนี้เกรงว่าคงมิอาจนำเข้าวังหลวง
“นี่คือยาพิษเลาะเนื้อลอกหนังเพคะ ท่านอาจารย์ป๋ายหลี่รุ่ยเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา หากของสิ่งนี้สัมผัสถูกผิวกายของมนุษย์จะทำให้เกิดอาการคันจนถึงกระดูก พิษชนิดนี้จะแทรกซึมไปทั่วทุกอณูรูขุมขนจึงทำให้ผู้ถูกพิษเสียสติ เมื่อองค์หญิงหมิงเยว่ถูกพิษชนิดนี้เข้า นางจึงเกิดอาการคลั่งและเฉือนเนื้อตัวเองออกเพคะ”
เอื้อนเอ่ยสรรพคุณของยาพิษด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาของหลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความโอ้อวด
ราวกับว่าของชิ้นนี้เป็นเพียงยาพิษธรรมดาแต่เพียงเท่านั้น
หัวใจของหลงเทียนอวี้บีบเข้าหากัน ของที่สามารถทำให้มนุษย์เสียสติจนเฉือนผิวหนังของตนเองทิ้งจะต้องร้ายแรงขนาดไหนกัน
“ยาชนิดนี้ถอนพิษง่ายหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้รับขวดเล็กขวดนั้นมาด้วยความระมัดระวัง มองสำรวจเล็กน้อยแต่มิได้เปิดออก
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า
“ใช้น้ำล้างก็เพียงพอแล้วเพคะ แม้ยาชนิดนี้จะรุนแรงแต่มิอาจทนน้ำได้”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่นางยอมพกติดตัวเพื่อป้องกันตัวเอง
หากทำร้ายคนผิดเข้าเพียงใช้น้ำล้างก็เพียงพอ
แต่ของแบบนี้อย่าให้คนอื่นรับรู้จะดีเสียกว่า
“เพราะเหตุนี้หมิงเยว่จึงกระโดดลงน้ำ แม้นางจะไม่ได้เจ็บปวดจนตาย แต่นางกลับจมน้ำตาย”
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด ก่อนจะส่งขวดคืนหลินเมิ้งหยา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับดันออก
“หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ แต่ก็อาจจะตกหลุมพรางของคนอื่นได้ ของชิ้นนี้หาใช่ยาพิษร้ายแรง ท่านอ๋องเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเถิดเพคะ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยามีเหตุผลจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ ช่วงนี้เหตุการณ์ในเมืองหลวงไม่ปกติเหมือนก่อน เก็บเอาไว้ป้องกันตัวก็ไม่เลว
“ท่านอ๋อง เกรงว่าหากฮ่องเต้หมิงรู้ความจริงเข้า ความร่วมมือของพวกเรากับเขาคงจบสิ้นแล้วเพคะ”
หมิงเยว่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้หมิง หากมิใช่เพราะแบบนี้ฮ่องเต้หมิงจะมอบความสนใจให้กับนางทำไม
นางรู้ดีว่าผู้หญิงที่ซีฟานเป็นเพียงบาทบริจาริกาของผู้ชายแต่เพียงเท่านั้น
แม้แต่พระชายาเอกของฮ่องเต้หมิง แม้จะมีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังมีอำนาจในมือแต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้หมิง
ดังนั้นจึงไม่เคยมีการแทรกแซงอำนาจของฮองเฮามาก่อน
ทว่าหมิงเยว่ที่มีฐานะเป็นองค์หญิงสามารถติดตามบิดาของนางมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าจิ้นได้ แสดงว่าตำแหน่งที่ซีฟานของนางจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน
“ไม่หรอก ฮ่องเต้หมิงเป็นมหาบุรุษ อีกทั้งยังเป็นผู้ปกครองซีฟาน ความตายของลูกสาวมิอาจทำให้เขาเสียใจจนทำให้เสียการเสียงาน”
ราชวงศ์ไม่มีความสัมพันธ์รักใคร่ปรองดองเช่นนั้นหรอก ผลประโยชน์ย่อมมาก่อนเสมอ
“เสด็จพ่อ ศพนั้นคือหมิงเยว่ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในพระราชวัง ฮ่องเต้หมิงเหลือบมองหูเทียนเป่ยที่เพิ่งกลับมาจากการตรวจสอบศพด้วยใบหน้าแข็งทื่อ
มาต้าจิ้นในคราวนี้ เขาต้องเสียทั้งลูกชายและลูกสาว
แก้วชาราคาแพงแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ กระจายเต็มพื้น
แม้แต่เก้าอี้ไม้สีแดงยังมีรอยมือจางๆ
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ความโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้หมิงจึงปะทุขึ้นมา
สีหน้าของหูเทียนเป่ยไม่น่ามอง แม้หมิงเยว่จะเอาแต่ใจทว่าเขาเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะต้องตายอย่างอเนจอนาถ
สายตาเย็นชาจับจ้องมองหน้าไท่จื่อ หากหมิงเยว่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายคนนี้ นางจะพบจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร
“ฮองเฮาจะอธิบายเรื่องนี้กับกระหม่อมอย่างไร?”
ฮองเฮาลืมตาขึ้นช้าๆ ชำเลืองทางฮ่องเต้หมิง ยังคงรักษาท่าทางสงบเยือกเย็น
“เปิ่นกงจะหาคำอธิบายให้กับฮ่องเต้หมิงอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นพระองค์ควรอธิบายกับหม่อมฉันก่อนหนึ่งเรื่องมิใช่หรือ?”
จู่ๆ ฮองเฮาก็ผุดลุกขึ้น รัดเกล้าบนศีรษะส่องแสงแวววาว ใบหน้างดงามเย็นชาดุจน้ำแข็ง
นางโยนจดหมายพับที่ถืออยู่ในมือลงแทบเท้าฮ่องเต้หมิง
แม้จะเป็นเพียงสตรี แต่กลับมีความหยิ่งผยองน่าเกรงขาม ฮ่องเต้หมิงจึงราวกับว่าถูกรัศมีของนางกลืนกิน
“นี่คืออะไร?”
สีหน้าเคร่งขรึม ก้มลงหยิบจดหมายพับบนพื้น
ทว่าเพียงเหลือบตามองเพียงสองสามประโยค แววตาโหดเหี้ยมพลันจางหายไป
“ซีฟานเป็นประเทศภายใต้การปกครองของต้าจิ้น ทหารมิควรมีเกินห้าหมื่น สรรพาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนถูกจำกัด ท่านลองดูข้อความในจดหมายพับฉบับนี้เถิด ทหารม้าแห่งซีฟานมีมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคน หรือท่านกำลังคิดที่จะก่อสงครามกับต้าจิ้น!”
คำพูดของฮองเฮาทำให้ฮ่องเต้หมิงพูดไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้นในจดหมายฉบับนี้มีการลงรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ความลับของซีฟานก็มีเขียนเอาไว้
เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าการที่ฮองเฮานำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยแสดงว่านางจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน
“อย่าได้พูดจาโยกโย้เลย ฮองเฮามีเงื่อนไขอันใดจงรีบพูดออกมาเถิด”
ภายในตำหนักมิมีผู้อื่นดังนั้นฮ่องเต้หมิงจึงไม่สงวนท่าทีที่แสดงออก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของฮองเฮาจึงเลื่อนกลับมามองพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“เปิ่นกงรู้ว่าฮ่องเต้หมิงกำลังโศกเศร้าเพราะความตายขององค์หญิงหมิงเยว่ เรื่องนี้เปิ่นกงไม่มีทางปัดความรับผิดชอบและจะตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่เปิ่นกงหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ป่าวประกาศออกไป ถึงอย่างไร ราชวงศ์ก็มิเหมือนประชาชนธรรมดา เรื่องเหล่านี้อาจสร้างความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์ได้ ฮ่องเต้หมิงคิดเห็นเช่นไร?”
ฮ่องเต้หมิงกำหมัดแน่น สายตาคับแค้น
หูเทียนเป่ยเองก็เม้มปากสนิท จ้องมองสตรีผู้เย่อหยิ่งตรงหน้าด้วยความเย็นชา